อู่เหนียง จื่อเวยและจื่อย่วนกำลังพูดคุยกันอยู่ ส่วนทางป้าสวี่เองก็กำลังรายงานกับนายหญิงใหญ่
“ไม่เจออะไรเลยหรือ”
ป้าสวี่ใบหน้าแดงก่ำ
“ดูจากนิสัยใจคอของนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งสือเหนียงไว้เช่นนี้โดยที่ไม่สนใจ พวกเพชรพลอยของมีค่าพวกนั้นจะต้องให้สือเหนียงเป็นคนเก็บไว้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น สองคนนั้นคงจะไม่กล้าหนีหรอก” นายหญิงใหญ่สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “เจ้าไปตรวจมาดีๆ ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่ผิดพลาดอะไรเลย”
ป้าสวี่จึงรีบพูดขึ้นว่า “บ่าวได้กำชับกับจินเหลียนและอิ๋นผิงไว้แล้ว พวกนางจะคอยสังเกตการณ์ให้ดีเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฟังจากที่อู๋เซี่ยวเฉวียนพูดมา ช่วงนี้เซิงเกอคงจะเข้าไปที่เมืองเยี่ยนจิง เจ้าไปเตรียมห้องปีกทางทิศตะวันตกข้างเรือนหลักให้เขาก็แล้วกัน!”
ป้าสวี่อึ้งไปเล็กน้อย
นายหญิงใหญ่มองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าเขาเอาตี้จิ่นไปนอนด้วยหรือ!”
ให้ดูแลบ้าน ก็ดูแลจนอี๋เหนียงหายไปถึงสองคน อี๋เหนียงอีกคนก็มาผูกคอตาย เอาสาวใช้ไปร่วมหลับนอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ขออนุญาตจากผู้หลักผู้ใหญ่…ที่ผ่านมาไร้ความสามารถ อาจจะเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่หลังๆ มานี้กลับทำตัวไร้ซึ่งจรรยาบรรณ พฤติกรรมมีปัญหา เป็นบุตรชายที่ไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถหากเอามาเปรียบเทียบกับคุณชายใหญ่ และถึงแม้ว่าจะคลอดออกมาจากท้องของนายหญิงใหญ่ ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครรักได้ลงคอ แล้วนับประสาอะไรกับการเป็นบุตรชายของอี๋เหนียงที่ถูกตัดหางปล่อยวัดเล่า!
ป้าสวี่เข้าใจขึ้นมาทันที นางพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านวางใจเถิด เรื่องที่คุณชายสี่เอาตัวตี้จิ่นไปร่วมหลับนอนด้วย บ่าวจะต้องเรียนกับนายท่านใหญ่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย “อู่เหนียงและสือเหนียง คนหนึ่งแต่งก่อนคนหนึ่งแต่งหลัง เรื่องสินเดิมเราจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน”
ป้าสวี่ได้ยินแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลองเสนอไปว่า “ป่าเขาผืนนั้นมอบให้กับคุณหนูห้า ส่วนที่ดอนอีกผืนมอบให้กับคุณหนูสิบดีหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าป้าสวี่เข้าใจในความหมายของตน แววตาของนายหญิงใหญ่ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ไม่เลว เอาตามนี้เลย!”
สมบัติของบ้านสกุลหลัวล้วนอยู่ที่เจียงหนานทั้งสิ้น ป่าเขาผืนนั้นยังพอเก็บเงินได้หลายตำลึง แต่ที่ดอนอีกผืนกลับแล้งจนปลูกอะไรไม่ขึ้นเลย
“อีกเรื่องก็คือเรื่องเงินก้นถุง ให้อู่เหนียงเยอะหน่อยก็แล้วกัน!” ใบหน้าของนายหญิงใหญ่ปรากฏสีหน้าที่อ่อนล้าขึ้นมา “ไม่ว่าอย่างไร ที่ผ่านมานางเองก็เป็นเด็กดีและเชื่อฟังมาโดยตลอด”
ป้าสวี่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บ่าวจะไปบอกกับคุณหนูห้าเองเจ้าค่ะ นางเป็นเด็กดี จะต้องตอบรับความเมตตาของท่านอย่างแน่นอน”
นายหญิงใหญ่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “อยากจะใช้ความตายมาสั่นคลอนนายท่านใหญ่หรือ หึ…”
ป้าสวี่เงียบปากไม่กล้าจะพูดอะไรอีก
เวลานั้นเอง บรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบสนิท
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงานอยู่นอกม่านว่า “นายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่ก็ได้หันไปส่งสายตาให้กับป้าสวี่ ป้าสวี่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงเปิดม่านดังขึ้น ตามมาด้วยนายท่านใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ลูกทรพีคนนั้นมันจะกลับมาเมื่อไร” นายท่านใหญ่พูดพลางหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามกับนายหญิงใหญ่
“สองสามวันนี้กระมัง” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นว่า “ข้าได้ให้ป้าสวี่จัดเตรียมห้องให้แล้ว”
ป้าสวี่ยกน้ำชาเข้ามาให้นายท่านใหญ่ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ได้ให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องถอยออกไปจนหมด
“นายท่าน” นายหญิงใหญ่ถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “ท่านดื่มชาแล้วสงบสติอารมณ์ลงหน่อย อย่าโมโหจนเกินไป จะป่วยเอาได้”
นายท่านใหญ่รับถ้วยชามา สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เด็กยังอายุน้อย ทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ” นายหญิงใหญ่พูดกับนายท่านใหญ่ “ที่น่าเป็นห่วงกว่าก็คืออี๋เหนียงทั้งสอง พวกนางอาศัยอยู่ที่จสนสกุลหลัวมานานนับหลายสิบปี ไม่เคยออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง หากว่าพวกนางมีแผนการจริงๆ ข้าเองนึกไม่ออกเลย อีกอย่าง ถึงแม้ว่าเซิงเกอจะเลอะเลือน แต่ที่บ้านยังมีอู๋เซี่ยวเฉวียนและคนอื่นๆ จะต้องสั่งให้คนติดตามพวกนางไปอย่างแน่นอน กลัวก็แต่ว่าจะโชคร้ายเจอคนไม่ดี แต่อี๋เหนียงสี่ก็ดันมาผูกคอตายในเวลานี้ เมืองอวี๋หังไม่ได้กว้างมากมาย หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป หน้าของบ้านสกุลหลัวก็คงจะขายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ดีกับคุณชายสี่ด้วย อีกทั้งตอนนี้ก็กำลังรีบจัดการงานแต่งของอู่เหนียงกับสือเหนียงอยู่ มันน่ากลุ้มใจเสียนี่กระไร”
นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วก็สบถ “หึ” ขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาศพไปทิ้งที่ป่าช้ารกร้างเสีย!”
นายหญิงใหญ่แอบดีใจลึกๆ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าออกมา “นายท่านพูดจาซี้ซั้ว จะเอาอี๋เหนียงสี่ไปทิ้งที่ป่าช้ารกร้างได้อย่างไรกันเล่า ความหมายของข้าก็คือ ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับชั่วคราวก่อน รอให้อู่เหนียงและสือเหนียงแต่งงานออกเรือนไปแล้ว เราค่อยมาประกาศเรื่องการเสียชีวิตของอี๋เหนียงสี่ ท่านเห็นควรว่าอย่างไร”
นายท่านใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “สือเหนียงรู้เรื่องแล้วหรือยัง”
“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” นายหญิงใหญ่พูดขึ้น “ท่านเองก็รู้ดี ว่าบ้านเรือนของเราไม่ได้รุ่งเรืองเฉกเช่นเมื่อก่อน สินเดิมก็ไม่สามารถให้เยอะได้ จวนเม่ากั๋วกงก็ดี คุณชายเฉียนก็ดี ล้วนดีด้วยกันทั้งคู่ หากผ่านช่วงเวลานี้ไป เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”
นายท่านใหญ่เม้มปากเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นายหญิงใหญ่กลับพูดก่อนว่า “ข้ารู้ ท่านไม่ได้ถูกใจกับทั้งสองจวนนี้ แต่ท่านลองคิดดูดีๆ บุตรสาวบ้านเราอายุไม่น้อยแล้ว ดูอย่างบุตรสาวเอกของครอบครัวนายท่านสองและอี๋เหนียงสี่สิ มอบสินเดิมให้ไปตั้งสามพันตำลึง สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร น้องสะใภ้รองก็ยังต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งความรู้สึกไม่ใช่หรือ กว่าที่จะได้บัณฑิตจู่เหรินมาสักคน…”
“พอแล้ว พอแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องเงินนายท่านใหญ่ก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาทันที “เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว”
นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นบางเบา จากนั้นก็มีสาวใช้มารายงานผ่านผ้าม่านด้านนอกว่า “นายหญิงใหญ่ พี่เยียนหงจากจวนหย่งผิงโหวมาเจ้าค่ะ”
เยียนหงเป็นสาวใช้คนสนิทของหยวนเหนียง
ทั้งคู่อึ้งไปในทันที ผ้าม่านถูกเปิดออก จากนั้นก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินเข้ามา “นายหญิงใหญ่ เร็วเข้าเจ้าค่ะ ฮูหยินอาการไม่ดีเท่าไรนัก”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าในหัวขาวโพลนไปหมด ร่างกายจึงเซจนเกือบจะล้ม
นายท่านใหญ่ตกใจจนใบหน้าขาวซีด เขารีบเข้าไปประคองนายหญิงใหญ่พร้อมกับตะโกนเรียกคน “เร็วเข้า รีบไปตามหมอมาเร็ว!” จากนั้นก็ได้สั่งอีกว่า “ใครก็ได้ไปตามคุณนายใหญ่มาที!” เสร็จแล้วก็หันกลับมาดุเยียนหงว่า “พักหายใจหายคอแล้วค่อยๆ พูดไม่ได้หรืออย่างไรกัน!”
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เยียนหงก็ไม่กล้าที่จะพูดต่อ ในใจของนางนึกถึงเพียงแต่หยวนเหนียงที่อ้วกเลือดออกมา คอเสื้อเต็มไปด้วยเลือดที่แดงสด
*****
“ท่านแม่ สุภาษิตโบราณที่เคยกล่าวไว้ ความหมายดียิ่งนัก หากจะกล่าวสอนศิษย์ ควรออกไปกล่าวสอนนอกห้อง หากจะกล่าวสอนภรรยา ควรกล่าวสอนกันตามลำพังเพียงแค่สองคน แต่ท่านโหวกลับ…ไม่เคยบอกอะไรกับข้าเลย…” หยวนเหนียงที่ใบหน้าซูบผอมและซีดเผือดนอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ เสื้อผ้าและผ้าปูเตียงถูกเปลี่ยนเป็นผืนใหม่ที่สะอาดหมดจด อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิด้วย ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “รู้ทั้งรู้ว่าข้าปรารถนาอยากจะได้บุตรสาวของเจียงไป่ แต่กลับไปหมั้นหมายกับบุตรสาวของเจียงซง…เขาไม่เคยคิดไตร่ตรองเลย ว่าบุตรสาวของเจียงซงอ่อนกว่าจุนเกอเพียงสิบเดือนเท่านั้น สตรีไม่ได้ชราช้าเฉกเช่นบุรุษ ถึงเวลานั้น ก็จะเป็นดังเช่นแม่ของจุนเกอ…”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ไท่ฮูหยินพยักหน้าไม่หยุด “ล้วนเป็นความผิดของเจ้าหนูสี่ ข้าจะว่าเขาเอง ข้าจะว่ากล่าวเขาอย่างแน่นอน” ไท่ฮูหยินกุมมือของลูกสะใภ้ไว้แน่น “ข้าจะต้องให้เขามาขอโทษกับเจ้าให้ได้”
การขัดแย้งของสองสามีภรรยา ไม่สิ ไม่เคยมีแม้กระทั่งการขัดแย้งต่างหาก ให้เขาผู้เป็นสามีที่มียศเป็นขุนนางสูงศักดิ์ของราชสำนักมาตามขอโทษภรรยาของตน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คำว่าหญิงใจร้ายคงจะตอกกลางหน้าผากของนางจนวันตายเป็นแน่
หยวนเหนียงอิงอยู่บนหมอน นางส่ายหน้าเบาๆ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ไม่รู้ว่านางกำลังหัวเราะตัวเอง หรือกำลังหัวเราะไท่ฮูหยินกันแน่
เมื่อเอียงใบหน้าเล็กน้อย ก็เห็นรองเท้าหนังทรงสูงสีดำขาวคู่หนึ่งอยู่ด้านนอกของฉากบังลมหน้าห้อง
เวลานี้ ที่แห่งนี้ นอกจากสวีลิ่งอี๋แล้วก็เป็นใครไปไม่ได้อีก
เขายืนอยู่ด้านนอกของฉากบังลม เป็นเพราะรังเกียจ? หรือเป็นเพราะละอายแก่ใจ?
ความเย้ยหยันประชดประชันปรากฏขึ้นบนแววตาของนาง นางพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านยังจำเหตุการณ์วันที่ข้าพึ่งเข้ามาอยู่ในจวนได้หรือไม่”
จู่ๆ หยวนเหนียงก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“ตอนนั้น ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ดูแลพี่สะใภ้รองเท่านั้น” สีหน้าแห่งการหวนคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ตอนนั้นข้าได้ยินมาว่าที่สวนดอกไม้หลังเรือนมีกระต่ายที่ฮองเฮาทรงเลี้ยงไว้อยู่สองตัว ข้าจึงได้ไปร้องขอพี่สะใภ้รอง ว่าข้าอยากที่จะให้อาหารกระต่ายสองตัวนี้ทุกๆ วัน สุดท้าย ข้าก็เลี้ยงจนกระต่ายทั้งสองตัวตายไป แต่ท่านกลับลงทุนลงแรงไปตามหากระต่ายที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกับกระต่ายสองตัวนี้มาทดแทน จึงไม่ถูกจับได้”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินแล้ว ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ตอนนั้นเจ้ากอดกรงของกระต่ายร้องไห้เอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว!”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนโปรดปรานของท่าน ส่วนพี่สะใภ้สามก็หัวดีฉลาดหลักแหลม มีเพียงข้าเท่านั้นที่สู้ใครก็ไม่ได้ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ข้าจะออกหน้าก่อนเสมอ เพราะอยากจะให้ท่านรักและเอ็นดูข้า” หยวนเหนียงพูดขึ้นพลางกุมมือของไท่ฮูหยินไว้แน่น “ท่านแม่ ข้าเพียงแค่อยากจะเป็นสะใภ้ที่ดีของท่านด้วยใจจริงก็เท่านั้น เพียงแต่ข้าเป็นคนซื่อบื้อ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ไม่ดีอย่างที่ควรเป็น ท่านอย่าได้ถือสาข้าเลย…”
นั่งหันหน้าไปมองรองเท้าหนังทรงสูงสีดำขาวคู่นั้น ที่เริ่มขยับไปมาอย่างร้อนใจ
เมื่อได้ยินประโยคคำพูดที่เหมือนกับคำสั่งเสีย นางจึงได้หันไปมองใบหน้าที่ซีดเผือดของลูกสะใภ้ ดวงตาของไท่ฮูหยินก็มีน้ำตาซึมขึ้นมา “ข้ารู้มาโดยตลอดว่าเจ้าเป็นคนกตัญญู เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พักผ่อนเสียเถิด” พูดจบก็หันไปรับถ้วยกระเบื้องลายครามจากสาวใช้ ข้างในถ้วยเป็นโสมร้อยปีหั่นชิ้น
โสมในถ้วยถูกหั่นเป็นแผ่นชิ้นบางๆ
“มา อมไว้สักแผ่น”
หยวนเหนียงส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองไปยังไท่ฮูหยินด้วยนัยน์ตาที่ดำสนิท แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแค่อยากจะคุยกับท่านเท่านั้น”
“อมไว้ก่อนแล้วค่อยพูด” ไท่ฮูหยินโน้มน้าวนางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงราวกับว่ากำลังโอ๋เด็กน้อยก็ไม่ปาน
หยวนเหนียงปฏิเสธอย่างสุภาพ “ประเดี๋ยวข้านอนแล้วจึงค่อยอม เช่นนี้จะได้ผลดีกว่า”
ไท่ฮูหยินรู้นิสัยใจคอของนางดี เมื่อฟังเหตุผลจากนางแล้ว ก็ไม่ได้ดันทุรังต่อ ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงส่งถ้วยกลับไปให้สาวใช้ดังเดิม “งั้นก่อนที่เจ้าจะนอนจำไว้ว่าต้องอมไว้สักแผ่น”
“เจ้าค่ะ!” หยวนเหนียงพยักหน้าตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
ในเมื่อลูกสะใภ้อยากที่จะพูดกับตน วันนี้นอกเสียจากนางโกรธจนอ้วกเป็นเลือดแล้ว ยังได้รับหนังสือผูกดวงในวันนี้อีกด้วย วันข้างหน้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ คิดอยากจะหลีกเลี่ยงหน้าที่ความเป็นแม่ก็ไม่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ไท่ฮูหยินก็เริ่มเอ่ยปากพูดก่อนว่า “หยวนเหนียง เรื่องของจุนเกอล้วนแต่เป็นข้าที่ทำไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าบุตรสาวของเจียงซงจะอายุน้อยกว่าจุนเกอเพียงสิบเดือน แต่เจียงซงไร้ซึ่งยศขุนนางและตำแหน่งหน้าที่ ตระกูลเรามีคุณงามความดีสูงส่ง อีกทั้งฮองเฮายังมาจากตระกูลของเราอีกด้วย หากคิดอยากจะมีชีวิตที่สงบสุข ราบรื่นปลอดภัย ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว อ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมตัว…” เมื่อพูดมาจนถึงประโยคนี้ ใบหน้าของนางก็ปรากฏสีหน้าละอายใจขึ้นเล็กน้อย
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจดี” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับตัดบทสนทนาของไท่ฮูหยินไป “ท่านและท่านโหวมีประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ข้ารู้ว่าที่ท่านทำอย่างนี้เพราะมีเหตุผล ข้าเพียงแต่รู้สึกโกรธท่านโหวที่ไม่เคยปรึกษาหารืออะไรกับข้าเลย” นางพูดพร้อมกับเม้มปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ท่านแม่ ข้าไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ ข้ากลัวว่าหากข้าหลับตาไป ก็จะไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยกับท่านอีก!”
ยิ่งหยวนเหนียงไม่ยอมพูดความในใจของตนเอง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจของนาง
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไท่ฮูหยินเองก็ไม่อยากที่จะดันทุรังพูดเรื่องนี้ต่อ
จึงทำได้เพียงปั้นหน้าเคร่งขรึมราวกลับว่ากำลังโกรธ “พูดไปเรื่อย เจ้ายังอายุน้อย จุนเกอเองก็ยังไม่ได้สู่ขอสะใภ้เลย ข้าเองก็ยังเฝ้ารอให้เจ้ามาเลี้ยงดูข้ายามแก่เฒ่าและส่งข้าเข้าโรง…” นางพูดขึ้นพลางนึกถึงเมื่อหลายปีมานี้ ลูกสะใภ้ตนที่มักจะฝืนและอดทนแสร้งว่าเข้มแข็งมาโดยตลอด ดวงตาก็มีน้ำตาซึมขึ้นมา
“ข้ารู้ตัวข้าดี!” หยวนเหนียงทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างของฉากบังลม น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจและแผ่วเบาลงไปมาก “ข้าอยู่ที่บ้านเป็นบุตรสาวคนโต ท่านพ่อและท่านแม่ประคบประหงมข้าดุจไข่ในหิน จากนั้นก็ได้แต่งเข้ามาที่นี่ ท่านปฏิบัติกับข้าดังเช่นที่ข้าเคยได้รับมา ท่านโหวเองก็เคารพการตัดสินใจของข้าทุกอย่าง สตรีที่สามารถเป็นได้เช่นข้า ถึงตายก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียดายแล้ว แต่ข้าไม่อาจทำใจจากจุนเกอได้ ไม่อาจทำใจจากท่านได้ และไม่อาจทำใจ…จากท่านโหวไป” นางพูดขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากไปทั่วทั้งใบหน้า นางสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง สะอื้นจนเหมือนว่ากำลังหายใจไม่ออก จนนางเอามือขึ้นมาทาบแนบอก