ไท่ฮูหยินรีบเชิญหลัวเจิ้นซิ่งเข้ามา
หลัวเจิ้นซิ่งคำนับไท่ฮูหยิน มอบข้าวเหนียวที่บรรจุอยู่ในกล่องลายครามหนึ่งกล่อง ปลาคาร์ฟเงินสองหางสองตัวและแผ่นเนื้อที่บรรจุอยู่ในกล่องสีแดงหนึ่งกล่องให้ไท่ฮูหยิน
ป้าตู้รับมา จากนั้นก็รับใช้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงทานข้าว
ไท่ฮูหยินเชิญหลัวเจิ้นซิ่งนั่งลงพูดคุยกัน
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงทานให้พอเป็นพิธี จากนั้นก็ขอตัวออกไปตรอกกงเสียนกับหลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นต๋า อวี๋อี๋ชิงและเฉียนหมิงรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นรถม้า พวกเขาก็ต้อนรับขึ้นรถม้าไป
หลังจากลงจากรถม้าคำนับกันเสร็จแล้ว สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงก็ไปยังเรือนของนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่
นายหญิงสาม นายหญิงสอง ซื่อเหนียง อู่เหนียง สือเหนียง คุณนายใหญ่ คุณนายสามแล้วยังมีหลัวเจิ้นไค หลัวเจิ้นอวี้ หวังหลังและคนอื่นๆ กำลังรอพวกเขาอยู่ในเรือน
สืออีเหนียงเห็นสือเหนียงนางก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนางดูปกติ สืออีเหนียงก็รู้สึกสบายใจ
หวังหลังเห็นว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋คาดเดาไม่ได้ แต่เขาก็เดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ยิ้มและพยักหน้าให้หวังหลังด้วยท่าทีที่เย็นชา
แต่บรรดาญาติผู้หญิงกลับไม่เหมือนกัน พวกนางพากันมาล้อมรอบสืออีเหนียงและพูดคุยกับนาง นายหญิงสองหัวเราะ “ฮูหยินระดับหนึ่งของพวกเรามาแล้ว” ทำให้สืออีเหนียงไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองสักเท่าไร เพราะว่านางถูกคนอื่นมองข้ามมาตั้งนาน จู่ๆ ก็กลายมาเป็นจุดสนใจเช่นนี้ เป็นใครก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัว โชคดีที่สืออีเหนียงเจอเรื่องแปลกๆ มามากมาย นางยิ้มและเอ่ยเรียก “อาสะใภ้สอง” “อาสะใภ้สาม” ทีละคน แต่ไม่สนใจคำพูดของนายหญิงสอง
นายหญิงสามยิ้มแล้วจับมือสืออีเหนียง “รีบเข้ามาข้างใน ท่านลุงกับท่านป้ารอเจ้าอยู่!”
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินไปที่ห้องทางทิศตะวันตก
นายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่นั่งรอพวกเขาอยู่บนเตียงใกล้หน้าต่าง
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงคุกเข่าลงและก้มหัวให้ทั้งสองคน
หลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่ช่วยพยุงพวกเขาลุกขึ้น
นายท่านใหญ่มองดูพวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เขาถามสวีลิ่งอี๋อย่างสนิทสนม “สืออีเหนียงไม่ได้ก่อเรื่องให้ท่านโหวใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
ในฐานะพ่อตา ท่าทีของนายท่านใหญ่อ่อนน้อมถ่อมตนเกินไปหรือเปล่า?
และคำตอบของสวีลิ่งอี๋ยิ่งทำให้นางตกใจมากกว่าเดิม
“สืออีเหนียงใจกว้างมีมารยาท คนในจวนล้วนชอบนางขอรับ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋
สายตาของเขาสงบนิ่ง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ไม่ได้ทำให้ใครคิดว่าประโยคนี้คือเรื่องตลกหรือถ่อมตน แต่เพราะว่าท่าทีเช่นนี้ของเขา มันทำให้นายท่านใหญ่ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขามีความลังเล
นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป็นห่วงเรื่องไร้สาระแล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวเป็นคนใจกว้าง ท่านก็เคยบอก!” จากนั้นนางก็มองไปที่สืออีเหนียง “ตอนที่เจ้าอยู่กับข้า ข้าก็บอกให้เจ้าอ่านบัญญัติสตรีและตำนานปีศาจสาว สามีอ่อนน้อมถ่อมตน เจ้ายิ่งต้องเคารพเขา ความรักและเอ็นดูของแม่สามี เจ้ายิ่งต้องระวัง อย่างได้เป็นกิ้งก่าได้ทอง อย่าได้ลิ้นยาวถึงตาตุ่ม…” นางสั่งสอนสืออีเหนียง
แน่นอนว่าสืออีเหนียงรับฟังด้วยความเคารพ
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรยากาศในห้องก็เริ่มหดหู่
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วเบาๆ
เฉียนหมิงรีบหัวเราะขัดจังหวะคำพูดของนายหญิงใหญ่ “แม่สามี แขกอย่างพวกเราไม่ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวานก็เพราะรออาหารมื้อนี้ ท้องร้องเป็นเพลงหมดแล้วขอรับ หากท่านยังสั่งสอนน้องหญิงอยู่อีก พวกเราคงจะทนไม่ไหวแล้ว”
นายหญิงใหญ่ตกใจ แต่คนอื่นกลับพากันหัวเราะ นางก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก จึงพูดว่า “อืม” อย่างคลุมเครือ
เฉียนหมิงจับมือสวีลิ่งอี๋ “ไปดื่มเหล้า ไปดื่มเหล้า!” แล้วก็พูดกับหลัวเจิ้นซิ่ง “วันนี้เป็นวันของคุณชายอย่างเรา เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่มีเหล้าและอาหารอร่อยๆ”
ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นมา
นายท่านใหญ่ สวีลิ่งอี๋และอีกสองสามคนพากันไปที่เรือนของหลัวเจิ้นซิ่ง แต่สืออีเหนียงกลับอยู่ที่เรือนของนายหญิงใหญ่กับบรรดาญาติผู้หญิง
สาวใช้จัดโต๊ะสีดำไว้ในห้องโถง
นายหญิงใหญ่พาสืออีเหนียงนั่งตรงตำแหน่งหลัก “วันนี้คุณนายกลับมาแล้ว…”
นายหญิงสองและนายหญิงสามก็พากันนั่งลงข้างซ้ายและข้างขวา ซื่อเหนียงและอู่เหนียงนั่งข้างนายหญิงใหญ่ คุณนายสามและสือเหนียงนั่งตรงข้ามกับนายหญิงใหญ่และสืออีเหนียง
คุณนายใหญ่เรียกสาวใช้ยกอาหารขึ้นมา
สายตาที่เฉียบแหลมของอู่เหนียงมองตรงมายังสืออีเหนียง
ไม่ได้สง่างามและเรียบง่ายเหมือนวันปกติ วันนี้สืออีเหนียงแต่งตัวงดงาม ม้วนผมสีดำที่สวยงามเป็นมวยดอกโบตั๋น ประดับด้วยเครื่องประดับเพรชพลอยสีทองและกิ๊บติดผมอัญมณีสีแดงทับทิม สวมเสื้อสีแดงและกระโปรงผ้าไหมลายดอกเหมยหลานสีเหลือง
เพรชพลอยที่อยู่บนหัวแต่ละเม็ดมีขนาดเท่าเล็บมือ อัญมณีมีทั้งเล็กและใหญ่ เฉดสีแตกต่างกัน เรียงทับซ้อนกันช่างมีความสง่างาม แล้วยังมีกิ๊บติดผมอัญมณีสีแดงทับทิม แต่ละเม็ดขนาดเท่าเมล็ดบัว ส่องแสงระยิบระยับงดงาม
นางอดไม่ได้ที่จะอิจฉา
ซื่อเหนียงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหญิงห้าเอาแต่จ้องมองน้องหญิงสิบเอ็ด เจ้ากลัวว่าท่านโหวจะรังแกน้องหญิงของเจ้าหรือ”
ถูกคนอื่นมองออก อู่เหนียงก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางฝืนยิ้ม “ข้าแค่อยากจะดูว่าฮูหยินระดับหนึ่งเป็นอย่างไร ไม่ว่าเช่นไร น้องหญิงสิบเอ็ดก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาพี่ๆ น้องๆ อย่างพวกเรา”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
คนที่มีหน้ามีตาที่สุด คนที่มีหน้ามีตาที่สุดคือหยวนเหนียงมิใช่หรือ…ตอนนี้ยังมีใครจำนางได้อยู่หรือไม่
สายตาของนายหญิงใหญ่เย็นชา แต่นางกลับยิ้มแล้วยกจอกเหล้าขึ้นมา “มา มา มา พวกเราดื่มกันเถิด”
นอกจากสืออีเหนียง ทุกคนต่างพากันยกจอกเหล้าขึ้นมาตอบกลับไท่ฮูหยินแล้วเริ่มทานอาหาร
งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
นายหญิงใหญ่คีบเนื้อปลาตากแห้งใส่ลงในชามของสืออีเหนียง “ปลานี้เอามาจากอวี๋หัง ต่อไปเจ้าคงไม่ค่อยมีโอกาสได้ทานแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีท่านแม่อยู่ ข้าไม่กลัวว่าจะไม่ได้ทานหรอกเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็คีบเนื้อปูก้อนตุ๋นใส่ลงในชามของนาง “นี่คืออาหารโปรดของเจ้า!”
สืออีเหนียงยิ้มให้นายหญิงใหญ่แล้วเอ่ย “ขอบพระคุณท่านแม่” เบาๆ
นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู
สายตาของอู่เหนียงหม่นหมองลง
แต่นายหญิงสามกลับพูดว่า “กลุ่มสาวน้อยที่วิ่งอยู่ข้างหน้าเมื่อก่อน คิดไม่ถึงว่า ผ่านไปไม่กี่ปีก็โตจนเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว และยังรู้รักเป็นห่วงท่านแม่”
นายหญิงสองหัวเราะแล้วพูดว่า “อย่าอิจฉาเลย อีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะได้เป็นแม่สามีแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีคนเป็นห่วงเจ้าเช่นกัน”
นายหญิงสามยิ้มแล้วส่ายหน้า “ลูกสะใภ้จะเทียบกับลูกสาวได้เช่นไรกัน…” จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องแต่งงานของหลัวเจิ้นเซิง “…ไคเกอกับอวี้เกอดื้อรั้นเช่นนั้น ข้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้ โชคดีที่ท่านพ่อเขียนจดหมายมาบอกว่าคิดถึงหลานชายสองคนนี้ ข้าจึงทำตามที่อาจารย์จ้าวต้องการ จะให้อาจารย์จ้าวพาพวกเขาสองคนกลับไปยังต้าถง กลับไปให้ท่านพ่อเป็นคนจัดการ ไปเรียนหนังสือกับหลานชายของข้า พวกเขาสองคนจะออกเดินทางวันที่สิบแปดเดือนเก้านี้ จากนั้นข้าก็จะไปซื่อชวน ไปดูแลนายท่าน แต่ข้ายังเป็นกังวล กลัวว่าตอนที่เซิงเกอแต่งงานข้าจะกลับไปที่อวี๋หังไม่ได้”
นายหญิงสามพูดแล้วมองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยความรู้สึกผิด
นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของท่านลุงสามสำคัญกว่า เจ้าอย่าลืมใส่ซองแดงซองใหญ่ๆ ให้หลานชายและหลานสะใภ้ก็พอ”
นายหญิงสามรีบตอบกลับ “ไม่ลืมแน่นอน ไม่ลืมแน่นอนเจ้าค่ะ”
นายหญิงสองได้ยินเช่นนี้ก็บ่นว่า “พูดถึงสกุลโจว ได้ยินมาว่าทั้งสกุลมีเพียงสามไร่ แล้วยังมีน้องสี่ น้องห้า” นายหญิงสองไม่เห็นด้วย “หากรู้ว่าสกุลเช่นนี้พี่หญิงก็เห็นด้วย ข้าคงจะออกหน้าไปสู่ขอแทนเซิงเกอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น สินเดิมสองสามพันตำลึงก็ยังพอมี”
นายหญิงสองก็เป็นคนมณฑลอวี๋ มีพี่ชายบุตรอนุที่ทำกิจการเจริญรุ่งเรือง นางอยากจะให้หลานสาวของตัวเองแต่งงานกับหลัวเจิ้นเซิง แต่เพราะว่าติดตรงช่วงไว้ทุกข์ให้นายท่านใหญ่คนก่อน คิดไม่ถึงว่า นายหญิงใหญ่จะแอบจัดการเรื่องแต่งงานของหลัวเจิ้นเซิงอย่างเงียบๆ แน่นอนว่านางอยากจะบ่น
สายตาของทุกคนมองไปที่นายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ยกยิ้มอย่างแผ่วเบา “ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเซิงเกอ ต้องหาคนที่โตกว่ามาคอยจัดการ สกุลโจวเป็นสกุลที่สะอาดสะอ้าน แล้วยังเป็นญาติกับใต้เท้าโจวที่หังโจว ข้าคิดว่าต่อไปเจอเรื่องอะไรก็จะได้ช่วยเขาได้ ข้าจึงรับปากงานแต่งงานครั้งนี้”
นายหญิงสองแสร้งทำเป็นพูดว่า “ไม่มีพรหมลิขิตจริงๆ” นางถอนหายใจ “บังเอิญจริงๆ พวกเจ้าก็รู้ว่า งานแต่งงานของชีเหนียงกำหนดไว้วันที่สิบเดือนสิบ ข้าคงไปร่วมงานไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องให้ต๋าเกอกลับไปอวี้หังแทนพวกข้าสองคนเสียแล้วกระมัง”
“เช่นนั้นพี่สามจะกลับมาฉลองปีใหม่ที่เยี่ยนจิงหรือไม่” อู่เหนียงได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หากกลับมาที่เยี่ยนจิง ก็พาข้ากลับมาด้วยพอดี!”
ทุกคนตกใจ แต่นายหญิงใหญ่กลับยิ้ม
อู่เหนียงมองไปที่สืออีเหนียงด้วยความเย่อหยิ่งแล้วพูดว่า “ท่านพี่บอกว่า ให้ข้ากลับอวี๋หังเป็นเพื่อนท่านแม่ ถึงตอนนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่จะอยู่ที่อวี๋หัง แต่ข้าต้องกลับมาฉลองปีใหม่ที่เยี่ยนจิง หากพี่สามกลับเยี่ยนจิง ข้าก็จะกลับมาพร้อมเขาเจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าเฉียนหมิงจะให้อู่หนียงกลับอวี๋หัง…สืออีเหนียงรู้สึกตกใจ
นายหญิงสองฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “คุณชายห้าช่างใจกว้างเสียจริง ต๋าเกอต้องกลับมาเยี่ยนจิงอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นเรือนที่ตรอกเหล่าจวินถังก็คงจะไม่มีคนดูแล ถึงตอนนั้นก็ให้พี่สามของเจ้าพาเจ้ากลับมาด้วย” นางพูดจบก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนายหญิงใหญ่
เดิมทีเพราะว่านางคอยดูแลพ่อสามีที่นอนป่วยอยู่บนเตียง นายท่านทั้งสามคนของสกุลหลัวจึงมองว่านางไม่เหมือนคนอื่น ตอนนี้ลูกเขยคนหนึ่งคือจู่เหริน คนหนึ่งคือทายาทของจวนกั๋วกง อีกคนหนึ่งคือท่านโหวที่ทรงอำนาจ เกรงว่านางคงจะต้องเดินเชิดหน้าชูคออยู่ในจวน
“พี่สะใภ้ช่างมีวาสนาเสียจริง” น้ำเสียงของนางมีความอิจฉา “ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วยังกลับมาคอยปรนนิบัติรับใช้ ไม่เหมือนซื่อเหนียงของข้า มีพ่อแม่ของสามีแล้วยังมีบุตรชายบุตรสาว”
หมายความว่านายหญิงใหญ่อาศัยที่เฉียนหมิงอยากได้การสนับสนุนจากสกุลหลัว นางจึงรังแกเฉียนหมิง ทำให้บุตรสาวมีแค่สกุลของตัวเองแต่ไม่มีสกุลของสามี
นายหญิงใหญ่ยิ้ม ราวกับว่านางไม่ได้ยินคำพูดของนายหญิงสอง นางชวนให้ทุกคนทานอาหาร “…เห็ดนี้คือเห็ดที่ท่านโหวส่งมาให้ตอนสู่ขอ มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ พวกเจ้าลองชิมดูเถิด!”
ทุกคนก็กลับมาพูดเรื่องของสืออีเหนียง
นายหญิงใหญ่ยิ้มและถามว่า “ได้ยินมาว่าท่านโหวเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ จริงหรือไม่”
ข่าวแพร่กระจายเร็วมาก!
สืออีเหนียงยิ้มและตอบว่า “หมอหลวงบอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“ช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ!” นายหญิงใหญ่ท่าทีดูเป็นห่วงเป็นใย นางถามถึงอาการป่วยของสวีลิ่งอี๋ “หมอหลวงคนใดเป็นคนตรวจ ออกยาอะไรให้เขาบ้าง”
สืออีเหนียงเล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้นางฟัง ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องคดีล่าสุดของเยี่ยนจิง ได้ยินมาว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงจับชีพจรให้คุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนเจอว่านางตั้งครรภ์ ถูกฟ้องไปที่ศาลว่าการ สุดท้ายป้าที่ชันสูตรศพบอกว่ามีครรภ์จริงๆ ต่อมาก็เปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องที่นายหญิงสามจะไปมณฑลซื่อชวนควรเอาเสื้อผ้า เอายาอะไรไปบ้าง…
จากนั้น ก็ไม่มีใครถามถึงเรื่องโรคข้อเท้าอักเสบของสวีลิ่งอี๋อีกต่อไป