ร่างกายที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก ผิวที่นุ่มนวลและชุ่มชื้น สวีลิ่งอี๋ไม่ยอมปล่อยมือ เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากระสับกระส่าย เลือดของเขาเดือดพล่าน…แต่เขากลับล้มเลิกกลางคัน
เขามีศักดิ์ศรีของตัวเอง
สืออีเหนียงมองไปที่เขา สายตาราวกับแม่น้ำเจียงหนานตอนเดือนสาม มันหม่นหมองไปหมด
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมันถึงเป็นเช่นนี้…” นางพูดอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงยุง
สวีลิ่งอี๋ยกตะเกียงขึ้นมามองนาง
ใบหน้าที่ราวกับดอกสาลี่ของสืออีเหนียงแดงก่ำ นางห่อตัวเองไว้แน่น “ข้า ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่สวยงามของนาง ร่ายกายที่เดิมทีก็ยังไม่สงบของเขานั้นกระสับกระส่ายขึ้นมาอีกครั้ง มันแข็งแกร่งกว่าเดิมไม่น้อย
มองออกไปจากมุมของสืออีเหนียง มันชัดเจนเป็นอย่างมาก
สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สวีลิ่งอี๋แอบถอนหายใจในใจ พลิกตัวไปกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวนางเบาๆ “ข้าจะเรียกสาวใช้เข้ามา!”
สืออีเหนียงลังเลที่จะพูดว่า “…ข้า” ที่จริงนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร หรือพูดอะไรได้บ้าง
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” จากนั้นเขาก็เรียกสาวใช้ที่เฝ้ายามเข้ามา ตัวเองเดินไปห้องน้ำ
ภายในห้องสว่างไสว
หู่พั่วก้มหน้าก้มตารับใช้สืออีเหนียงอาบน้ำ
“หู่พั่ว” สืออีเหนียงแช่ตัวอยู่ในอ่างไม้สนขนาดใหญ่ มองดูกลีบดอกไม้สีแดงที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ “ระดูของข้าจะมาเมื่อใด”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “ถึงแม้จะไม่ค่อยตรง แต่ส่วนใหญ่มักจะมาช่วงปลายเดือนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตอบ “อืม” จากนั้นก็หลับตาลง สัมผัสความสบายของน้ำอุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายของตัวเอง
“ฮูหยิน” หู่พั่วลังเล “หรือท่านสงสัยว่า…ให้บ่าวไปเรียกหมอหลวงไหมเจ้าคะ…”
เพราะนางก็ยังไม่เคยออกเรือน
สืออีเหนียงยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าก็แค่ถาม”
หู่พั่วก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน แต่สืออีเหนียงกังวลขึ้นมามันคือเรื่องที่ดี
นางยิ้มและรับใช้สืออีเหนียงแต่งตัว เก็บข้าวเก็บของแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
ม่านเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง หางตาของนางมองเข้าไป…เห็นท่านโหวกำลังกอดสืออีเหนียงไว้ในอ้อมแขน…จูบแก้มนางแล้วยื่นมือเข้าไปในเสื้อของนาง…เสื้อซับในสีเหลืองก็ร่วงหล่นลงมา หน้าอกที่ขาวราวกับหิมะ…มีกลิ่นหอมและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
หู่พั่วหน้าแดงราวกับมีเลือดออก นางรีบเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว หัวใจนางเต้นแรง
ไม่แปลกที่พี่ตงชิงไม่ยอมเฝ้ายามตอนกลางคืน
ใครจะรู้ว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้…
ป้าเถาพูดถูก ฮูหยินควรจะรับสาวใช้ห้องข้างมาให้ท่านโหว ต่อไปเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ต้องให้พวกนางมาคอยรับใช้
จากนั้นนางก็นึกถึงคำพูดที่สืออีเหนียงถามตัวเองในคืนก่อนวันแต่งงาน ‘เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่’
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
*****
เขาไม่ธรรมดา สืออีเหนียงก็เคยได้ยินมาก่อน แต่นางไม่เคยรู้ว่าสักวันจะถึงตาของตัวเอง นางจึงรู้สึกเขินอาย
นางอดไม่ได้ที่จะจับมือของสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ใต้เสื้อของตัวเอง “ท่านโหว ข้าขอร้องท่าน…” น้ำเสียงของนางแหบแห้งราวกับจะร้องไห้
เขามองไปยังใบหน้าซีดเซียวของนาง และในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
นำเสื้อผ้ามาห่อตัวให้นางและอุ้มนางนอนลง “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปราชสำนักแต่เช้า”
สืออีเหนียงนอนอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ มีเสื้อผ้าบางๆ กั้นอยู่ นางสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของเขาอย่างชัดเจน นางไม่กล้าที่จะขยับ หลับตาลง หวังว่ามันจะเช้าเร็วๆ
ไม่เพียงแต่แขนขาแข็งทื่อ อีกทั้งยังตัวสั่นไปหมด
สวีลิ่งอี๋ไม่เคยบังคับจิตใจสตรี อยู่ต่อหน้าเขา สตรีล้วนแต่เป็นฝ่ายยินยอม…
เขาห่มสืออีเหนียงไว้ในผ้าห่มของตัวเองอย่างแน่นหนา จากนั้นก็มุดเข้าไปในผ้าห่มของสืออีเหนียง “รีบนอนเถิด!”
ใช้มือปัดผมที่อยู่บนแก้มของนางไปไว้หลังหูอย่างอ่อนโยน แต่กลับเห็นท่าทีผ่อนคลายของนางอย่างชัดเจน
เขาหยุดชะงัก จากนั้นก็หันไปเป่าตะเกียง
ได้ยินเสียงตีกลองตอนเช้า ตีจนถึงตีสี่ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปแต่งตัว อาบน้ำ ทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
ผลักประตูออก ข้างนอกก็สว่างไสว บนท้องฟ้ายังมีหิมะที่อ่อนนุ่มราวกับขนห่านตกลงมา
“ท่านโหว หิมะตกแล้วขอรับ” หลินปัวสวมเสื้อคลุมหนังนากสีดำให้สวีลิ่งอี๋
เขามองดูเสื้อคลุมที่ถูกแสงไฟจากโคมไฟสีแดงส่องเป็นเงาวาวอย่างเหม่อลอย นึกถึงผมสีดำที่พลิ้วไหวบนตัวของเขาภายใต้แสงไฟ…ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ไปเผาเตาผิงมือเถิด!”
หลินปัวตกใจ
เหมียวเจียงร้อนขนาดนั้น ท่านโหวยังไม่เคยถอดเสื้อผ้า ซีเป่ยหนาวขนาดนั้น ท่านโหวยังไม่เคยใช้ถาดไฟ…เหตุใดกลับมาที่เยี่ยนจิง เขาถึงจะใช้เตาผิงมือ
แต่การฝึกฝนมาอย่างดีหลายปีทำให้เขาก้มหน้าลงและตอบรับด้วยความเคารพ “ขอรับ” จากนั้นก็สั่งให้เด็กรับใช้ชายที่อยู่ข้างๆ ไปเผาเตาผิงมือ
สวีลิ่งอี๋ถือโอกาสตอนที่รอ เดินกลับเข้าไปด้านใน
เข้าปิดม่านมองดูสืออีเหนียงที่ยังนอนหลับอยู่
คิ้วที่งดงามของนางกำลังขมวดมุ่น อาจจะคิดอะไรในฝัน หรืออาจจะเพราะว่าแสงไฟที่ส่องเข้ามาทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว นางพลิกตัวเข้าไปข้างใน จากนั้นคิ้วก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่กลับบึนปากขึ้นมา ราวกับเด็กน้อยที่กำลังโกรธ ช่างมีความไร้เดียงสาที่พิเศษ
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม ปล่อยม่านลงเบาๆ แล้วเดินออกไปข้างนอก
ฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินออกไปไกล สืออีเหนียงจึงได้ถอนหายใจแล้วลืมตาขึ้น
นางไม่อยากเจอกับสวีลิ่งอี๋…หลังจากคืนนั้นมา ไม่ว่านางจะทำเช่นไรก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
สืออีเหนียงนอนอยู่อย่างนั้นเงียบๆ
ดูเหมือนว่าผ้าห่มยังคงมีกลิ่นไอของสวีลิ่งอี๋ มันช่างมัวเมาแต่ก็อบอุ่น
นางชอบกลิ่นนี้มาก มันทำให้นางรู้สึกสบายใจ
แต่นางไม่อยากขยับความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้…
จากนั้นก็มีเสียงของสาวใช้ที่เดินเข้ามาเบาๆ
“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ!” หู่พั่วเรียกนางเบาๆ
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ
ยังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน!
นางลุกขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เข้ามาสิ ข้าตื่นแล้ว”
หู่พั่วเปิดม่านเข้ามา ลู่อวิ๋นพาซวงอวี้และฟังซีมารับใช้นางลุกขึ้น
สะใภ้หนานหย่งเข้ามาคำนับสืออีเหนียงและหวีผมเผ้าให้นางอย่างคล่องแคล่ว
สืออีเหนียงบอกหู่พั่ว “เจ้าไปเรียกป้าเถามา!”
หู่พั่วตอบรับและเดินออกไป
ผ่านไปไม่นาน สะใภ้หนานหย่งก็ม้วนผมให้นางเสร็จ
สืออีเหนียงมองดูคนในกระจก
สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยดูไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม รอยยิ้มของนางก็ยังดูใจกว้างและเป็นมิตรดังเดิม
นางพยักหน้าด้วยความพอใจ
สะใภ้หนานหย่งเปิดกล่องแกะสลักสีแดงที่เต็มไปด้วยปิ่นปักผมที่แวววาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
นางค้นตามอำเภอใจ
“วันนี้โรงครัวทำขนมนม ประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมเอากลับไปให้บุตรสาวทานสักสองสามชิ้น”
สืออีเหนียงยิ้มเอ่ยและหยิบปิ่นปักผมแก้วสีฟ้าออกมา
สะใภ้หนานหย่งใช้สองมือรับมาและปักให้สืออีเหนียงด้วยความระมัดระวัง “นำของกินจากเรือนท่านกลับไปทุกวัน…หนานหย่งรู้เข้าเขาจะว่าบ่าวเอาได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ของดีอะไรเสียหน่อย บุตรสาวเจ้าก็มิใช่ว่าจะไม่ชอบ” สืออีเหนียงยิ้มให้สะใภ้หนานหย่ง มองดูนางเปิดกล่องแกะสลักสีแดงที่เอาไว้ใส่ต่างหูและแหวน “บุตรสาวเจ้าตื่นขึ้นมาเห็นเจ้ากลับไปบ้าน แล้วยังมีของกินไปฝากนาง นางต้องดีใจมากอย่างแน่นอน”
สะใภ้หนานหย่งพยักหน้าซ้ำๆ ความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบนใบหน้าของนางกลับกลายเป็นความสุข “บุตรสาวโง่ของบ่าวรู้จักแต่เรื่องกิน เห็นว่าบ่าวออกบ้านมาทุกวันก็มีขนมอร่อยๆ กลับไปให้ นางบอกจะนอนอยู่บนเตียงอย่างรู้ความ ไม่เตะผ้าห่ม ไม่ไปกวนท่านน้าจ้าว รอบ่าวกลับไปอย่างรู้ความ”
ความต้องการของบุตรที่มีต่อบิดามารดา บางครั้งมันก็ไม่ได้มากมายอะไร…
สืออีเหนียงรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปฟังหนานหย่ง คนเช่นเขาจะเข้าใจอะไร ข้าทานคนเดียวก็ทานไม่หมดอยู่ดี แล้วยังต้องเอาไปทิ้ง”
สะใภ้หนานหย่งเม้มริมฝีปากยิ้มด้วยท่าทีเกรงใจเป็นอย่างมาก
สาวใช้เข้ามารายงาน “ป้าเถามาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงบอกให้สะใภ้หนานหย่งออกไป นางมองไปที่ป้าเถาแล้วยิ้ม “ระดูของข้ามักจะมาช่วงปลายเดือน เจ้าคิดว่าจะจัดให้บรรดาอี๋เหนียงรับใช้ท่านโหวเข้านอนเมื่อใดดี”
ทันใดนั้นป้าเถาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องจัดไว้ช่วงต้นเดือนหรือช่วงปลายเดือนเจ้าค่ะ”
สะใภ้หนานหย่งที่พึ่งเดินออกไปถึงหน้าม่านก็หยุดชะงัก
คำพูดของป้าเถาดึงดูดสืออีเหนียง นางไม่ได้สนใจสะใภ้หนานหย่ง แต่หัวของนางกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว
หากเป็นเช่นนี้ ท่านโหวก็ต้องมานอนกับนางช่วงกลางเดือน เช่นนี้ทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่าย!
หรือว่าตัวเองคาดเดาผิดไป…
นางยิ้มแล้วหยิบต่างหูดอกติงเซียงคู่หนึ่งออกมาจากกล่องที่อยู่ตรงหน้านาง
“หากจัดวันของท่านไว้ช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือน มันอาจจะตรงกับวันระดูได้” ป้าเถายิ้มแล้วเดินเข้าไปช่วยสืออีเหนียงใส่ต่างหู “เกรงว่าถึงตอนนั้นคงต้องมีสาวใช้ห้องข้าง” นางพูดพลางมองมาที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ตอนนี้ท่านโหวใช่ว่าจะไม่รักและเอ็นดูฮูหยิน ทำไมฮูหยินต้องโยนโอกาสไปให้คนอื่นเจ้าคะ ให้บรรดาอี๋เหนียงอยู่ช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือน ให้ท่านอยู่ช่วงกลางเดือน เหมาะสมที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” อย่างคลุมเครือ จากนั้นก็ตั้งใจแต่งตัว
เมื่อเดินออกมา ก็เห็นสะใภ้หนานหย่งยืนกอดถุงกระดาษอยู่ใต้ชายคา นางก้มหน้าก้มตา ใช้เท้าซ้ายถูที่พื้นอย่างหมดหนทาง
“มีเรื่องอันใดหรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามนาง “มีสิ่งใดจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ”
สะใภ้หนานหย่งเงยหน้าขึ้นมองสืออีเหนียง สายตาของนางราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังตกใจ
สืออีเหนียงพยายามทำให้รอยยิ้มของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด นางยืนรอให้นางพูดออกมาอย่างเงียบๆ
สะใภ้หนานหย่งมองดูรอยยิ้มอันอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิของสืออีเหนียง นางรู้สึกว่าขนมที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองร้อนพล่าน นางเม้มปาก และในที่สุดก็พูดออกมา “บ่าว…บ่าวมีเรื่องจะพูดกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปในห้องโถงกับสะใภ้หนานหย่งสองต่อสอง
สะใภ้หนานหย่งรีบพูดว่า “ฮูหยิน ท่านไม่ควรจัดวันของท่านอยู่ช่วงกลางเดือน ก่อนและหลังระดูจะตั้งครรภ์ได้ง่ายเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ และรวดเร็ว ราวกับว่ามีอะไรไล่ตามมาข้างหลัง
สืออีเหนียงตกใจ
“บ่าวไม่ได้ตั้งใจ” สะใภ้หนานหย่งสีหน้าซีดเซียว
สืออีเหนียงเข้าใจขึ้นมาทันที
เหมือนว่าเคยอ่านเจอในหนังสือสักเล่ม คนเมื่อก่อนคิดว่าก่อนและหลังระดูทำให้ตั้งครรภ์ง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะจัดวันของบรรดาพระชายาระดับสูงไว้ก่อนและหลังระดู แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ตั้งครรภ์ยากกว่าเดิม
บางครั้งก็เป็นเพียงรอยยิ้มที่เป็นมิตรแค่นั้น
นางยิ้มแล้วจับมือสะใภ้หนานหย่ง “ขอบใจเจ้าที่เตือนข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง “อี๋เหนียงของข้าอยู่ที่อวี๋หัง ไม่เคยมีผู้ใดบอกเรื่องนี้กับข้า”
สะใภ้หนานหย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดึงมือออกมาจากมือของสืออีเหนียง คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ฮูหยิน บ่าวล่วงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงส่ายหน้า “เรื่องนี้ เจ้าอย่าไปบอกคนอื่น ข้าก็มีความลำบากใจของข้า ป้าเถาเป็นคนของพี่หญิงใหญ่ บางครั้งข้าก็คัดค้านนางไม่ได้ แล้วยังมีท่านแม่สกุลหลัว ข้าอธิบายไม่ได้…”
สะใภ้หนานหย่งมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ นางพยักหน้าซ้ำๆ “ฮูหยิน บ่าวไม่มีทางบอกใครแน่นอนเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบที่มือนางเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงไป
ในที่สุดนางก็อารมณ์ดีขึ้นมา
ป้าเถาไม่อยากให้นางตั้งครรภ์ ดังนั้นนางจึงจัดวันให้นางอยู่กลางเดือน แล้วยังบอกว่าหากระดูมาก็ให้หาสาวใช้ห้องข้างมาให้สวีลิ่งอี๋…เป็นเหมือนที่นางคาดเดาไว้ไม่มีผิด แต่ในความเป็นจริงแล้วช่วงนั้นคือช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ง่ายที่สุด
สืออีเหนียงไม่เคยโกหกสวีลิ่งอี๋ เพราะนางรู้ว่าคนอย่างเขาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม แค่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองนั้นแทบจะโกหกเขาไม่ได้ หากจะโกหกเขา ไม่สู้ทำให้เขาไว้ใจด้วยความซื่อสัตย์จะดีเสียกว่า
ในเมื่อทุกคนมีความเข้าใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้ความเข้าใจผิดนี้เป็นความเข้าใจผิดตลอดไปเถิด!
นางยิ้มออกมา