ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 35 เล่ห์เหลี่ยม (ปลาย)

ตอนที่ 35 เล่ห์เหลี่ยม (ปลาย)

 

บุตรชายคนเดียวของเม่ากั๋วกง แต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอกที่ชอบธรรม… 

สืออีเหนียงไม่เคยเชื่อว่าจะได้อะไรมาฟรีๆ! 

นางมองไปที่อี๋เหนียงหกด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม 

ในที่สุดก็ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าสั่นไหวได้ อี๋เหนียงหกสายตาเป็นประกายด้วยความชื่นใจ 

“นายหญิงใหญ่พูดกับนายท่านใหญ่ นายท่านใหญ่ก็ส่ายหน้าและบอกว่า ถึงแม้ว่าสองสามปีมานี้สกุลของเม่ากั๋วกงจะตกต่ำ แต่เขาก็เป็นถึงขุนนางผู้มีความดีความชอบของต้าโจว แม้ว่าเรือจะผุพังแต่ยังมีตะปูที่ใช้งานได้อยู่อีกสามพันตัว พวกเขาจะยอมแต่งงานกับบุตรสาวของอนุได้เช่นไร มันจะต้องมีเรื่องอะไรที่ไม่มีใครรู้แน่นอน จะให้คำมั่นสัญญาง่ายๆ ไม่ได้” 

สืออีเหนียงตกใจ 

แต่ไหนแต่ไรมา สำหรับสืออีเหนียงแล้วนายท่านใหญ่เป็นแค่ชื่อและตำแหน่ง เขาไม่เคยช่วยเหลือนางได้ตอนนางลำบาก นางไม่เคยพึ่งพาเขาได้ตอนนางไม่มีที่พึ่ง เขาไม่เคยสนับสนุนนางได้ตอนนางดิ้นรน…ในความทรงจำของนาง เขาก็แค่คนที่มักจะถามนางว่านางกินข้าวแล้วหรือยังอย่างอ่อนโยน…คิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งเขาจะพูดเช่นนี้ออกมา! 

“นายหญิงใหญ่ได้ยินนายทานใหญ่พูดเช่นนี้ นางก็หัวเราะแห้งแล้วพูดว่า ‘แน่นอนว่ามันคือปัญหาของหวังหลัง ดังนั้นเม่ากั๋วกงถึงได้ยอมถอยออกมา ไม่ขอคนที่เกิดจากสกุลที่สูงส่ง ขอแค่สกุลของนางสะอาดบริสุทธิ์ อ่อนโยนใจกว้าง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ปัญหาก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ คนที่หน้าตาขี้เหล่อีกระดับหนึ่ง คนที่อ่อนแอไร้ความสามารถอีกระดับหนึ่ง คนที่เจ็บป่วยมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานก็อีกระดับหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่แค่ได้ยินว่าสกุลกั๋วกงก็อยากจะส่งบุตรสาวแต่งออกไป ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนั้นหรือ…’ นายท่านใหญ่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็เริ่มหงุดหงิด เขาบอกว่า ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าลองพูดสิว่า ทายาทของเม่ากั๋วกงเป็นปัญหาระดับไหน’” 

สืออีเหนียงใช้นิ้วโป้งถูดอกเหมยสีแดงสดบนถ้วยชา 

“นายหญิงใหญ่จึงยกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วร้องไห้ บอกว่า ‘นี่คือเจอตนาดีของคุณหนูใหญ่ นางคิดว่าที่สกุลมีน้องหญิงบุตรอนุมากมาย ต้องมีหน้ามีตา! บางคนแต่งกับบุตรอนุด้วยกัน บางคนแต่งไปเป็นอนุภรรยา บางคนแต่งกับสกุลที่ตกต่ำ…’ นายท่านได้ยินเช่นนี้ เขาก็ใจเย็นลงแล้วพูดว่า ‘เช่นนั้นก็ต้องถามความเห็นของพวกนางก่อน’ นายหญิงใหญ่เบิกตาแล้วพูดว่า ‘สกุลสวีกับสกุลหวังอยู่ที่เยี่ยนจิง มีอะไรเกิดพวกเราก็รู้หมด เจ้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เห็นด้วยอยู่ที่นี่ เขาอาจจะกำลังดูถูกเราด้วยซ้ำ! นี่ก็แค่เป็นเจตนาของคุณหนูใหญ่ สุดท้ายสรุปจะเช่นไรกันแน่ ต้องให้เป่าซานไปสืบดูก่อนถึงจะรู้!’” 

“แล้วท่านพ่อก็เห็นด้วย ใช่หรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงวางถ้วยชาในมือลงด้วยท่าทางที่ไม่สะทกสะท้าน 

ท่าทางของนางทำให้อี๋เหนียงหกตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้พูดว่า “ใช่แล้ว ดังนั้นนายท่านใหญ่ก็เห็นด้วยแล้วพูดกับนายหญิงใหญ่ว่า ‘เดิมทีเรื่องพวกนี่ก็เป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างพวกเจ้า เจ้าคิดว่าดีก็พอแล้ว!’” 

สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด 

นางไม่ได้กังวล กลัวหรือโมโหเหมือนที่อี๋เหนียงหกจินตนาการไว้… นางแค่สับสนเล็กน้อย 

นางกัดฟัน อี๋เหนียงหกยื่นมืออกไปจับมือสืออีเหนียง“เด็กโง่ เจ้ามองไม่เห็นอันตรายในเรื่องนี้หรือ อูฐที่ผอมแห้งตายยังตัวใหญ่กว่าม้า ไม่ว่าจวนของเม่ากั๋วกงจะตกต่ำแค่ไหน แต่พวกเขาก็เป็นสกุลที่ทำงานให้กับราชวงศ์ หรือว่าทั้งเยี่ยนจิงไม่มีบุตรสาวของสกุลที่สะอาดสะอ้าน อ่อนโยนและใจกว้างสักตระกูลมาแต่งงานกับบุตรชายของเขาหรือ ถึงแม้ว่าสกุลหลัวของเราจะโดดเด่น แต่ก็โดดเด่ดแค่ในอวี๋หัง มาถึงเยี่ยนจิง ในสายตาของบรรดาสกุลเศรษฐีเหล่านั้น พวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากคนบ้านนอก หากปัญหาของท่านชายหวังคนนั้นไม่ได้รุนแรงจริงๆ เขาจะยอมหาภรรยาจากเมืองไกลได้เช่นไร” 

ประสบการณ์ชีวิตไม่เหมือนกัน มุมมองที่มองปัญหาก็ไม่เหมือนกัน ทางเลือกก็ไม่เหมือนกัน… 

สิ่งที่นางอยากได้ ก็คือแค่ที่พักพิงที่ให้นางได้หายใจตามอำเภอใจก็แค่นั้น! 

เมื่อเทียบกับความซับซ้อนของสกุลสวี ถึงแม้ว่าคุณชายหวังจะมองหาผู้หญิงที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเพราะว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร…นางคิดว่าตัวเองก็พอจะรับได้ ถึงตอนนั้น นางกลายเป็นแม่หม้าย หากทำตามกฎระเบียบ ถึงแม้ว่าคนสกุลหวังจะดูหมิ่นนาง แต่ก็คงไม่ทำให้นางลำบากใจ! 

สืออีเหนียงฟังอี๋เหนียงหกบ่นอย่างใจลอย นางครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง  

“เจ้าและอู่เหนียง เลือกคนใดคนหนึ่งจากสองคน ไม่แต่งเข้าจวนสกุลหวังก็แต่งเขาจวนสกุลสวี ตอนนี้สกุลหลัวไม่เหมือนเมื่อก่อน อนาคตของนายท่านสองสามท่านต้องพึ่งพาสกุลสวี หากได้แต่งเข้าไปในจวนสกุลสวี เจ้าลองคิดดู ถึงตอนนั้น นายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่ของสกุลหลัว ป้าสวี่ ป้าเหยา พวกเขาก็จะทำสีหน้าดีใส่เจ้า มาประจบสอพลอเจ้า อี๋เหนียงห้าลำบากมาทั้งชีวิต นางก็จะได้มีชีวิตที่สบาย แต่หากแต่งเข้าไปในจวนของสกุลหวัง หนึ่งคือไม่รู้รากเหง้า ใครจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ชีวิตของเจ้าก็จะพังทั้งชีวิต สองคือสกุลหวังสู้สกุลสวีไม่ได้สักเรื่อง ต่อไปหากเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหลัว สกุลหวังช่วยอะไรไม่ได้ สกุลหลัวก็ไม่มีทางเห็นเจ้าเป็นบุตรสาว เจ้าไม่มีสกุลเดิมเป็นที่พึ่ง สกุลเขาก็จะดูถูกเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็คงจะเรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินไม่ขาน อย่าคิดว่าจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย เจ้าลองคิดดู หากคนที่ได้แต่งเข้าไปเป็นอู่เหนียง เกียรติยศเหล่านี้ก็จะกลายเป็นของนาง ด้วยนิสัยที่เย่อหยิ่งของนาง ไม่พอใจท่านแม่และแม่สามีของเจ้า เห็นว่าเจ้าต่ำต้อยกว่าตัวเอง เกรงว่านางคงจะได้ทีขี่แพะไล่…หากเจ้ามีชีวิตที่ลำบาก อี๋เหนียงห้าเห็นเช่นนั้นไม่รู้ว่านางจะเสียใจเพียงใด คุณหนูสิบเอ็ด ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนสือเอ้อร์เหนียงของข้า ข้าถึงได้ไม่กลัวที่จะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าต้องคิดถึงคำพูดของข้าให้มากๆ จะได้ไม่ผิดต่อข้าที่ยอมทำตัวต่ำช้าเช่นนี้” 

หมายความว่า นางต้องแต่งเข้าไปในจวนสกุลสวีเท่านั้น ไม่เช่นนั้น นางก็ต้องตาย 

สืออีเหนียงมีความคิดเป็นของตัวเอง นางไม่ได้พูดอะไรมากมาย นางแค่ยิ้มและพูดว่า“เจตนาดีของอี๋เหนียงข้ารู้เจ้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้ในใจข้าสับสนไปหมด คิดอะไรไม่ออกตอนนี้ ข้าขอคิดดูก่อนนะเจ้าคะ!” 

เพราะนางแค่อายุสิบสามปี… 

อี๋เหนียงหกปล่อยวาง 

นางบีบมือที่นุ่มนวลของสืออีเหนียงแล้วพูดเบาๆ “เจ้าต้องรีบหน่อยนะ เรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะปิดไปได้อีกนานแค่ไหน! ใครมีโอกาสก่อน ก็จะได้ก้าวไปข้างหน้าก่อน เจ้าอย่าได้ทำผิดต่อเจตนาดีของอี๋เหนียง” 

สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็เดินไปส่งอี๋เหนียงหกออกไป 

แต่เธอกลับเจอกับป้าสวี่ที่หน้าประตู 

“อี๋เหนียงอยู่ที่นี่เองหรือเจ้าคะ?” สายตาของท่านป้าสวี่เป็นประกาย “นายหญิงใหญ่กำลังถามถึงท่านอยู่เลยเข้าค่ะ!” 

อี๋เหนียงหกพยักหน้าอย่างกระวนกระวาย บอกลาสืออีเหนียงแล้วนางก็รีบออกไปทันที  

ป้าสวี่ถามสืออีเหนียง “อี๋เหนียงมาหาท่านทำไมกันเจ้าคะ” 

สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “มาถามเรื่องน้องสิบสองเจ้าค่ะ!” 

ป้าสวี่พยักหน้า ความระแวงในสายตาก็หายไป 

อาจจะเป็นเพราะว่าได้รับผลกระทบมาจากพูดของอี๋เหนียงหก สายตาของป้าสวี่ทำให้สืออีเหนียงที่รู้จักที่ยืนของตัวเองมาตลอดรู้สึกถึงความเยือกเย็นเป็นครั้งแรก 

“ท่านป้าเชิญข้างใน!” นางยิ้มและต้อนรับป้าสวี่ 

แต่ป้าสวี่กลับพูดว่า “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านโหวมาแล้ว นายหญิงใหญ่บอกให้ท่านและอู่เหนียงแต่งตัวออกไปคารวะท่านโหวเจ้าค่ะ”  

สืออีเหนียงตกใจ จากนั้นป้าสวี่ก็หันหลังเดินไปที่เรือนของอู่เหนียง 

ตงชิงรีบดึงสืออีเหนียงเข้าไปข้างใน เรียกปินจวี๋ตักน้ำมาให้นางล้างหน้า ตัวเองค้นกล่องเสื้อผ้า“คุณหนู สวมอะไรดีเจ้าค่ะ เช่นนั้น สวมเสื้อกั๊กยาวสีขาวที่นายหญิงใหญ่สั่งคนตัดมาให้ตอนที่เราออกเดินทาง…” 

“เจ้าใจเย็นๆ หน่อยได้หรือไม่” สืออีเหนียงยิ้ม “นั่นเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ เจ้าอยากให้ข้าหนาวตายเช่นนั้นหรือ?” 

“เช่นนั้นก็สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีชมพูตัวนั้น มีลายเด็กกำลังละเล่น แล้วก็เป็นเสื้อที่นายหญิงใหญ่เป็นคนมอบให้ สวมชุดนี้ออกไปก็มีหน้ามีตา” 

“วันธรรมดาข้าก็ไม่ได้ขาดแคลนชุดผ้าไหมที่ประณีตงดงามเช่นนั้น” สืออีเหนียงหยอกล้อนาง “หากป้าสวี่มาได้ยินคำพูดนี้ของเจ้าเข้า นางคงจะเรียกเจ้าไปถามแน่นอน ถามว่าเจ้าเอาเสื้อผ้าของข้าไปไว้ไหนหมด”  

นางพูดคุยหัวเราะกับตงชิงอย่างอารมณ์ดีสองสามประโยค บอกให้ตงชิงนำอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยของนางออกมา “ถือโอกาสช่วงสองวันนี้ไม่มีอะไรทำ ข้าจะปักเสื้อฤดูใบไม้ผลิให้จุนเกอ” 

ตงชิงได้ยินเช่นนี้ก็ชอบใจ นางตอบรับและออกไปเอาอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยออกมา ปินจวี๋มวยผมให้สืออีเหนียง เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อกั๊กยาวสีเหลือง แล้วก็สวมต่างหูไข่มุก ออกไปเชิญอู่เหนียงที่ห้องทางทิศตะวันออก “…เราไปด้วยกันดีกว่าเจ้าค่ะ” 

อู่เหนียงม้วนผมสูง เสียบปิ่นปักผมดอกจินปู้เหยาและดอกจูซุ่ยดอกใหญ่ สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีแดงกุหลาบ ปัดแป้งบางๆ บนใบหน้า ปัดชาดแดง มองดูช่างสดใสงดงาม  

เมื่อเห็นสืออีเหนียงมาเชิญนาง นางก็ยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส “ข้าจะเสร็จแล้ว” จากนั้นนางก็บอกจื่อเวย “นำบ๊วยดองน้ำผึ้งนั้นออกมา” 

จั๋วเถาและซุ่ยเอ๋อร์กำลังนั่งยองๆ ทาเล็บให้อู่เหนียง  

สืออีเหนียงกินบ๊วยดองน้ำผึ้งรออู่เหนียงแต่งตัว  

“มีเวลาน้อยเกินไป คงต้องทำๆ ไปก่อนนะเจ้าคะ” ซุ่ยเอ๋อร์ยิ้มและอธิบาย “เดิมทีกะว่าจะทำคืนนี้” 

อู่เหนียงมองดูเล็บที่ราวกับดอกเถาที่กำลังเบ่งบานของตัวเอง นางยิ้มแล้วพูดว่า“สีอ่อนไปหน่อย… ตอนกลางคืนค่อยทาเพิ่มก็ได้!” 

ซุ่ยเอ๋อร์ยิ้มและตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ส่งอู่เหนียงและสืออีเหนียงออกไปพร้อมกับจื่อเวยและคนอื่นๆ 

จั๋วเถาก้มหน้าก้มตา เดินตามสาวใช้สองสามคนอย่างเงียบๆ 

พวกนางไปที่เรือนหลักของนายหญิงใหญ่  

ในห้องเงียบสงัด สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ก็เงียบสงัด ตู้เวยกระพริบตาให้พวกนางด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์  

“ทำไมถึงพึ่งมาตอนนี้” เสียงของนายหญิงใหญ่ที่ฟังดูสงบนิ่ง แต่กลับราวกับท้องฟ้ามาอยู่ตรงหน้า ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหงุดหงิดที่ซ่อนเอาไว้ 

อู่เหนียงยิ้มและพูดว่า “ข้ามากับน้องหญิงเจ้าค่ะ” 

ทำให้คนที่ได้ยินคิดว่าที่นางมาช้าก็เพราะว่าสืออีเหนียง 

ปกติเวลานางพูดอะไรเช่นนี้สืออีเหนียงก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร แต่ว่าวันนี้ นางรู้สึกว่ามันกระดากหูเป็นอย่างมาก 

หญิงผู้นี้ ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ไม่เคยลืมที่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น 

แต่นางก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่แสดงอาการอะไรและนิ่งเงียบ 

สายตาที่เฉียบแหลมราวกับมีดของนายหญิงใหญ่มองมาที่นาง นางพูดเบาๆ ว่า “ไสหัวออกไปให้หมด” 

ทุกคนในห้องสีหน้าเปลี่ยนกันหมด พากันก้มหน้าลงทันที แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น 

สีหน้าของอู่เหนียงซีดเซียว นางและสืออีเหนียงก็เดินออกมา หลังจากเดินออกมาแล้ว นางจับมือตู้เวยที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่วางใจ “นายหญิงใหญ่…” 

ตู้เวยมองซ้ายมองขวา เห็นสาวใช้ที่ยืนอยู่ใต้ชายคาต่างพากันยืมกุมมืออยู่ตรงนั้นอย่างเคร่งขรึม นางพูดเบาๆ “ท่านโหวบอกว่าจะมาหานายหญิงใหญ่ แต่นายหญิงใหญ่พึ่งออกมา ท่านโหวก็บอกว่ามีธุระต้องไปทำ…นั่งไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชา…” 

ดังนั้นนางจึงไม่พอใจ? 

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ  

หู่พั่วได้ยินมาว่า ท่านโหวเคยมาพูดคุยอยู่กับนายท่านใหญ่ทั้งช่วงบ่าย  

และหลังจากที่อู่เหนียงตกใจ สายตาของนางก็มีความหงุดหงิดขึ้นมา มองดูเล็บสีชมพูของตัวเองแล้วพูดว่า “ทำให้ข้าทาเล็บไม่เสร็จ!” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท