อู่เหนียง สืออีเหนียงและอู๋เซี่ยวเฉวียนพากันเดินออกมาข้างนอก
ทุกคนยืนอยู่ที่หน้าประตู ดูเหมือนว่าพวกนางผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย สีหน้าก็อ่อนโยนลงมาก
อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มและถามพี่น้องสองคนว่า “ประเดี๋ยวบ่าวจะไปบอกคนที่เรือนให้เอาขนาดและรูปแบบของม่านกันลมไปให้พวกท่าน แต่บ่าวไม่รู้ว่าจะไปหาคุณหนูสองคนได้ที่ไหนเจ้าคะ”
ปักม่านกันลมผืนนึง ต้องกำหนดรูปแบบและขนาดของม่านก่อน จากนั้นให้อู่เหนียงเขียนตัวอักษรที่จะปักตามขนาด สืออีเหนียงเลือกเนื้อผ้าและด้ายไหม จากนั้นก็สามารถใช้เข็มปักแทนที่รอยพู่กัน เริ่มปักตามทิศทางของตัวอักษรที่อู่เหนียงเขียนเอาไว้
ดังนั้น ตอนแรกเป็นหน้าที่ของอู่เหนียงและอู๋เซี่ยวเฉวียน
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่สะดวกที่จะเข้าไปแทรก
นางยิ้มแล้วมองไปที่อู่เหนียง
อู่เหนียงก็รู้ว่าตัวเองให้สัญญาต่อหน้านายหญิงใหญ่ไว้ว่าจะใช้เวลาสองวันในการเขียน หากหลังจากสองวันแล้วยังไม่มีอะไรให้สืออีเหนียง หากถึงตอนนั้นสืออีเหนียงทำไม่เสร็จ เช่นนั้นก็เป็นความผิดของนางเองทั้งหมด
ตอนนี้ ไม่ใช่เวลามาเกรงใจกัน
“หากน้องหญิงไม่ว่าอะไร ไปนั่งที่เรือนข้าสักประเดี๋ยวดีหรือไม่” นางยิ้มให้สืออีเหนียง “เรือนข้าอยู่ใกล้กับเรือนของท่านแม่ ป้าอู๋ก็จะได้ไปรายงานท่านแม่สะดวกหน่อย”
อู่เหนียงอาศัยอยู่ที่เรือนเจียวหยวนทางตะวันตกของเรือนหลัก ใช้เวลาไปถึงไม่เกินหนึ่งถ้วยชา
“พี่หญิงรอบคอบมากเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพี่หญิงแล้ว!”
“พี่น้องกันเอง เหตุใดถึงได้เกรงใจเช่นนี้ มันดูห่างเหินกันเกินไป” อู่เหนียงยิ้ม “เจ้าเอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือนทุกวัน นอกจากเรือนของนายหญิงใหญ่ก็ไม่เคยไปที่ไหน เจ้าคือแขกคนสำคัญที่ข้าอยากจะเชิญยังเชิญไม่ได้ ข้าอยากจะให้เจ้ามารบกวนข้าทุกวัน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจพี่หญิงแล้วนะเจ้าคะ!”
อู๋เซี่ยวเฉวียนก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของอู่เหนียงเป็นอย่างมาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นประเดี๋ยวบ่าวจะไปหาคุณหนูห้าที่เรือนเจียวหยวนนะเจ้าคะ”
อู่เหนียงกับสืออีเหนียงพยักหน้า “อากาศหนาวๆ เช่นนี้ ลำบากท่านป้าแล้ว!”
“คุณหนูพูดอะไรกันเจ้าคะ นี่คือหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว!” อู๋เซี่ยวเฉวียนพูดด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
สืออีเหนียงพูดกับปินจวี๋ที่อยู่ข้างๆ “เจ้าไปบอกตงชิงว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่หู่พั่วสาวใช้ของนายหญิงใหญ่จะไปอยู่ที่เรือนของเรา ให้คนไปทำความสะอาดที่พักให้พี่หู่พั่ว จากนั้นก็ไปรับนางที่เรือนของท่านแม่ ไปดูว่ามีอะไรที่พอจะช่วยพี่หู่พั่วได้หรือไม่ ข้ายังจะต้องไปรอป้าอู๋ที่เรือนของพี่หญิงห้า เจ้าจัดการเสร็จแล้วก็ไปหาข้าที่เรือนของพี่หญิงห้า”
ตั้งแต่รู้ว่านายหญิงใหญ่ส่งหู่พั่วมาอยู่กับสืออีเหนียง ปินจวี๋ก็รู้สึกไม่พอใจ นางอยากจะกลับไปปรึกษากับตงชิงที่อยู่ที่หอลู่จวินเลยตอนนั้น ตอนนี้สืออีเหนียงบอกให้นางไปรายงานตงชิง ตรงกับความต้องการของนางพอดี นางตอบรับด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อู่เหนียงมองดูแผ่นหลังของปินจวี๋ที่กำลังเดินออกไป “น้องหญิงดีกับนางเสียจริง”
“เพราะนางเคยปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่มาก่อน” สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “มาอยู่กับข้าก็เท่ากับมาลำบาก ข้าต้องดีกับนางหน่อย เกรงว่าพี่หู่พั่วจะรู้สึกน้อยใจ ทำลายน้ำใจของท่านแม่”
อู่เหนียงมองหน้านางอย่างลึกซึ้ง ยิ้มแล้วพานางเดินไปที่เรือนเจียวหยวน
เรือนเจียวหยวนอยู่ทางตะวันตกของเรือนจืออวิ๋น มีสามห้องสองทางเข้า มีลานอยู่ตรงกลาง มีต้นกล้วยที่สูงกว่าบ้านสองสามต้น เดิมทีเรียกว่าเรือนกล้วย ต่อมาที่นี่กลายเป็นที่อยู่ของหยวนเหนียงหรือคุณหนูใหญ่ นายหญิงใหญ่บอกว่าชื่อนี้ไม่ค่อยดี จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนเจียวหยวน หลังจากที่หยวนเหนียงแต่งงานออกเรือนไป นายหญิงใหญ่จึงให้อู่เหนียงมาอยู่ที่นี่ อู่เหนียงเคารพพี่หญิงใหญ่ นางเก็บเรือนเล็กหลังที่สองที่หยวนเหนียงเคยอยู่เอาไว้ สั่งให้คนมาทำความสะอาดทุกวัน ราวกับหยวนเหนียงยังอาศัยอยู่ที่นั่น ตัวเองเข้าไปอยู่ในเรือนเล็กหลักแรก ตรงกลางทำเป็นที่นั่งพักผ่อนในชีวิตประจำวัน ฝั่งตะวันออกทำเป็นห้องหนังสือ ฝั่งตะวันตกทำเป็นที่อยู่ของบรรดาสาวใช้และหญิงทำความสะอาด ตัวเองอยู่ที่ชั้นสองกับจื่อย่วนและจื่อเวยสาวใช้ทั้งสองคน
เข้าประตูมา จื่อเวยพาสาวใช้สองคนออกมาต้อนรับ
โค้งคำนับกันแล้ว อู่เหนียงกับสืออีเหนียงก็พากันนั่งลง สาวใช้ยกถ้วยชาเข้ามา จื่อเวยเอาลูกเฟิ่งเซียนสีเหลืองไว้บนถาดที่สวยงาม “วันก่อนนายหญิงใหญ่มอบให้พวกเรา คุณหนูสิบเอ็ดลองชิมดูเจ้าค่ะ”
“นางโง่” อู่เหนียงมองหน้าสืออีเหนียง “นายหญิงใหญ่มอบให้ข้า ก็ต้องมอบให้สืออีเหนียงด้วยเช่นกัน เจ้าไม่ต้องมาเอาอกเอาใจ”
จื่อเวยยิ้ม “ที่คุณหนูสิบเอ็ดมีเป็นของคุณหนูสิบเอ็ด แต่นี่คือน้ำใจของเราเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้ม หยิบลูกเฟิ่งเซียนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “เรือนข้ามีคนเยอะ ลูกเฟิ่งเซียนสองสามลูกหมดไปในพริบตา ข้ายังรู้สึกเสียดาย พี่จื่อเวยยกมาให้ข้าตั้งถาดนึง ราวกับคนที่ง่วงนอนเจอกับหมอน การต้อนรับเช่นนี้ดีมากเลย!”
นิ้วที่ขาวและเรียวยาวของนาง เปลือกสีเหลืองของลูกเฟิ่งเซียนตกลงบนนิ้ว ช่างสวยงามเปล่งประกาย
สายตาของอู่เหนียงมองมาที่ใบหน้าของสืออีเหนียง
เส้นผมราวกับขนนก ผิวพรรณราวกับหิมะ ดวงตาราวกับหยดน้ำฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีแดง…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สืออีเหนียงโตเป็นสาวงามเช่นนี้!
นางตกอยู่ในภวังค์
จากนั้นเสียงที่อ่อนโยนของสืออีเหนียงก็ดังขึ้นมาข้างหู “ตัวอักษร ‘อายุ’ หนึ่งร้อยตัว พี่หญิงคิดออกหรือยังว่าจะเขียนเช่นไร จะเขียนตัวอักษร ‘อายุ’ ตัวคัดใหญ่ไว้ตรงกลาง แล้วเขียนตัวอักษรคัดเล็กเก้าสิบเก้าตัวข้างหลัง หรือว่าจะเขียนแนวตั้งแนวนอนแถวละสิบตัว ข้าลองคิดดูแล้ว ข้าคิดว่าสองแบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าพี่หญิงคิดว่าแบบไหนดีเจ้าคะ มีความคิดดีๆ ที่ข้าคิดไม่ออกหรือไม่เจ้าคะ”
อู่เหนียงตกใจก่อนที่จะได้สติกลับมา
หน้าตางดงามแล้วอย่างไร หากไม่ได้แต่งงานกับตระกูลดีๆ เวลาไม่เคยรอใคร เกรงว่าคงจะเป็นแค่ทิวทัศน์ที่สวยงาม ทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะก็แค่นั้น แต่หากอยากแต่งกับตระกูลดีๆ ก็ต้องให้นายหญิงใหญ่เห็นด้วย…
นางยิ้มและลุกขึ้น “น้องหญิงตามข้ามา”
******
ห้องหนังสือของอู่เหนียงกว้างขวางมาก แต่ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์แค่สองชิ้น หนึ่งคือโต๊ะวาดภาพสีดำตัวใหญ่ใกล้หน้าต่าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือของอาจารย์ชื่อดัง แล้วยังมีจานฝนหมึกสี่ห้าอัน พู่กันเก่าๆ สีฟ้าหนึ่งด้าม พู่กันที่มีความหนาไม่เหมือนกันอีกสิบกว่าด้าม สองคือเก้าอี้กุ้ยเฟยสีดำติดกับผนัง คลุมด้วยผ้าคลุมสีฤดูใบไม้ร่วงที่ดูไม่เก่าไม่ใหม่ ทำให้มันดูเยือกเย็น
สืออีเหนียงถูมือ “พี่หญิงไม่จุดถาดไฟหรือเจ้าคะ แล้วตอนที่พี่หญิงเขียนหนังสือล่ะ? ข้าไม่ได้เลย หากข้าจะเย็บปักถักร้อย ข้าต้องจุดถาดไฟ” นางพูดพร้อมกับยิ้ม “แต่ว่า เรือนของข้าใหญ่เท่าห้องหนังสือของพี่หญิง แล้วก็มักจะมีสาวใช้และพี่สะใภ้มาหาข้าให้ข้าช่วยเย็บปักถักร้อย ถึงแม้ว่าจะไม่จุดถาดไฟ แต่นั่งอยู่ด้วยกันก็ไม่หนาว”
อู่เหนียงรู้ว่าสืออีเหนียงเชี่ยวชาญเรื่องเย็บปักถักร้อย สาวใช้ พี่สะใภ้ ป้าล้วนแต่ชอบไปหานาง ไปให้นางช่วยเย็บปักถักร้อยบ้าง ไปขอคำแนะนำบ้าง นางได้ยินเช่นนี้จึงพูดว่า “เรือนของข้าจะเทียบเรือนที่คึกคักของเจ้าได้เช่นไรกัน!”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเขินอาย ชี้ไปที่พู่กันด้ามที่หนาที่สุด “พี่หญิงเขียนอักษรคัดใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าจำได้ว่าพี่หญิงชอบเขียนอักษรคัดเล็กนี่เจ้าคะ”
อู่เหนียงยิ้มและพูดว่า “ข้ากับน้องหญิงคิดเหมือนกันเลย ข้าอยาจะเขียนตัวอักษร ‘อายุ’ คัดใหญ่ไว้ตรงกลาง จากนั้นเขียนตัวอักษรคัดเล็ก เก้าสิบเก้าตัวไว้ข้างๆ”
สืออีเหนียงตกใจ
อู่เหนียงพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางบอกสืออีเหนียงเป็นนัยๆ ว่า นางรู้อยู่แล้วว่านายหญิงใหญ่จะมอบของขวัญวันเกิดอะไรให้กับไท่ฮูหยินของจวนหย่งผิงโหว…นางรู้เร็วขนาดนั้นได้เช่นไร หากนายหญิงใหญ่ไม่ได้เป็นคนบอก ก็แสดงว่ามีคนที่รู้ว่านายหญิงใหญ่คิดอะไรแล้วมาบอกนาง หากเป็นข้อแรก แสดงว่านายหญิงใหญ่ชอบนางมากกว่าสืออีเหนียง นายหญิงใหญ่ไม่เพียงแต่บอกนาง แล้วยังให้นางเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า ถึงวันจริงนางจะได้ไม่เสียหน้า แต่หากเป็นข้อสอง เช่นนั้นก็แสดงว่านางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับสาวใช้หรือเหล่าท่านป้าของนายหญิงใหญ่ คนที่สืออีเหนียงเทียบไม่ได้!
ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน แต่การแสดงออกมาเช่นนี้ คือการแสดงความแข็งแกร่งของตัวเอง!
และอู่เหนียงยังพูดไม่จบ นางก็มีสีหน้าเสียใจ ราวกับว่าเสียใจที่ตัวเองพูดเช่นนั้นออกไป จากนั้นก็รีบพูดต่อว่า “เจ้ารู้ว่าปกติข้าชอบเขียนพู่กัน ไม่มีอะไรทำก็ชอบมาเขียนพวกนี้”
ค่อนข้างมีกลิ่นอายของการอยากจะปกปิด แต่กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า “พี่หญิงเป็นคนฉลาด ข้าเทียบไม่ได้อยู่แล้ว”
นางไม่มีความขมขื่นหรือโศกเศร้าตามการคาดเดาของอู่เหนียง
ราวกับว่าไม่สงสัยคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีอะไรทำก็ชอบมาเขียนพวกนี้’ ของอู่เหนียงเลยแม้แต่น้อย
อู่เหนียงท้อใจ
ทุกครั้งที่พูดคุยกับนางก็เป็นเช่นนี้ตลอด ราวกับต่อยลงไปบนดอกฝ้าย ไม่รู้สึกถึงความชนะ ไม่เหมือนสือเหนียงที่สายตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความโมโหแต่กลับไม่กล้าทำอะไร…
นางรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ จึงเอาภาพร่างที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้สืออีเหนียงดู “นี่คือที่เราพูดถึงเมื่อครู่ ตัวอักษรคัดใหญ่ตรงกลาง ตัวอักษรคัดเล็กอีกเก้าสิบเก้าตัวข้างๆ อันนี้เขียนเป็นรูปเพชร…ตรงกลางเป็นตัวอักษรคัดเล็ก ข้างๆ เป็นตัวอักษรลี่ซู…อันนี้เขียนเป็นวงกลม ใช้ตัวอักษรคัดเล็กทั้งหมด”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จื่อย่วนก็ไปเอาผ้าทอมาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงพึ่งจะนั่งลง อู๋เซี่ยวเฉวียนก็มาพอดี
จื่อเวยและจื่อย่วนยุ่งอยู่พักหนึ่ง ยกขนม ยกผ้าทอ ผ่านไปพักหนึ่งทั้งสามคนถึงได้นั่งคุยกัน
“นี่คือภาพวาดที่วาดตามความต้องการของนายหญิงใหญ่” อู๋เซี่ยวเฉวียนหยิบกระดาษหนังวัวออกมาให้อู่เหนียงดู “ฐานทำจากไม้หวงหยางแกะสลัก ขอบทำจากไม้จีชื่อ…”
“เหตุใดถึงไม่ใช้ไม้หวงลี่เล่า” อู่เหนียงขัดจังหวะอู๋เซี่ยวเฉวียน “ในเมื่อฐานทำจากไม้หวงหยาง แต่ขอบทำจากไม้จีชื่อ เกรงว่ามันไม่ค่อยเหมาะ”
ไม้หวงหยางมีสีเหลือง ไม้จีชื่อมีสีแดงเข้ม
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เมื่อก่อนอู๋เซี่ยวเฉวียนก็เป็นสาวใช้ของนายหญิงใหญ่ นางเรียนหนังสือมาด้วยกัน ความรู้พื้นฐานนางก็พอมีอยู่บ้าง “เดิมทีคิดแบบอื่น หนึ่งคือเปลี่ยนฐานเป็นไม้จื่อถานที่มีสีเดียวกับไม้จีชื่อ แต่ว่าตอนนี้ไม้หวงลี่หายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไม้จื่อถาน วิธีนี้ไม่ได้ผลแน่นอน สองคือเปลี่ยนฐานเป็นไม้จีชื่อ ทำขอบและฐานเนื้อไม้เดียวกันดีที่สุด คนที่เรือนบ่าวนึกขึ้นมาได้ บอกว่าที่เรือนมีไม้ที่ใช้ได้อยู่ แต่เมื่อไปที่โรงเก็บของถึงรู้ว่า วันเกิดของท่านแม่ใต้เท้าหวง ทูตตรวจการณ์มลฑลเจ้อเจียงครั้งก่อน นายท่านใหญ่ให้คนนำไปแกะสลักทำเป็นของขวัญวันเกิด แล้วเรื่องนี้นายหญิงใหญ่ก็ตัดสินใจเร่งรัด ตอนนี้ในตลาดยังไม่มี บ่าวจึงเขียนจดหมายไปหาช่างไม้ที่สนิทสนมกันสองสามคน แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนสั่งการ ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย! ท่านแม่รู้เรื่องนี้หรือไม่”