ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 107 ของใช้ในเรือน (กลาง)

ตอนที่ 107 ของใช้ในเรือน (กลาง)

ต้องขอบคุณที่สวีลิ่งอี๋ช่วยจัดการเรื่องที่ดิน เมื่อเขากลับมาในตอนเย็นสืออีเหนียงก็เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องที่พูดคุยกับพ่อบ้านไป๋และพูดขอบคุณเขา

สวีลิ่งอี๋พยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นก็เข้านอน

สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้

ไม่รู้ว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นภาระหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเขาเองก็มีภาระมากพออยู่แล้ว คงจะไม่สนใจหากจะมีเพิ่มมาอีก

เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เป่าตะเกียงแล้วขึ้นเตียงอย่างอารมณ์ดี

จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมาว่า “ทำไมไม่อ่านหนังสือล่ะ”

สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากลัวว่าจะรบกวนท่านเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อยากอ่านก็ไปอ่านเถิด”

เหตุใดจู่ๆ เขาก็พูดถึงเรื่องอ่านหนังสือ

หรือว่านอนไม่หลับก็เลยอยากคุยกับนาง

สืออีเหนียงมีนิสัยชอบอ่านหนังสือก่อนนอนอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้เขายอมรับได้นางย่อมรู้สึกดีใจ

นางจุดตะเกียง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบอ่านหนังสือก่อนนอน”

สวีลิ่งอี๋ไม่รู้ว่านางชอบอ่านหนังสือก่อนนอน เพียงแต่ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี

ในตอนเช้ามีคนกล่าวหาว่าเซวียนถงพี่ชายของนายพลฟั่นเหวยกังได้ไปฉุดบุตรสาวชาวบ้าน ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก ให้ขันทีนำคำกล่าวหาส่งไปที่เซวียนถงที่อยู่ห่างไกลถึงแปดร้อยลี้อย่างเร่งด่วน

ฟั่นเหวยกังไม่เคร่งคัดในการปกครองตระกูลจึงได้สูญเสียความน่าเชื่อถือจากองค์ฮ่องเต้ไป หรือเป็นสัญญาณเตือนว่าเมื่อหมดประโยชน์แล้วจะถูกกำจัดทิ้ง

เขาได้ส่งคนไปสืบแล้ว เชื่อว่าเร็วๆ นี้จะได้คำตอบ

แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกหดหู่ใจมากเช่นนี้

ความประมาณเลินเล่อในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มักจะนำไปสู่หายนะและความสูญเสียที่ร้ายแรง

ฟั่นเหวยกังทำงานรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก ขุนนางที่ทำตัวประมาทเลินเล่อแต่ละคนต่างก็พากันมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ…ตอนนี้เขาเป็นถึงขุนนางระดับสามแล้ว หรือว่าเขายังไม่เข้าใจเหตุผลนี้อีกหรือ

สวีลิ่งอี๋ได้ยินเสียงคนข้างๆ ลงจากเตียง พยายามดึงสติให้จดจ่ออยู่กับเรื่องเล็กๆ ที่อยู่ข้างกาย “อ่านหนังสืออะไรหรือ”

“เก้าแคว้นแห่งต้าโจวเจ้าค่ะ”

“ยังอ่านไม่จบหรือ”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเอาหนังสือมาแค่เล่มเดียว”

สวีลิ่งอี๋พึ่งตระหนักได้ว่าสืออีเหนียงไม่เคยขออะไรจากเขาเลย!

เขาเงียบไปพักใหญ่แล้วพูดขึ้นมาว่า “ในห้องปีกทิศตะวันออกมีหนังสือสะสมอยู่”

บอกเพียงแต่ว่าห้องปีกทิศตะวันออกมีหนังสือ แต่ไม่ได้บอกว่าในเรือนมีหนังสือ…จู่ๆ สืออีเหนียงก็เกิดความคิดที่อยากจะไปดูเรือนปั้นเย่ว์พั้น

นางยิ้มเล็กน้อย “ข้ายืมมาอ่านได้หรือไม่เจ้าคะ”

สวีลิ่งอี๋ตอบแค่ว่า “อืม”

“ข้าชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์นอกตำรามากที่สุด รู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านโหวชอบอ่านหนังสืออะไรหรือเจ้าคะ”

“ข้าชอบอ่านบันทึกประวัติศาสตร์”

อ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าผู้ชายเช่นนี้มักจะมีความทะเยอทะยาน

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดหนังสืออ่าน

“เจ้าอ่านถึงตรงไหนแล้ว” สวีลิ่งอี๋ถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ผิงเซียง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทางทิศตะวันออกมีภูเขาหลัวเซียว ภูเขาหลัวเซียวเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำ แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นแม่น้ำอวี๋ซี ไหลลงสู่แม่น้ำซิ่วเจียงอยู่ในเขตปกครองอี๋ชุน” นางพูดพลางเอียงคอมองสวีลิ่งอี๋ “พี่เขยห้าเป็นคนอี๋ชุน แต่เป็นอี๋ชุนมณฑลเสฉวน”

“ใต้หล้ามีหลายอย่างที่มีชื่อเดียวกัน” สวีลิ่งอี๋หลับตาลง “เดิมมีกรมพิธีกรรมตำแหน่งจี่ซื่อจงมีนามว่าว่านชุน เป็นคนมณฑลกว่างซีเขตซินอวี้ วัดไท่ผูก็มีนายทะเบียนนามว่าว่านชุนเป็นคนมณฑลเจียงซีเขตซินอวี้ ปีนั้นทางกระทรวงเขตเกาโจวว่างหนึ่งตำแหน่ง ว่านชุนที่เป็นกรมพิธีกรรมได้ไปหาเขา ใช้เวลาอยู่นานกว่าเขาจะรับปากว่าจะมอบงานนี้ให้ตัวเอง สุดท้ายก็รอมาครึ่งปีแล้วยังไม่มีข่าวคราวใดเลยจึงวิ่งไปถามคนที่กระทรวง คนของกระทรวงบอกว่าว่านชุนไปรับตำแหน่งนี้ตั้งนานแล้ว เขาจึงโวยวายอยู่ตรงนั้น คนของกระทรวงมองว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงหยิบเอกสารขึ้นมาดู ปรากฏว่าคนที่ไปรับตำแหน่งคือนายทะเบียนวัดไท่ผู”

สืออีเหนียงหัวเราะ “ท่านหลอกข้า ในเมื่อเขาไปหาคนในกระทรวงก็ต้องส่งเอกสารไปด้วย ทั้งชาติกำเนิดและอายุล้วนเขียนไว้ชัดเจน จะมีการเข้าใจผิดกันได้อย่างไรเล่า”

เสียงแห่งความสุขนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขา

สวีลิ่งอี๋ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าสีชมพูหมอบอยู่บนหมอนผ้าแพรสีแดงขนาดใหญ่

ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย

ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรง เสียงของเขากลายเป็นแข็งกระด้างเล็กน้อย “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า บังเอิญนายทะเบียนว่านชุนแห่งวัดไท่ผูได้รับข่าวจึงได้ไปหาผู้ดูแลเพื่อเปลี่ยนเอกสาร คนของกระทรวงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด สุดท้ายก็เลยสลับตัวกัน”

สืออีเหนียงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ดวงตายิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “แล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ” จ้องมองสวีลิ่งอี๋ตาเป็นประกาย

ใบหน้าของนางเชิดขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นผิวสีขาวราวกระเบื้องเคลือบบริเวณลำคอ

“ก็ทำได้เพียงแค่เยียวยาเท่านั้น” สวีลิ่งอี๋มองนาง แววตาเป็นประกาย “เสนาบดีกระทรวงกลาโหมและรองเสนาบดีล้วนตกใจ ทุกคนปรึกษากันอยู่นาน สัญญาว่าหากมีตำแหน่งว่างก็จะรับว่านชุนกรมพิธีกรรมเข้ามาแน่นอน”

มือของเขาลูบไล้ใบหน้าของนางเบาๆ

สืออีเหนียงหน้าแดงระเรื่อราวกับพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ

นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้ประสีประสา แน่นอนว่านางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร…แต่พอคิดว่าพึ่งจะรู้จักคนตรงหน้าเพียงแค่สิบกว่าวันก็รู้สึกอึดอัดใจ

“ถ้าอย่างนั้น ก็ดีแล้ว” นางรีบพูดขึ้นมาเพื่อปกปิดความไม่สบายใจ

เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นใบหน้าลนลานของนาง ในสมองก็ปรากฏภาพรอยยิ้มที่สง่างามและความใจกว้างของนาง ความไม่สบายใจที่ถูกกดทับอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจได้พลันสลายหายไป

แขนขาแข็งแรงของเขาได้อุ้มนางขึ้นมาจากผ้าห่มแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน

ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่จู่ๆ ร่างกายก็ตกอยู่ในอ้อมแขนอันร้อนผ่าวในทันที นางจึงอุทานออกมาเบาๆ

“ต่อมามณฑลจินหวาขาดผู้ว่าราชการ” เสียงของเขาทุ้มต่ำลง มือลูบไล้ตามร่างกายอย่างลื่นไหล…“จึงให้ว่านชุนกรมพิธีกรรมผู้นั้นไปดำรงตำแหน่งนี้”

นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในกระทะร้อน โดนตรงไหนก็ร้อนไปหมด จึงทำได้เพียงต่อบทสนทนา “…ได้ไปเป็นผู้ว่าราชการมณฑลดีกว่าตำแหน่งเดิมตั้งเยอะ…”

“ใช่แล้ว” สวีลิ่งอี๋มองนางที่ทำตัวไม่ถูก รู้สึกว่าถึงแม้ว่านางจะดูบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีความแข็งกระด้างอยู่บ้าง ดูเหมือนว่านางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี สวีลิ่งอี๋ตอบรับคำพูดของสืออีเหนียงอย่างไม่ใส่ใจ “อีกทั้งพอมาอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าราชการมณฑลจินหวาก็นับว่าเขาขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก สอบได้ระดับยอดเยี่ยมติดต่อกันถึงสามปี”

“ชะ…เช่นนั้นก็ถือว่าไม่เลวเลย”

“อืม” สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าคนในอ้อมแขนเริ่มตัวอ่อนยวบพูดเสียงอู้อี้ “คนที่ได้ไปดูแลเขตเกาโจวก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน หลังจากความโกลาหลสงบลงเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการมณฑลจิ่นโจว อีกสามปีก็จะได้เลื่อนขั้นเข้าร่วมหารือราชการ…”

เมื่อไอร้อนสัมผัสลำคอ สืออีเหนียงก็ตัวสั่นเล็กน้อย

สวีลิ่งอี๋รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในทันที แววตาเผยให้เห็นรอยยิ้ม “ผ่านไปสองปีเขาได้มีผลงานในการดูแลเสบียงอาหาร จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นฑูตมณฑลกานซู่…”

******

สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงไว้ อดถอนหายใจในใจไม่ได้ นางอายุยังน้อยไปหน่อย

“ให้ข้าเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติเจ้าหรือไม่” สวีลิ่งอี๋ถามนางเบาๆ

“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงสงบนิ่งในอ้อมกอดของเขา รู้สึกว่าแค่ขยับนิ้วก็เหนื่อยแล้ว

สวีลิ่งอี๋เรียกสาวใช้เข้ามา ส่วนตัวเองไปที่ห้องชำระ

ตงชิงเข้ามาพยุงสืออีเหนียง เสื้อผ้าของสืออีเหนียงไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร

ตงชิงใบหน้าแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ จึงรีบก้มหัวด้วยความเขินอาย

******

สืออีเหนียงพึ่งรู้สึกว่าตัวเองพึ่งจะหลับไปก็ถูกสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ ทำให้ตื่น

“ถึงยามโฉ่วแล้วหรือ” เสียงของนางดูสะลึมสะลือแต่มีเสน่ห์

สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางลูบหัวนาง กระซิบข้างหูนางว่า “เจ้านอนต่ออีกหน่อย อีกสักครู่ค่อยไปคารวะท่านแม่”

สืออีเหนียงรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก เกรงว่าตัวเองจะฝืนไม่ไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน จึงตอบเพียงแค่ “อืม” แล้วนอนต่อ

สวีลิ่งอี๋เรียกซย่าอีเข้ามาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา

ตงชิงอดร้อนใจไม่ได้ นางดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง

สืออีเหนียงพลิกตัวหลับต่ออย่างไม่รู้เรื่อง

เมื่อสวีลิ่งอี๋ทานข้าวเสร็จ จ้าวอิ่งจึงได้เรียกบ่าวรับใช้สองสามคนถือโคมไฟมารับเขา

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่สืออีเหนียง

นางนอนกอดผ้าห่ม ขนตายาวของนางตัดกับผิวขาวราวหิมะ ท่ามกลางความเงียบแฝงไปด้วยบรรยากาศความอบอุ่น

ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว

น้อยครั้งที่เขาจะสูญเสียการควบคุม ครั้งนี้ตัวเองเกินขอบเขตมากไปแล้ว

******

เช้านี้ฉินอี๋เหนียงกับเหวินอี๋เหนียงมาคารวะนาง แต่กลับไม่เห็นเฉียวอี๋เหนียง

เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าโดนลมหนาวในตอนเช้าจึงทำให้ไม่สบาย”

สืออีเหนียงกำชับหู่พั่วให้ไปเชิญหมอมาดูนาง “…เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้”

“ฮูหยินช่างจิตใจดีเหลือเกิน” เหวินอี๋เหนียงพูดประจบสืออีเหนียง

สืออีเหนียงสีหน้าเรียบเฉย ทักทายทั้งสองคนสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยิน

ฮูหยินสามมาถึงก่อนนาง กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถง พอเห็นนางก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที “น้องสะใภ้สี่มาแล้ว”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับนาง

ฮูหยินสามนำรายการอาหารมาให้นาง “นี่คือรายการอาหารของพวกเจ้า น้องสะใภ้ดูสิว่ามีอะไรต้องแก้ไขหรือไม่”

หรือว่านางก็ขาดแคลนเงินเหมือนตัวเองกระมัง มิเช่นนั้นเหตุใดจึงรีบร้อนถึงขนาดนี้

สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับรายการอาหารมา

อาหารเช้าอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีโจ๊กห้าอย่าง บะหมี่แปดอย่าง เครื่องเคียงอีกสิบอย่าง อาหารกลางวันนั้นเรียบง่ายมาก ของนางมีอาหารห้าอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ส่วนของอี๋เหนียงทั้งสามเป็นอาหารสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่าง อาหารเย็นก็อุดมสมบูรณ์มากเช่นกัน ของนางเป็นอาหารแปดอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ของอี๋เหนียงทั้งสามเป็นอาหารสี่อย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง รายการอาหารสามสิบวันได้เขียนออกมาหมดแล้ว รายการอาหารแต่ละวันไม่ซ้ำกัน มีทั้งผักและเนื้อ แล้วยังมีขนมและผลไม้

สวีลิ่งอี๋จะทานอาหารเช้าและอาหารเย็นที่เรือน…ถือว่าใช้ความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว

สืออีเหนียงยิ้มแล้วส่งรายการอาหารให้ฮูหยินสาม “ลำบากพี่สะใภ้สามแล้ว อาหารที่ข้าสั่งยังไม่รอบคอบขนาดนี้เลย”

ทำเอาฮูหยินสามยิ้มหน้าบานจึงเล่าอีกเรื่องให้นางฟังว่า “ไท่ฮูหยินกำลังเร่งให้คนเกิดปีฉลูของทุกเรือนรีบออกจากจวนเร็วๆ นี้”

ไม่ใช่ว่านางไม่อยากส่งตงชิงออกจากจวนในเร็วๆ นี้ แต่ว่านางได้ส่งคนไปที่ตรอกจินอวี๋แล้วพบว่าจวนที่นั่นค่อนข้างเก่าเล็กน้อย ไม่เพียงแต่จะต้องทาสีผนังใหม่ แต่จะต้องจัดการเรื่องของใช้ในเรือนด้วย ไปๆ มาๆ จึงทำให้เรื่องนี้ล่าช้าออกไป

“ตอนแรกข้าจะให้นางออกจากจวนในวันพรุ่งนี้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่พี่สะใภ้สามก็รู้ว่าข้ามีสาวใช้น้อยมาใหม่ อยากให้นางช่วยชี้แนะก่อนสักสองสามวัน จึงให้นางอยู่ต่ออีกหน่อย”

แน่นอนว่านางจะไม่บอกกับฮูหยินสามว่าจวนที่เป็นสินเดิมของนางมีปัญหา

ฮูหยินสามเห็นว่านางเห็นด้วยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทักทายนางสองสามประโยค จากนั้นฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มสาวใช้มากมายที่ห้อมล้อมนาง

นางได้เดินเอารายการอาหารไปให้ฮูหยินห้าดู

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท