กลับมาถึงเหอฮวาหลี่ก็มืดจนต้องจุดไฟให้สว่างไสวแล้ว
พวกเขาไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน
จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังเล่นกระโดดเชือกอยู่บนเตียง เห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา พวกเขาก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่น
ไท่ฮูหยินที่หัวเราะมองพวกเขาเล่นกระโดดเชือกกันอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวจุนเกอ “เขาไม่ใช่เสือสักหน่อย กลัวเขาจะกินเจ้าหรืออย่างไร”
จุนเกอจับแขนเสื้อของไท่ฮูหยินแน่น นั่งข้างไท่ฮูหยินพลางมองดูบิดาของตัวเองด้วยความหวาดกลัว
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วแน่น
จุนเกอก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม
ตัวเองพึ่งจะแต่งเข้ามา ในสายตาของสกุลสวีนางยังเป็นคนนอก พ่อลูกมองหน้ากันเช่นนั้นคงไม่ดี หากเผลอพูดเรื่องสำคัญอะไรออกมาให้ตัวเองได้ยิน กลัวว่าไท่ฮูหยินคงจะรู้อึดอึดอัด
สืออีเหนียงจึงยิ้มและถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “ทานข้าวแล้วหรือยัง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ รีบลงมาจากเตียงแล้วตอบกลับด้วยความเคารพ “ทานแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้า
สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์มีความหวาดระแวง
นางยังเด็ก คิดอะไรก็แสดงออกมาเช่นนั้น แต่ว่าหากเป็นตัวเองเอง นางก็คงจะหวาดระแวงเช่นกัน!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
มีคำถามของสืออีเหนียงและคำตอบของเจินเจี่ยเอ๋อร์ บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
ไท่ฮูหยินเหลือบมองมาที่สืออีเหนียง สายตาของนางก็มีความอุ่นใจ
เมื่อสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงคารวะไท่ฮูหยินเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินก็ยิ้มและบอกให้จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์คารวะพวกเขาสองคน
เจินเจี่ยเอ๋อร์ย่อเข่าคารวะ ย่ออย่างมั่นคง ท่าทางสง่างาม แต่จุนเกอกลับย่ออย่างสั่นคลอน ดูไม่ค่อยเชี่ยวชาญสักเท่าไร
สืออีเหนียงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่นางมาหาหยวนเหนียง แม่นมเป็นคนอุ้มเขาย่อคำนับ นางเดาว่าวันปกติเขาคงจะไม่ค่อยย่อคำนับให้ใคร
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้เขาก็ขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม
ไท่ฮูหยินรีบพูดว่า “ดึกแล้ว ทุกคนไปพักผ่อนกันเถิด!”
ดูเหมือนว่านางไม่อยากให้สวีลิ่งอี๋สั่งสอนจุนเกอต่อหน้านาง…แต่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ มันทำให้สืออีเหนียงตกใจ แล้วก็นึกถึงความสดใสร่าเริงของสวีลิ่งควน…นางรู้สึกว่าไท่ฮูหยินตามใจเด็กๆ แต่สวีลิ่งอี๋ดูเหมือนจะไม่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง แต่นี่ก็ไม่แน่ เพราะตัวเองยังอยู่กับเขาไม่นาน อาจจะยังสังเกตไม่เห็น…
นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋
เห็นเขาย่อคำนับไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “ท่านแม่พักผ่อนเถิดขอรับ! พวกเราขอตัวกลับไปก่อน”
สืออีเหนียงรีบย่อคำนับตามสวีลิ่งอี๋และขอตัวลาไท่ฮูหยิน
ระหว่างทาง สีหน้าของสวีลิ่งอี๋มืดมน เขาเดินเร็ว สืออีเหนียงต้องเดินไปด้วย วิ่งเหยาะๆ ไปด้วยถึงจะตามเขาทัน
คนโง่ก็ยังเดาออกว่าเขาอารมณ์ไม่ดี และคนโง่ก็ไม่มีทางไปยั่วเขาตอนนี้
บ่าวรับใช้ชาย รวมถึงสืออีเหนียงเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างเงียบๆ
เดินไปทางตะวันออกและตะวันตก เดินผ่านโถงบุปผาและโถงเตี่ยนชวน เดินผ่านเรือนของสวีลิ่งควนและหยวนเหนียง จู่ๆ สวีลิ่งอี๋พลันหยุดเดินกะทันหัน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ
ด้านซ้ายเป็นป่าไผ่ ด้านขวาเป็นประตูสีดำ
สาวใช้ที่ติดตามมาด้วยเป็นสาวใช้ของสืออีเหนียง ทุกคนต่างสับสน เว้นแต่บ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋ ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาต้อนรับที่ประตู “ท่านโหวกับฮูหยินกลับมาแล้วหรือเจ้าค่ะ”
เสียงประตูเปิดออก มีท่านป้าเดินเข้ามาคำนับ “ท่านโหว ฮูหยิน”
สวีลิ่งอี๋ไม่ชายตามองท่านป้าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเดินตรงเข้าไปข้างในทันที
สืออีเหนียงไม่กล้าหยุดอยู่ต่อ นางจึงเดินตามเขาเข้าไป จากนั้นนางถึงได้เห็นว่า ที่แท้แล้วนี่คือประตูหลังของเรือนตัวเอง
ประตูนั้นเชื่อมต่อกับทางเดินข้างหลังเรือน พวกเขาเดินไปตามทางเดินทางทิศตะวันออกแล้วเดินไปที่เรือนหลัก
พวกเขาเข้ามาในห้อง สวีลิ่งอี๋เรียกชุนมั่วและซย่าอีมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา
สืออีเหนียงก็ไม่กล้าอยู่เฉยๆ นางเดินไปชงชาด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ไปนั่งจิบชาบนเตียงข้างหน้าต่าง มองไปที่สืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงยิ้มและอธิบายว่า “สองสามวันมานี้เห็นท่านโหวดื่มแต่ชาเถี่ยกวนอิน ข้าจึงชงมาให้ท่าน!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วตอบ “อืม” ออกมา สีหน้าของเขาดีขึ้น จากนั้นก็จิบชาอีกครั้ง
ถือว่าประจบประแจงได้สำเร็จ
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่ง นางยิ้มและถามเขาว่า “ท่านโหวอยากทานอะไรหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ก่อนออกไปข้าบอกให้โรงครัวต้มซุปเมล็ดบัวเย็นเอาไว้”
เมื่อวานตอนเย็นหู่พั่วบอกนางว่า ในเรือนมีโรงครัวเล็กๆ แล้วสกุลสวียังส่งแม่ครัวมาให้สองคน ท่านป้าสองคน สาวใช้น้อยอีกสองคน คนเฝ้ายาม และยังมีข้าวร้อนๆ น้ำร้อนๆ ให้กินอยู่ตลอด
สวีลิ่งอี๋สีหน้าดีขึ้น “ข้าไม่ทานอะไรตอนกลางคืน หากเจ้าหิวเจ้าก็ไปทานเถิด!”
ไม่น่าแปลก พวกเขาทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกันตลอดชีวิต ยักคิ้วหลิ่วตา เจ้าเดาข้าเดา นั่นคือพฤติกรรมของคนที่พึ่งคบหาดูใจกัน ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของพวกเขา ทำไมถึงไม่ทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นล่ะ
“เดิมทีกลัวว่าท่านจะดื่มเหล้ามากเกินไป ข้าจึงบอกให้ที่โรงครัวทำอะไรหวานๆ เอาไว้” ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนเชิญเขาก่อน แต่นางก็ยังแนะนำตัวเองให้สวีลิ่งอี๋รู้จักอย่างอ้อมค้อม “ข้าก็ไม่ทานอะไรตอนกลางคืนเช่นกันเจ้าค่ะ กลัวอาหารไม่ย่อย”
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาก้มหน้าจิบชา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ตอนนางยังเรียนอยู่นางก็เป็นคนชอบพูดชอบหัวเราะ แล้วยังเคยเป็นแชมป์โต้วาที ต่อมา เพราะว่าต้องทำงาน กลับมาบ้านมาก็ไม่อยากพูดอะไรสักคำ เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนบ้านและเพื่อนๆ ต่างบอกว่านางเงียบขรึมเกินไป คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋นั้นเงียบขรึมมากกว่านางเสียอีก แล้วความเงียบขรึมนี้ก็ไม่เหมือนกับนาง ดูเหมือนเขาจะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด อยู่ต่อหน้าไท่เฮาเขาก็พูดจากระชับและรัดกุม ไม่พูดอะไรไร้สาระแม้เพียงประโยคเดียว
ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องพูดจาหวาน แต่ไม่พูดอะไรเช่นนี้มันก็ทำให้คนรู้สึกอึดอัด!
หรือว่าต่อไปนางไม่มีอะไรพูดก็ต้องหาอะไรมาพูดเช่นนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัว
นางไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญเรื่องการชวนคุย แล้วอีกอย่าง นางสงสัยว่า สวีลิ่งอี๋ต้องเป็นคนชอบฟังคนอื่นซุบซิบนินทาแน่ๆ…
สวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามสืออีเหนียงกลับไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาแค่คิดว่าชาเย็นไปหน่อย แต่ก็ยังพอดื่มได้ แต่ที่เขาคิดถึงอยู่ก็คือจุนเกอ
หยวนเหนียงเชื่อคำพูดของนักบวชลิทธิเต๋าฉังชุนมาตลอด ต่อมา ทรมานไปทรมานมาก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ จากนั้นนางจึงยิ่งเชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม ตอนที่จุนเกอยังไม่เกิดนางก็ให้นักบวชลิทธิเต๋าฉังชุนมาดูดวง นักบวชลิทธิเต๋าฉังชุนบอกว่าเป็นบุตรชาย แต่ว่าอาจจะเลี้ยงให้รอดยาก ก่อนอายุสิบขวบจะต้องเจอกับหายนะที่ต้องเสียเลือด ภัยพิบัติทางน้ำและภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด หากผ่านสามอุปสรรคนี้ไปได้ เขาก็จะมีชีวิตรอดต่อไป แต่หากข้ามผ่านไปไม่ได้ ก็จะมีเรื่องโชคร้ายมากกว่าโชคดี เพราะเช่นนี้ จึงต้องมีคนคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ต่อมาคลอดจุนเกอออกมา ก็เป็นบุตรชายอย่างที่เขาบอกจริงๆ ตอนที่หยวนเหนียงคลอดจุนเกอเสียเลือดเยอะมาก เจอกับหายนะที่ต้องเสียเลือดจริงๆ ตอนที่เขาสิบเดือนเขาอาบน้ำแล้วสำลักน้ำเกือบตาย เจอกับภัยพิบัติทางน้ำจริงๆ…ต่อจากนั้นเป็นต้นมา หยวนเหนียงจึงไม่ให้จุนเกอออกห่างจากตัวเองแม้เพียงครึ่งก้าว
เขาเองก็ไม่สบายใจ เรื่องอะไรเขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น แต่คิดไม่ถึงว่า นางจะเลี้ยงเขาให้เป็นเด็กผู้หญิงเช่นนี้ รู้จักแค่เล่นกระโดดเชือกและขว้างถุงทราย…
คิดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่สูดจะหายใจเข้าลึกๆ
จะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว…ให้ผู้หญิงเป็นคนเลี้ยงเขา เกรงว่าคงจะเลี้ยงเขาให้แข็งแกร่งเหมือนลูกผู้ชายไม่ได้ สกุลนี้ยังต้องให้เขาเป็นคนดูแล!
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยิน เหวินอี๋เหนียงมาคารวะเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋มืดมนลง จากนั้นเขาก็ตอบ “อืม” เบาๆ
เหวินอี๋เหนียงยิ้มและถือกล่องสีแดงเดินเข้ามา “สองสามวันมานี้ท่านโหวกับพี่หญิงเหนื่อยมากแล้ว บังเอิญว่าสองสามวันก่อนนายท่านสามสกุลเหวินส่งโสมสองชิ้นและรังนกครึ่งกิโลมาให้ ข้าจึงเอามาให้พี่หญิงดูแลสุขภาพเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็มองดูสวีลิ่งอี๋หยิบกล่องอันนั้นไปวางไว้ตรงหน้าสืออีเหนียง
มาทำตัวเป็นมิตรขนาดนี้!
สืออีเหนียงนึกถึงวันที่เจอกับเหวินอี๋เหนียงในลานสวนเล็กวันนั้น นางก็อยากจะแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือแล้วรับของพวกนั้นมา แต่เมื่อเห็นสายตาของนางมองมาที่สวีลิ่งอี๋ นางก็เปลี่ยนใจทันที นางตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร ให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนจัดการ
ส่วนหู่พั่ว หากไม่มีสัญญาณจากสืออีเหนียง นางไม่มีทางทำอะไรแน่นอน
ผ่านไปครู่หนึ่ง มือที่เนียนนุ่มของเหวินอี๋เหนียงก็แข็งทื่ออยู่ท่ามกลางอากาศพร้อมกล่องสีแดง
สวีลิ่งอี๋ไม่เข้าใจว่าทำไมสืออีเหนียงไม่พูดอะไร เขาจึงเหลือบไปมองนาง และสืออีเหนียงก็กำลังมองเขาด้วยสายตาที่สงสัย สายตาของพวกเขาทั้งสองคนก็สบกันพอดี
นี่เป็นเรื่องของเรือนใน หรือเจ้าจะให้ข้าเป็นคนพูด…
แต่เมื่อนึกถึงการสั่งสอนที่ไม่ไว้หน้าของนายหญิงใหญ่สกุลหลัววันนี้ เขาจึงเดาว่านางอาจจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็เข้าใจขึ้นมาทันที นางยิ้มและพูดกับเหวินอี๋เหนียง “ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว” หู่พั่วจึงเดินเข้าไปรับกล่องนั้นมา
เหวินอี๋เหนียงรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ
ตั้งแต่รู้ว่าสืออีเหนียงจะแต่งเข้ามา นางก็เสียใจเป็นอย่างมาก วันนั้นตอนที่อยู่ที่ลานสวนเล็กไม่ควรทำให้นางไม่พอใจจริงๆ นางอยากจะชดเชยมาตลอด แต่กลับหาโอกาสที่เหมาะสมไม่เจอสักที วันนี้นางนำยาสมุนไพรพวกนี้มาให้ หนึ่งคืออยากบอกสืออีเหนียงว่าสกุลเหวินเป็นสกุลเช่นไร โสมร้อยปีและรังนกครึ่งกิโล ใช่ว่ามีเงินก็จะซื้อมาได้ อยากทำให้นางตกใจเสียหน่อย สองคือนางอยากจะดูปฏิกิริยาของสืออีเหนียง นางจะยิ้มแล้วรับไปหรือจะชักสีหน้าใส่นาง หากเป็นอย่างแรก เกรงว่านางคงจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา ตัวเองต้องคอยระวัง และหาวิธีเป็นมิตรกับนาง แต่หากเป็นอย่างที่สอง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เอาพวกเงินๆ ทองๆ มาเกลี้ยกล่อมให้นางมีความสุขก็พอแล้ว…แต่คิดไม่ถึงว่า นางจะเหลือบไปมองท่านโหว ใช้ท่านโหวช่วยคิดแทนนาง แล้วท่านโหว เขาไม่เคยยุ่งเรื่องของเรือนใน แต่กลับบอกนางว่าควรจะทำเช่นไร เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการปกป้องนาง
“ท่านโหวและฮูหยินเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน” นางมองไปยังใบหน้าที่สวยงามของสืออีเหนียง ความคิดนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมาในใจของนาง “ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ จะได้ไม่รบกวนพวกท่านพักผ่อน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า มองดูเหวินอี๋เหนียงเดินออกไป จากนั้นก็ถามสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวจะพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋กำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานอีกว่า “ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยสอง ฉินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงมาคารวะเจ้าค่ะ!”
“ให้พวกเขาเข้ามา!” สืออีเหนียงเห็นว่าสายตาของสวีลิ่งอี๋มีรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลง
หรือว่า สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบเหวินอี๋เหนียงที่ชอบประจบประแจง? หรือว่า เขาชอบสวีซื่ออวี้?
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด สวีซื่ออวี้ ฉินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงก็เดินเข้ามา
สวีซื่ออวี้ยังคงดูสงบเสงี่ยม ฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังก็ยังคงเรียบง่ายและเย็นชา ทั้งสามคนย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋บอกให้คนเอาเก้าอี้มาให้พวกเขานั่ง จากนั้นก็ถามถึงการบ้านของสวีซื่ออวี้ “…ได้ยินมาว่าอาจารย์เริ่มสอนเรื่อง ‘คัมภีร์มหาบุรุษ[1]’ แล้ว?”
สวีซื่ออวี้ตอบกลับด้วยความเคารพ “ขอรับ” แล้วพูดต่อว่า “แค่เข้าใจนิดหน่อย ยังไม่กล้าพูดว่าเรียนขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พอใจกับคำตอบของเขาเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “สิบตาเห็น สิบมือชี้ หมายความว่าเยี่ยงไร”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้คิดเลยสักวินาที เขาตอบกลับมาทันทีว่า “สุภาพบุรุษต้องมีความซื่อสัตย์ ภายใต้สายตาของทุกคนต้องไม่เกรงกลัว!”
สวีลิ่งอี๋ถามเขาอีกว่า “ทำไมหากอยากมีศีลธรรมต้องฝึกฝนตนเองก่อน”
“จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินแต่กลับไม่รู้รสชาติ จึงต้องฝึกฝนตนเองก่อน!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋
นายหญิงใหญ่บอกว่าเขาไม่ชอบอ่านหนังสือไม่ใช่หรือ? ทำใมถึงทดสอบสวีซื่ออวี้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าคำถามพวกนี้จะดูง่ายสำหรับนาง แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าสวีลิ่งอี๋เคยเรียนตั้งใจเรียนมาก่อน
——————————–
[1]คัมภีร์มหาบุรุษ กวีนิพนธ์จีนโบราณ