รอยยิ้มเล็กปรากฏที่มุมปากนายหญิงใหญ่ “เด็กคนนั้นทำงานพอได้ หากถามนางว่าสิ่งไหนดี นางก็มักจะมองซ้ายมองขวาตลอด คิดว่านี่ก็ดี นั่นก็ดี! แม้แต่อันที่ไม่ดีนางก็เลือกออกมาให้ดีได้” พูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นตะโกนเรียกลั่วเชี่ยวเข้ามา ถามนางว่า “เหลียนเฉียวกลับมาหรือยัง”
ลั่วเชี่ยวยิ้มแล้วพูดว่า “พึ่งจะกลับมาเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าตี้จิ่นที่เป็นสาวใช้ของคุณชายสี่พาพวกสาวใช้ย่างมันฝรั่งกินกัน เรียกให้นางอยู่ต่อ ดังนั้นจึงกลับมาช้า” พูดจบก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “เหลียนเฉียวยังนำบางส่วนกลับมาให้พวกเราได้ชิม ให้บ่าวเอามาให้ท่านชิมสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“มันจะดีอะไรขนาดนั้นกันเล่า” ไม่รอให้นายหญิงใหญ่ได้พูด อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ระวังอาหารไม่ย่อย”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า “พวกเจ้ากินกันเถอะ ของสิ่งนั้นข้ากินแล้วรู้สึกไม่สบายใจ” แล้วถามนางว่า “สาวใช้ที่ไปส่งของให้คุณชายสี่กับเหลียนเฉียวคือใคร”
“นางคือตู้เจวียนเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปถามนางว่าหลังจากที่เหลียนเฉียวกลับมาจากเรือนคุณชายสี่แล้วไปที่ไหนอีก”
ลั่วเชี่ยวชะงักไปครู่หนึ่ง
นายหญิงใหญ่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หากเจ้าถามไม่ได้ความก็ให้รีบบอกข้า ข้าจะได้ส่งคนไปถาม”
ลั่วเชี่ยวตกใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่วางใจเถิด บ่าวรู้ว่าควรทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
นางเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว นายหญิงใหญ่ก็เรียกนาง “กลับมา”
ลั่วเชี่ยวยกมือขึ้นคำนับด้วยความเคารพ
นายหญิงใหญ่ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มและลิ้มรสอย่างละเอียดอ่อนอยู่นาน
อู๋เซี่ยวเฉวียนยืนขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้อากาศหนาวแปลกๆ บ่าวจะไปอุ่นกาน้ำชามาใหม่” หลังจากพูดจบก็รีบออกจากห้องไป เห็นว่าข้างนอกไม่มีคนจึงได้เอาหูแนบกับผ้าม่านตรงประตู
“…เจ้า…หอลู่จวิน…จับตาดูคุณหนูสิบเอ็ด…ช่วงเวลานี้…ทำอะไรบ้าง…ไปเจอใครมาบ้าง…”
เริ่มแรกยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆ แต่ต่อมาก็ไม่ได้ยินอะไรแล้ว
อู๋เซี่ยวเฉวียนเดินออกไปพร้อมกับชี้สาวใช้น้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ชายคาเรือน “เจ้ารีบไปเอากาน้ำร้อนชงชามาให้นายหญิงใหญ่”
สาวใช้น้อยวิ่งไปที่ห้องน้ำชาข้างๆ อย่างรวดเร็วและหยิบกาน้ำร้อนมา
อู๋เซี่ยวเฉวียนรับมาแล้วเดินเข้าไปข้างใน
บังเอิญเจอเข้ากับลั่วเชี่ยวพอดี
“นายหญิงใหญ่บอกว่าเหนื่อยแล้ว ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
อู๋เซี่ยวเฉวียนพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะนั่งอยู่ด้านนอก วันนี้ป้าสวี่ไม่อยู่ ตอนที่นายหญิงใหญ่ตื่นขึ้นมาจะได้มีคนปรนนิบัติ เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
ลั่วเชี่ยวยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงเดินออกไป
อู๋เซี่ยวเฉวียนเขย่งเท้าเปิดผ้าม่านออกแล้วมองลอดเข้าไปข้างในผ่านช่องเล็กๆ
เห็นนายหญิงใหญ่บีบจดหมายในมือแน่น ดวงตาเปล่งประกายสดใสราวกับอัญมณี
******
สืออีเหนียงกำหมัดแน่น อยากจะเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วปกติที่เคยเดิน แต่กลับไม่สามารถควบคุมฝีเท้าได้ ซ้ำยังเร่งรีบขึ้นกว่าเดิม
‘นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่พากันส่งจดหมายมา…’
‘เมื่อได้รับจดหมายก็ให้เจ้าไปทำม่านกันลม…’
‘ส่งป้าสวี่ไปที่วัดฉืออาน…’
‘แล้วยังถามพวกเราอีกว่าจะตีพิมพ์พระสูตรอย่างไรดี…’
‘จุนเกอเป็นบุตรชายคนโตแต่กลับไม่ได้เป็นผู้สืบทอด…’
‘หรือว่าจะเลือกผู้อาวุโสไม่เลือกเด็ก เลือกลูกอนุภรรยาไม่เลือกลูกภรรยาหลวง…’
นางหยุดฝีเท้าลง
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ปินจวี๋ที่อยู่ข้างหลังเกือบจะชนสืออีเหนียง
“คุณหนูสิบเอ็ด ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
นางเห็นว่าสืออีเหนียงมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผาก
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงเห็นความกังวลในสายตาของปินจวี๋ จึงอดไม่ได้ที่จะปลอบใจนางด้วยรอยยิ้ม “มีบางเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจ…”
“อยากจะไปเดินเล่นในป่าหรือไม่เจ้าคะ” ปินจวี๋ยิ้มรับคำพูดของสืออีเหนียง
ปกติแล้วหากคุณหนูสิบเอ็ดมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ นางก็จะไปเดินเล่นในป่าหวงหยางที่อยู่หน้าหอลู่จวิน หลังจากที่เดินเล่นแล้วก็จะอารมณ์ดีขึ้นมาก คิดได้ว่าวันนี้นายหญิงใหญ่ส่งสาวใช้ให้มาอยู่กับพวกนาง อย่าว่าแต่คุณหนูสิบเอ็ดเลย แม้แต่นางเองก็อยากจะไปเดินเล่นสักหน่อย…
ทั้งสองคนไปที่ป่าหวงหยาง
หิมะสีขาว กิ่งไม้ใบหญ้าสีเขียวสดใส อากาศที่หนาวเหน็บ…สีโทนเย็นทำให้สืออีเหนียงค่อยๆ คลายความคับข้องใจ
ปินจวี๋เห็นว่าสีหน้านางดีขึ้นแล้ว ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ด พี่ตงชิงให้บ่าวมาบอกท่านว่าพวกเราจะทำตามที่ท่านสั่ง” ในคำพูดได้มีการหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
ปินจวี๋พูดว่า “คุณหนูยังจำตอนที่พวกเรามาถึงหอลู่จวินได้หรือไม่เจ้าคะ”
จะลืมได้อย่างไร…
ตอนนั้นตงชิงเป็นคนพยุงนางไว้ ยืนอยู่กลางห้องพูดกับปินจวี๋และสาวใช้น้อยอย่างชิวจวี๋กับเย่ว์เซียงว่า ‘นับแต่นี้ไปที่นี่ก็คือบ้านของพวกเรา’ ต่อมาได้พบว่าเย่ว์เซียงได้ไปทำงานให้คุณนายใหญ่ นางจึงวางยาระบายเย่ว์เซียง ใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบการหลีกเลี่ยงผู้ป่วยของจวนหลัวเพื่อส่งเย่ว์เซียงไปรักษาตัวข้างนอกแล้วเปลี่ยนเป็นจู๋เซียงที่หลู่อี๋เหนียงแนะนำมา แน่นอนว่าเรื่องนี้มีอุปสรรคอยู่บ้าง อย่างเช่นจะทำเช่นไรให้เย่ว์เซียงป่วย และจะใช้ประโยชน์จากเวลาและสถานที่เช่นไรให้ป้าสวี่จำเป็นต้องส่งเย่ว์เซียงออกไป และต้องทำเช่นไรจึงจะให้จู๋เซียงเข้ามาโดยผ่านทางป้าสวี่ ทั้งหมดนี้ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก แต่ความพยายามก็คุ้มค่าเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจ ทำให้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเขาจะเชื่อในวิธีการของคุณหนูสิบเอ็ดอย่างไม่มีข้อสงสัย
“พี่ตงชิงบอกว่านางจำคำพูดของคุณหนูได้เสมอ” ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือบ้านของพวกเราเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกุมมือปินจวี๋ไว้แน่น
“บ่าวก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “มีคุณหนู พี่ตงชิง ชิวจวี๋ แล้วยังมีจู๋เซียง ป้าซิน ป้าถัง พวกเราต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หัวใจของสืออีเหนียงได้สงบลงในทันที
ใช่แล้ว สามปีนี้นางทำงานอย่างหนักก็ไม่ใช่เพื่อให้คนรอบข้างยืนเคียงข้างนางในช่วงเวลาที่สำคัญหรอกหรือ
นางยิ้มแล้วถามปินจวี๋ว่า “มีขุนนางคนใดบ้างที่ส่งบุตรสาวให้ไปเป็นอนุภรรยา…ไม่ใช้เพื่อลงหลักปักฐานแต่เพื่อประจบสอพลอจึงได้ส่งบุตรสาวให้ไปเป็นอนุภรรยา”
ปินจวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนว่าจะมีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงไม่แน่ใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้
ตัวเองคงจะทำการรีบร้อนเกินไปจึงไม่ทันได้คิด
ปินจวี๋เข้ามาในจวนตอนอายุห้าขวบ เติบโตมาในเรือนใหญ่ จะรู้ได้อย่างไรว่ามีขุนนางนำบุตรสาวมาส่งให้เป็นอนุภรรยาหรือไม่
นางเงยหน้าขึ้น
ท้องฟ้าสีครามสดใส ดวงตาของนางกลับมองเห็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ปกคลุมพื้นที่ด้านหลังของจวนสกุลหลัว
ถอนหายใจยาว
ดวงตาค่อยๆ สดใสขึ้น
******
สืออีเหนียงและปินจวี๋กลับมาถึงหอลู่จวิน
เป็นเหมือนปกติ ด้านหน้าของหอลู่จวินว่างเปล่า ทุกคนพยายามอยู่ในที่ของตัวเองให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับชีวิตของผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
หอลู่จวินมีห้าห้องสองชั้น ห้องนั่งเล่นที่อยู่ตรงกลางมีไว้ใช้ร่วมกัน ที่ข้างหลังห้องนั่งเล่นมีบันไดขึ้นไปสู่ชั้นสอง สืออีเหนียงมีห้องอยู่ทางทิศตะวันออกสองห้อง ห้องรองลงมาแยกด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหน้าเป็นที่อยู่ของตงชิงกับปินจวี๋ ตรงกลางเป็นสถานที่จัดเลี้ยงตามปกติ ด้านหลังเป็นที่อยู่ของสาวใช้น้อยอย่างตงจวี๋กับจู๋เซียง ส่วนห้องเล็กๆ เป็นห้องนอนของตัวเอง แยกเป็นแนวนอน ด้านหน้าเป็นห้องหนังสือและห้องเย็บปัก ด้านหลังเป็นห้องนอนสำหรับป้าซินและป้าถัง พวกเขาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังหอลู่จวินที่มีสามห้อง
ตอนที่พวกนางเดินเข้าไป ป้าซินและป้าถังกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่เตาอั้งโล่
เมื่อเห็นสืออีเหนียงทั้งสองคนก็ยืนขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ป้าซินรีบเอาเตาผิงมาให้นาง “บ่าวเติมถ่านให้ท่านอยู่ตลอด กำลังร้อนอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างมีความสุขแล้วรับเตาผิงมา ทำให้ป้าซินมีความสุขเช่นกัน
นางมองไปที่ห้องฝั่งตะวันออก จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ชิวจวี๋ คุณหนูกลับมาแล้ว”
คนที่ออกมากลับเป็นตงชิง “คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”นางพูดพลางเปิดผ้าม่านให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงกับปินจวี๋เดินเรียงกันเข้ามาเจอเข้ากับหู่พั่ว
นางรูปร่างสูง ผิวพรรณขาวผ่อง มีดวงตาสดใสและฟันที่ขาวสะอาด สวมชุดสีน้ำเงินธรรมดา แต่ไม่อาจซ่อนแสงความงดงามที่เจิดจ้าได้
หู่พั่วนั่งลงแล้วคำนับสืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ด บ่าวคือหู่พั่วเจ้าค่ะ”
เมื่อก่อนก็เคยเห็นอยู่กับนายหญิงใหญ่บ่อยๆ
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเป็นมิตร ถามนางว่าอายุเท่าไหร่ ในครอบครัวมีใครบ้าง คุ้นชินกับที่นี่แล้วหรือยัง แล้วยังพูดประมาณว่า “ลำบากพี่หู่พั่วแล้ว” “จากนี้ไปเรื่องภายในบ้านต้องขอให้พี่หู่พั่วช่วยจังหลัวจัดการแล้ว”
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังพูด หู่พั่วก็นั่งหมอบอยู่ตลอด รอให้นางพูดเสร็จแล้วจึงค่อยๆ ตอบคำถาม
บอกว่าตัวเองอายุสิบห้าปีเป็นบุตรสาวคนเดียวในครอบครัว แม่กับปู่ทำงานอยู่ในหมู่บ้าน พี่ตงชิงสวยมาก น่าตาเหมือนคนในภาพวาด ปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ ทำให้นางรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคย และยังพูดอีกว่า “บ่าวเติบโตในหมู่บ้าน ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ขอให้พี่ตงชิงและพี่ปินจวี๋ช่วยแนะนำด้วยนะเจ้าคะ ”
สืออีเหนียงพอใจนางเป็นอย่างมาก กำชับปินจวี๋ว่า “เจ้าพาหู่พั่วไปเดินดูรอบๆ ส่วนตงชิงไปช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า”
หู่พั่วแสดงท่าทางเชื่อฟังคำสั่งสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก ไม่ได้แย่งตงชิงไปเปลี่ยนชุดให้สืออีเหนียง แต่คำนับสืออีเหนียงตามปินจวี๋ แล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ” มองดูสืออีเหนียงกับตงชิงไปที่ห้องนอน
สืออีเหนียงพอใจกับนางเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยนางก็เป็นคนฉลาด ไม่ได้กระตือรือร้นเกินจนเสียมารยาท
ในขณะที่กำลังเปลี่ยนชุด สืออีเหนียงบอกกับตงชิงเสียงเบาเรื่องที่นายหญิงใหญ่ให้หู่พั่วเข้ามาดูแลเรื่องภายในบ้านของนาง
ตงชิงเตรียมใจยอมรับผลกับเรื่องนี้ไว้นานแล้ว
สิ่งที่นางกังวลก็คือกลัวว่าจะถูกนายหญิงใหญ่หมั้นนางให้กับหลานชายของป้าเหยา
“นายหญิงใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” คุณหนูสิบเอ็ดส่ายหัว “ช่วงนี้ข้าต้องปักม่านกันลม นายหญิงใหญ่บอกว่าให้เจ้ามาช่วยข้า ข้าคิดว่าอย่างน้อยก่อนถึงเดือนสามปีหน้าก็คงไม่พูดถึงเรื่องนี้”
สายตาที่สงบนิ่งของนางทำให้คนจิตใจสงบ หัวใจของตงชิงจึงได้สงบลง นางมองสืออีเหนียงด้วยแววตาเปล่งประกาย “เช่นนั้นจะจ่ายอย่างไรเจ้าคะ”
สืออีเหนียงมักจะปักพระไตรปิฎกให้ตงชิงไปขายข้างนอก พวกนางยังมีเงินเก็บอยู่สองสามร้อยตำลึง นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับทองและเงินที่หลู่อี๋เหนียงแอบมอบให้สืออีเหนียง
“เหลือไว้หนึ่งร้อยตำลึง ส่วนที่เหลือก็จ่ายออกไปให้หมด”
ตงชิงตกใจเล็กน้อย “จ่ายออกไปทั้งหมด…”
“เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ” สืออีเหนียงส่งสัญญาณมือบอกว่าให้ตงชิงนำด้ายถักดอกบ๊วยที่ผูกกับจี้หยกมาสวมให้นาง “อีกสักครู่เจ้าเอากุญแจไปให้หู่พั่ว จากนั้นคิดหาวิธีให้นางไปที่อื่น ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าและปินจวี๋”
ตงชิงพยักหน้า “คุณหนูวางใจได้เลย บ่าวจะจัดการเองเจ้าค่ะ”