หลัวเจิ้นซิ่งส่งเสียง “เหอะ” อย่างไม่พอใจ และไม่พูดถึงสือเหนียงอีก
คุณนายใหญ่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน อู่เหนียง สืออีเหนียง อี๋เหนียงหกและคนอื่นๆ ปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่อยู่นานแล้ว นายหญิงใหญ่มองคนที่อยู่ในห้อง สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย
อี๋เหนียงหกหาโอกาสแอบพูดกับนายท่านใหญ่ว่า “อาการป่วยของนายหญิงใหญ่อาจจะไม่สามารถหายดีภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ วันๆ คุณนายใหญ่ยุ่งเป็นอย่างมาก ไม่สู้ไปรับบรรดาพี่หญิงมาดูแลนายหญิงใหญ่ เมื่อในห้องมีคนเยอะก็จะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นายหญิงใหญ่ก็จะได้อารมณ์ดีขึ้น”
นายท่านใหญ่พึมพำว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”
ขณะที่กำลังพูด นายหญิงสามก็มาพอดี
ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย
“สามีข้าเป็นคนบอกนายหญิงสามเอง” อู่เหนียงเอ่ยขึ้นมา
หลัวเจิ้นซิ่งสีหน้าซีด “ทำไมถึงให้คนไปรบกวนอาสะใภ้สามให้มาเยี่ยมท่านแม่”
“แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปรบกวน” อู่เหนียงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “อวี้เกอกับไคเกอกำลังจะไปแล้ว ข้าได้ทำชุดฤดูใบไม้ร่วงให้ทั้งสองคน เตรียมจะส่งไปให้ภายในสองวัน วันนี้ตอนเช้าท่านพี่ได้ส่งคนให้นำชุดฤดูใบไม้ร่วงไปส่ง จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่ท่านแม่ป่วยข้าจึงต้องกลับจวนไปปรนนิบัติรับใช้ เกรงว่าคงจะไม่มีเวลาไปส่งอวี้เกอและไคเกอแล้ว ขอให้อาสะใภ้สามอย่าได้ถือสา ดังนั้นอาสะใภ้สามจึงได้รู้ว่าท่านแม่ป่วย”
หลัวเจิ้นซิ่งอดส่ายหน้าไม่ได้ “เจ้ามันช่างไร้เดียงสาเสียจริง” พูดพลางพาคุณนายใหญ่ อู่เหนียง และสืออีเหนียงออกไปต้อนรับ
สีหน้าของนายหญิงสามเต็มไปด้วยความกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” ด้านหลังยังมีหลัวเจิ้นอวี้และหลัวเจิ้นไคตามมาด้วย
หลัวเจิ้นซิ่งพานายหญิงสามเข้าไปในเรือนพร้อมกับเล่าเรื่องของนายหญิงใหญ่ให้ฟังคร่าวๆ
นายหญิงสามอดถอนหายใจไม่ได้ “โรคอัมพฤกษ์ไม่อาจรีบร้อนได้ ต้องค่อยๆ ดูแลรักษากันไป”
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้า จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในห้อง
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นนายหญิงสามและคนอื่นๆ มาก็อดน้ำตาคลอไม่ได้
นายหญิงสามรีบนั่งลงบนเก้าอี้เล็กที่อยู่ข้างๆ แล้วปลอบใจนาง คุยกันอยู่สักพักหนึ่ง นายหญิงใหญ่ก็มีสีหน้าเหนื่อยล้า ทุกคนจึงย้ายไปอยู่ที่ห้องปีก
คุณนายใหญ่ยกชามาให้นายหญิงสาม นายหญิงสามพูดขึ้นมาว่า “ข้าส่งคนไปแจ้งพี่สะใภ้สองแล้ว เพียงแต่ว่าวันแต่งงานของชีเหนียงใกล้เข้ามาแล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีเวลากลับมา”
หลัวเจิ้นซิ่งพูดอย่างเกรงใจว่า “รบกวนอาสะใภ้ทั้งสองแล้วขอรับ”
นายหญิงสามพูดอย่างเกรงใจสองสามประโยค จากนั้นก็ออกความคิดเห็นขึ้นมา “…ได้ยินมาว่าใต้เท้าโจวแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินหย่วนก็เคยเป็นโรคนี้เช่นกัน หลังจากนั้นก็ไปหาหมอชื่อดังคงหนึ่งที่ไท่หยวน ตอนนั้นข้าแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้ใส่ใจ รอข้ากลับไปจะลองส่งคนไปถาม”
คุณนายใหญ่รีบพยักหน้า จำเรื่องที่นายหญิงสามพูดไว้ เมื่อเห็นว่าเที่ยงวันแล้วนางจึงรีบไปจัดการอาหารกลางวัน ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหาร นายหญิงสามจะกลับไปเก็บเสื้อผ้า จึงพาหลัวเจิ้นอวี้กลับหลัวเจิ้นไคกลับไปก่อน
สืออีเหนียงออกมาส่งนายหญิงสามแล้วฉวยโอกาสถามนางว่า “อาจารย์จ้าวจะอยู่ดำรงตำแหน่งที่ซานซีหรือไม่”
ฮูหยินสามส่ายหน้า “เพียงแค่ไปส่งอวี้เกอกับไคเกอเท่านั้น บอกว่าไม่ได้กลับบ้านมาเจ็ดแปดปีแล้ว อยากจะถือโอกาสนี้กลับไปเยี่ยมบ้านเสียหน่อย”
สืออีเหนียงพยักหน้า หลังจากส่งนายหญิงสามไปแล้วก็ไปหาหลัวเจิ้นซิ่ง “…ตอนนี้จุนเกอถูกเลี้ยงไว้ข้างกายไท่ฮูหยิน อาจจะเริ่มเรียนหนังสือในปีนี้หรือปีหน้า เห็นว่าคุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสองความรู้ก้าวหน้าเป็นอย่างมากจึงอยากจะหาอาจารย์มาเปิดสำนักศึกษาส่วนตัว ข้าว่าเมื่อถึงตอนนั้นจุนเกอจะต้องนั่งเรียนกับพี่ชายทั้งสามคน จึงอยากจะหาอาจารย์ที่ดีให้กับเขาที่สามารถแนะนำทั้งความรู้และคุณธรรมได้ ได้ยินอาสะใภ้สามบอกว่าได้เรียกตัวอาจารย์จ้าวเพื่อพาอวี้เกอและไคเกอกลับบ้านโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีนิสัยอย่างไร ถ้าหากเป็นคนดี ข้าก็จะลองแนะนำให้แก่ท่านโหวสักหน่อย ในภายภาคหน้าจุนเกอจะได้มีคนดูแล”
“น้องสิบเอ็ดความคิดดีมาก” หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าความรู้ของอาจารย์จ้าวเป็นอย่างไรบ้าง เกรงว่าท่านโหวจะตั้งเกณฑ์ไว้สูง มิเช่นนั้นเรื่องการหาอาจารย์คงไม่ล่าช้ามาจนถึงทุกวันนี้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงถอนหายใจ “อย่างไรก็ต้องลองดูก่อน พูดตามตรง จุนเกอจะสนิทกับข้าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นคนอ่อนแอ ข้างกายต่างก็เต็มไปด้วยคนเอาอกเอาใจกลัวว่าจะทำให้เขาเสียนิสัย”
หลัวเจิ้นซิ่งเข้าใจดี ขอเพียงแค่จุนเกอไม่ทำอะไรที่ไม่ดี อนาคตในภายภาคหน้าของเขาก็จะรุ่งโรจน์ แต่เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ เขาก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก “จุนเกอพูดอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ “เพียงแต่ว่าเวลาเจอข้าก็มักจะหลบหลีก แล้วอีกอย่างเขาก็มักจะอยู่กับไท่ฮูหยิน ข้ายังหาเหตุผลที่จะดึงตัวเขามาไม่ได้ จึงทำได้เพียงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
“เจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” เขาตัดสินใจในทันที “ข้าจะเขียนจดหมายไปหาท่านอาสองและท่านอาสาม ให้พวกเขาช่วยหาอาจารย์ที่ดีให้จุนเกอ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดต่อว่า “เรื่องของอี๋เหนียงทั้งสองเจ้าก็ไปบอกท่านโหวสักหน่อยว่าท่านพ่ออนุญาตให้พวกนางออกบวชไปอยู่ที่วัดฉือหยวนแล้ว”
สืออีเหนียงกังวลเป็นอย่างมาก “พวกเราทำสัญญากับอี๋เหนียงทั้งสองดีหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลังเพราะความประมาท” แล้วยังเล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋พูดถึงพระพุทธรูปทองคำสององค์ของวัดฉือหยวนที่บริจาคโดยฮูหยินของเจี้ยนหนิงโหวกับฮูหยินของโซ่วชังปั๋วให้หลัวเจิ้นซิ่งฟัง
หลัวเจิ้นซิ่งอดครุ่นคิดไม่ได้
เฉียนหมิงได้มาถึงแล้ว
หลัวเจิ้นซิ่งยังไม่มีความคิดใดๆ จึงได้บอกเฉียนหมิงทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่สืออีเหนียงพูด
เฉียนหมิงยิ้มแล้วพูดว่า “ความกังวลของสืออีเหนียงนั้นก็ไม่ไร้เหตุผล ถึงแม้ว่าพวกเราจะเห็นด้วยกับการออกบวชของอี๋เหนียงทั้งสองแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ได้ตอบตกลงด้วยความยินดี เพียงแค่จะยื้อเวลาจี้หนิงผู้นั้นสักหน่อย เมื่อถึงเวลาค่อยออกเงื่อนไข ข้าเชื่อว่าจี้หนิงจะต้องเห็นด้วย จะปล่อยให้อี๋เหนียงทั้งสองออกบวชไปเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกว่าวิธีของเฉียนหมิงเป็นวิธีที่ดี จึงปรึกษากับเฉียนหมิงว่าสุดท้ายแล้วจะทำอย่างไรกับจี้หนิงดี
สวีลิ่งอี๋มาถึงแล้ว
สืออีเหนียงแอบมองลอดออกมาจากช่องหน้าต่าง…
สวีลิ่งอี๋ต้องว่าราชการเสร็จยามเซิน แต่ตอนนี้พึ่งจะต้นยามเว่ย…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว นางก็เดินออกไปต้อนรับ พาสวีลิ่งอี๋ไปคารวะนายท่านใหญ่ ทุกคนนั่งลงปรึกษาเรื่องการออกบวชของอี๋เหนียงทั้งสอง
ไม่เหมือนการปรึกษากันในวงแคบอย่างเมื่อครู่นี้ ในเวลานี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น
คุณนายใหญ่ อู่เหนียง และสืออีเหนียงช่วยกันยกชาและขนมมาวาง จากนั้นก็กลับออกไปอยู่ที่ห้องโถง
อี๋เหนียงหกมาถามคุณนายใหญ่ว่ายังจะออกเดินทางกลับอวี๋หังตามเวลาเดิมหรือไม่
คุณนายใหญ่ตอบว่า “ได้จองเรือไว้เรียบร้อยแล้ว”
อี๋เหนียงหกยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าต้องกลับไปเก็บข้าวของใส่หีบให้นายท่านใหญ่แล้ว”
คุณนายใหญ่พยักหน้า ถามสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูมีอะไรจะให้ข้าเอากลับไปหรือไม่”
“ก็มีเพียงแค่ยาสมุนไพรกับผ้าเท่านั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “พรุ่งนี้ข้าจะให้ตงชิงนำมาส่ง รบกวนอี๋เหนียงหกมอบให้อี๋เหนียงห้าด้วย ฝากบอกนางว่าหากมีเวลาว่างก็ให้มาเที่ยวเยี่ยนจิงสักหน่อย”
อี๋เหนียงหกย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
อู่เหนียงใบหน้าแดงระเรื่อ กระซิบกับคุณนายใหญ่ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าขอไม่กลับไปแล้ว ข้าจะอยู่ดูแลท่านแม่ที่เยี่ยนจิง”
คุณนายใหญ่ตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจในทันที พูดอย่างระมัดระวังว่า “หรือว่าเจ้า…”
สืออีเหนียงคิดถึงเมื่อครู่ที่อู่เหนียงเอาแต่ทานข้าวไม่ทานกับ ก็ได้คาดเดาไว้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอู่เหนียง
ใบหน้าของอู่เหนียงแดงจนเห็นเลือดฝาด ก้มหน้าลง “ข้าเองก็พึ่งจะรู้เจ้าค่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ดีจริงๆ!” สีหน้าของคุณนายใหญ่เต็มไปด้วยความปิติยินดี “นี่นับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว”
เฉียนหมิงและอู่เหนียงก็โตกันแล้ว สืออีเหนียงดีใจกับทั้งคู่ “พี่หญิงห้า ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงเหลือบมองสืออีเหนียงที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “เจ้ารู้อะไร”
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ
คุณนายใหญ่รีบถามว่า “กี่สัปดาห์แล้ว” แล้วพูดต่อว่า “พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องมาแล้ว ระวังจะกระทบกระเทือนกับครรภ์”
อู่เหนียงสีหน้าเบิกบาน “พึ่งไม่กี่สัปดาห์ หมอเองก็บอกให้ข้าระมัดระวัง”
คุณนายใหญ่กระซิบใกล้ๆ อู่เหนียง
สืออีเหนียงนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
จะว่าไปแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทางด้านหลัวเจิ้นซิ่งและเฉียนหมิงได้พาสวีลิ่งอี๋เดินออกมาแล้ว
หญิงทั้งสามคนที่อยู่นอกห้องพากันยืนขึ้น
สวีลิ่งอี๋ยังคงสีหน้าเรียบเฉย เขาพูดกับเฉียนหมิงว่า “…เรื่องนี้ต้องรบกวนพี่เขยแล้ว”
ดวงตาของเฉียนหมิงสื่อถึงความยินดี รีบพูดขึ้นมาว่า “มีท่านโหวคอยหนุนหลัง ข้าก็มั่นใจที่จะจัดการกับเรื่องนี้ คิดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน” พูดพลางหันไปยิ้มให้สวีลิ่งอี๋
ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
หลัวเจิ้นซิ่งรีบพูดขึ้นมาว่า “น้องหญิงห้า น้องหญิงสิบเอ็ด นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว พวกเจ้ากลับไปกันก่อนเถิด”
สืออีเหนียงรู้ว่าพวกเขาได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จึงไปหานายหญิงใหญ่กับอู่เหนียง แล้วไปกล่าวลานายท่านใหญ่ จากนั้นก็ตามสวีลิ่งอี๋ขึ้นรถม้าไป
ทั้งสองคนต่างก็นั่งรถม้าของตัวเองกลับไปที่จวนสวี เนื่องจากยังพอมีเวลาจึงได้กลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
สวีลิ่งอี๋อาศัยจังหวะพูดคุยกับสืออีเหนียง “ข้าคิดว่าในเมื่ออี๋เหนียงทั้งสองยึดมั่นอยากจะออกบวชไปอยู่ที่วัดฉือหยวน แล้วจี้หนิงก็ยินดีที่จะออกหน้าในเรื่องนี้ เกรงว่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ เรื่องแบบนี้ต่างคนก็ต่างบอกว่าตัวเองมีเหตุผลเป็นของตัวเอง การพัวพันเช่นนี้ต่อไปก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ไม่สู้คิดหาวิธีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ให้อี๋เหนียงทั้งสองบวชที่วัดฉือหยวน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันพวกเราจะเป็นคนออกเอง อี๋เหนียงทั้งสองจะได้ไม่ต้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในวัด เช่นนี้อี๋เหนียงทั้งสองก็จะได้จดจ่ออยู่กับธรรมะ และแสวงหาเส้นทางบรรลุได้โดยเร็ว”
ไม่รู้ว่าทำไมประโยคสุดท้ายของสวีลิ่งอี๋ที่บอกว่า ‘จะได้แสวงหาเส้นทางบรรลุได้โดยเร็ว’ ทำให้สืออีเหนียงคิดถึงประโยคที่ว่า ‘รีบตายไปจะได้รีบเป็นอิสระ’…ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอี๋เหนียงทั้งสองหรือว่าพูดถึงตัวเอง รีบจัดการเรื่องของตัวเองให้เร็ว เขาก็จะได้เป็นอิสระ
นางปิดปากหัวเราะ
สวีลิ่งอี๋รู้สึกประหลาดใจ
สืออีเหนียงรีบหุบยิ้มแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วิธีของท่านโหวดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ท่านคงไม่รู้ว่าก่อนที่ท่านจะมา พวกเราพี่น้องปรึกษากันอยู่นานแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย รู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ไม่ดี ทำแบบนั้นก็ไม่ได้…”
สวีลิ่งอี๋มองดวงตาเป็นประกายกับแก้มแดงระเรื่อของนาง อดที่จะพูดพึมพำในใจไม่ได้ มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อคำพูดนี้
ทั้งๆ ที่คิดเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจกลับรู้สึกดีใจเล็กน้อย
******
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าหลัวเจิ้นซิ่งซื่อตรงเกินไป แต่เฉียนหมิงกลับจัดการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงได้มอบหน้าที่ต่อรองเงื่อนไขกับจี้หนิงให้เขา
เนื่องจากว่าอู่เหนียงกำลังตั้งครรภ์จึงทำอะไรได้ไม่สะดวก พอถึงวันที่สิบแปดเดือนเก้าที่หลัวเจิ้นอวี้กับหลัวเจิ้นไคก็จะต้องออกเดินทางจึงทำได้เพียงให้จื่อเวยนำอาหารไปส่ง สืออีเหนียงก็ไม่ได้ไปด้วยตัวเอง นางได้ให้คนไปส่งเงินห้าสิบตำลึง แล้วยังมีพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกทั้งหมดสองชุด นางเล่าเรื่องของอาจารย์จ้าวให้หลัวเจิ้นซิ่งฟังว่า “…ข้าได้บอกความคิดของข้ากับอาสะใภ้สามแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีอาสะใภ้สามก็อยากให้อาจารย์จ้าวสอนวิชาความรู้ให้กับอวี้เกอและไคเกอที่จวนอีกสักสองสามปี คิดไม่ถึงว่าหลิ่วเก๋อเหล่าจะให้ทั้งสองย้ายไปซานซี ในใจก็รู้สึกผิดต่ออาจารย์จ้าว หากให้เขาไปสอนอยู่ที่จวนพวกเขาแทน เช่นนั้นก็ถือว่าดีเลยทีเดียว ข้าได้พูดกับอาจารย์จ้าวเอาไว้แล้ว แต่เขาบอกว่าในเมื่อขอให้เขาส่งอวี้เกอและไคเกอไปซานซี เขาก็จะทำให้เต็มที่ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาจึงมีท่าทางเหมือนจะปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม เกรงว่าความหวังที่จะสำเร็จนั้นมีไม่มากนัก”
สืออีเหนียงก็ผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน “เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะตรงตามเกณฑ์ของท่านโหวหรือไม่…เกรงว่าตอนนี้คงจะหาได้ยากกว่าเดิมแล้ว”
หลัวเจิ้นซิ่งพูดปลอบใจนาง “เยี่ยนจิงเป็นดินแดนซ่อนมังกรและพยัคฆ์ พวกเราแค่ต้องหาอย่างละเอียดอีกครั้งก็พอแล้ว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหานายหญิงใหญ่
ทุกคนในบ้านต่างพูดต่อหน้านายหญิงใหญ่ว่าอี๋เหนียงทั้งสองถูกจำคุกแล้ว ตอนนี้เพียงแค่รอสอบปากคำเท่านั้น สภาพจิตใจของนายหญิงใหญ่ดีขึ้นไม่น้อย สามารถพูดประโยคสั้นๆ ได้ไม่กี่ประโยค สืออีเหนียงเห็นว่าคุณนายใหญ่กับป้าสวี่ดูแลนางอย่างพิถีพิถัน จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก