สวีลิ่งอี๋กำลังยุ่งกับการขนเมล็ดข้าวจากโกงดังข้าวของสกุลสวีที่ทงโจว แต่สืออีเหนียงกลับกำลังฟังจดหมายรายงานของเจียงปิ่งเจิ้ง “…ทั้งเยี่ยนจิงมีร้านขายน้ำหอมแค่สองร้าน ร้านที่ถนนตงต้าขายให้บรรดาสตรีเอาไว้ถูบนตัว อีกร้านหนึ่งอยู่ที่ถนนซีต้า เขาทำน้ำหอมผลไม้ให้กับร้านขายผลไม้” ตอนที่เขาพูดเขาดูตื่นเต้น “ร้านที่ถนนตงต้าใช้ขวดแก้วใบเล็กๆ ในการบรรจุน้ำหอม ขวดที่ราคาแพงราคาสามตำลึง ขวดที่ราคาถูกราคาแปดสลึง สำหรับร้านที่ถนนซีต้า สามสี่ตำลึงสามารถซื้อได้หนึ่งโถ ถูกมากขอรับ ฮูหยินอยากจะเปิดร้านขายน้ำหอมใช่หรือไม่ บ่าวคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี” พูดจบ รอยยิ้มของเขาก็ภาคภูมิใจมากกว่าเดิม “ท่านต้องเดาไม่ได้แน่ๆ ว่าร้านที่ถนนตงต้าเป็นร้านของผู้ใด” ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบกลับ เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “เป็นร้านของฮูหยินห้าขอรับ”
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะบังเอิญขนาดนี้
“ถึงตอนนั้นหากเราบอกฮูหยินห้า ฮูหยินห้าคงจะปิดร้านนั้นแน่นอน ถึงตอนนั้นเราก็ใช้เงินซื้อคนงาน บ่าวรับใช้และช่างทำน้ำหอมดอกไม้ของพวกเขา เปลี่ยนชื่อร้านเสีย มันก็กลายเป็นกิจการของเราแล้วขอรับ!” เจียงปิ่งเจิ้งมองไปที่สืออีเหนียงด้วยความชอบอกชอบใจ “ไม่ต้องเสียเวลาอะไรให้มากมาย”
ไม่แปลกที่เขาจะถูกพ่อบ้านเถาไล่ออก เจ้าเล่ห์ขนาดนี้
“แล้วเจ้าไปสืบมาชัดเจนหรือยังว่า น้ำหอมที่แพงที่สุดของพวกเขาขายได้วันละกี่ขวด น้ำหอมที่ที่ถูกที่สุดขายได้วันละกี่ขวด ขายได้ทั้งหมดวันละกี่ขวด คนที่ซื้อน้ำหอมที่แพงที่สุดคือผู้ใด คนที่ซื่อน้ำหอมที่ถูกที่สุดคือผู้ใด เจ้าไปสืบมาหมดแล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงถามติดต่อกัน มันทำให้ความอ่อนโยนของนางหายไป นางถามจนเจียงปิ่งเจิ้งหน้าแดงไปหมด เขาพูดติดๆ ขัดๆ “นั่น นั่นคือเคล็ดลับการดูแลกิจการของแต่ละสกุล พวกเขาจะปล่อยให้คนอื่นเห็นได้เช่นไรขอรับ”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าไปนั่งอยู่หน้าร้านน้ำหอม จับตามองตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดูว่าคนที่เข้าออกล้วนแต่เป็นคนประเภทใด ซื้อของประเภทใด เช่นนี้อย่างไรเล่า!”
เจียงปิ่งเจิ้งเบิกตากว้าง
สิ่งที่สืออีเหนียงพูดล้วนแต่เป็นคำพูดที่อยู่ในแวดวงค้าขาย แต่ว่าผู้ใดเป็นคนบอกนาง ไม่ใช่สิ ป้าเถาน่าจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ หรือว่าหยางฮุยจู่เป็นคนบอกนาง ก็คงมิใช่ ถึงแม้ว่าหยางฮุยจู่จะเป็นคนฉลาด แต่เขาก็ไม่เคยทำงานในร้านขายของ…ทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไร
แม้ว่าจะไม่เคยทำกิจการมาก่อน แต่ว่าท่านแม่ของสืออีเหนียงเป็นคนทำกิจการ นางมักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ยังมีช่วงหนึ่งที่นางอยากให้สืออีเหนียงเข้ามาดูแลกิจการของตัวเอง นางจึงพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
เห็นท่าทีของเจียงปิ่งเจิ้ง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่านี้คือการเตรียมการขั้นพื้นฐานก่อนทำกิจการ แต่เขาเห็นว่านางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เลยขี้เกียจทำก็แค่นั้น
“ในเมื่อเจ้ายังไปสืบมาไม่ครบ เช่นนั้นก็ไปสืบมาให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยกลับมารายงานข้า!” สืออีเหนียงพูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เจียงปิ่งเจิ้งเดินออกไปอย่างน่าอนาจ
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของเข้าแล้วพูดกับหู่พั่ว “เจ้าเขียนจดหมายไปให้หยางฮุยจู่ บอกให้เขาคอยจับตาดูเจียงปิ่งเจิ้งคนนี้เอาไว้ อย่าให้เขาใช้ชื่อของจวนหย่งผิงโหวไปหลอกลวงใครเขา”
“ไม่หรอกมั้งเจ้าคะ!” หู่พั่วพูดเบาๆ “เขาจะกล้าหาญขนาดนั้น?”
“คนประเภทนี้ข้ารู้จักดีที่สุด” สืออีเหนียงยิ้มอย่างเย็นชา “อยากจะมาหาเงินก้อนที่เยี่ยนจิงกับข้า เจ้าบอกให้หยางฮุยจู่จับตาดูเขาไว้ก็พอ ดีเหมือนกัน จะได้เห็นว่าหยางฮุยจู่เป็นคนเช่นไร!”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป แต่กลับถูกสืออีเหนียงเรียกเอาไว้ “ไปเรียกว่านอี้จงมาหาข้า!”
“เจ้าค่ะ!” หู่พั่วรีบไปบอกให้คนเรียกว่านอี้จงมา
ว่านอี้จงถือกระดาษสองสามแผ่น ถือมารายงานสืออีเหนียง “ตอนที่เเตงหวานเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ สามารถขายได้ในราคาลูกละสี่อีแปะ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว สามารถขายได้ในราคาลูกละสองอีแปะ แอปเปิ้ลครึ่งกิโลแปดสลึง ลูกพลัมครึ่งกิโลห้าสลึง สาลี่ครึ่งกิโลสองอีแปะ มะม่วงหิมพานต์ครึ่งกิโลแปดสลึง…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเอามาให้ข้าดู!” สืออีเหนียงเห็นเขาพูดติดๆ ขัดๆ
ว่านอี้จงหน้าแดง ยื่นกระดาษที่อยู่ในมือส่งให้สืออีเหนียง
ลี่ว์อวิ๋นหยิบมาให้สืออีเหนียง สืออีเหนียงถึงกับตกใจ
บนกระดาษเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ มากมาย ราวกับตัวอักษรของดาวอังคาร
ว่านอี้จงพึมพำ “บ่าว บ่าวไม่รู้จักตัวอักษรขอรับ…”
สืออีเหนียงยื่นกระดาษกลับไปให้เขาแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าจะปลูกต้นผลไม้พวกนี้ดีหรือไม่”
ว่านอี้จงพยักหน้าซ้ำๆ “บ่าวถามคนที่ปลูกต้นผลไม้พวกนี้ที่อยู่รอบๆ แล้ว ครอบครัวของพวกเขามีที่ดินแค่สิบสองแปลง ปลูกลูกสาลี่และลูกพลัมทั้งหมด พวกเขานั้นมีรายได้ถึงสิบหกตำลึงต่อปีขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ได้เช่นไร”
ว่านอี้จงพูด “บ่าวจับตามองอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขาตั้งหลายวัน พวกเขาเกือบจะคิดว่าบ่าวเป็นขอทาน บ่าวคอยนับจำนวนสาลี่และลูกพลัมที่พวกเขาขายออกไปทุกวัน วิธีขายอาจจะช้าไปหน่อย แต่ว่าได้ผลขอรับ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
ว่านอี้จงคนนี้เป็นคนมีความสามารถ!
นางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เมื่อวานพ่อบ้านไป๋นำสัญญาเช่าและเงินค่าเช่าที่ดินห้าร้อยหมู่มาให้ข้าแล้ว เรื่องนี้เจ้าก็คงจะรู้ หากข้าให้เจ้าไปดูแลที่ดินของใต้เท้าเฉิน เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอีกสิบปีเจ้าจะเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์”
ว่านอี้จงตกใจ “ฮูหยิน ท่านคิดว่าบ่าวทำสิ่งใดผิดไปขอรับ…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว
สืออีเหนียงรีบพูด “เพราะว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าจัดการที่ดินผืนนั้น เจ้าก็รู้ว่าการปลูกผลไม้เช่นนี้คืองานที่ต้องมีทักษะ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอายุมากไปหน่อย แต่เจ้ามีบุตรชายอีกสามคน หากเจ้าเรียนรู้ทักษะของใต้เท้าเฉินได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคต ถึงแม้ว่าสิบปีมันจะนานไปเสียหน่อย แต่หากรีบร้อนจะได้ทานทังหยวนร้อนๆ ได้เช่นไร”
ว่านอี้จงเข้าใจทันที เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ หากเรื่องแค่นี้บ่าวยังทำได้ไม่ดี บ่าวคงจะย้ายจากเจียงหนานมาอย่างสูญเปล่า”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วพูดว่า “ข้าเคยถามแล้วว่า คนที่ทำงานระยะยาวอย่างเจ้า ได้เงินเดือนแค่เจ็ดสลึงต่อเดือน ส่วนว่านต้าเสี่ยนอาจจะเงินเยอะหน่อย ห้าสลึง บวกกับว่านเอ้อร์เสี่ยนและว่านซานเสี่ยน ไม่เกินสองสามสลึง หนึ่งปีก็จะได้ประมาณสิบห้าสิบหกตำลึง ที่บ้านยังมีภรรยา ชีวิตลำบาก เจ้าไปทำงานที่นั่นก็ไม่ต้องไปพูดสิ่งใดกับใต้เท้าเฉิน ข้าจะให้เงินเจ้าเพิ่มปีละสิบตำลึง”
ว่านอี้จงรู้สึกชอบอกชอบใจ เขาก้มหัวให้สืออีเหนียงซ้ำๆ
สืออีเหนียงบอกให้ลี่ว์อวิ๋นพยุงเขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามถึงบุตรชายสามคนของเขา “…แต่งงานแล้วหรือยัง”
สายตาของว่านอี้จงหม่นหมองลง เขาพูดว่า “ครอบครัวลำบาก ไม่มีเวลาไปนึกถึงเรื่องพวกนั้นขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พ่อบ้านไป๋และใต้เท้าเฉินตกลงที่จะมอบที่ดินในวันที่สิบหกเดือนสิบเอ็ด ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็ต้องไปที่นั่นแล้ว แต่ว่าข้ายังต้องการคนมาช่วยข้าสักคนหนึ่ง เจ้าบอกให้ต้าเสี่ยนมาคอยช่วยเหลือข้า ถึงวันที่ยี่สิบเดือนสิบสองแล้วค่อยไปหาเจ้าที่นั่น”
แน่นอนว่าว่านอี้จงต้องพยักหน้าแล้วตอบรับว่า “ขอรับ” สืออีเหนียงพูดคุยกับเขาสักสองสามประโยค บอกให้เขาออกไปแล้วก็เรียกฉังจิ่วเหอเข้ามา
ช่วงนี้ทิ้งพวกเขาไว้ที่เรือนในตรอกจินอวี๋ เขาทำใจตั้งนานแล้ว ตอนนี้สืออีเหนียงเรียกเขามาหา เขาดูกังวลและไม่สบายใจ คำนับสืออีเหนียงเสร็จแล้วเขาก็ยืนหดตัวอยู่ที่ประตู
สืออีเหนียงถามเขา “ข้าอยู่ที่เยี่ยนจิงมีทั้งเรือนและไร่ เจ้าอยากไปทำงานที่ไร่หรือว่าช่วยข้าดูแลเรือน”
ฉังจิ่วเหอรู้ว่าว่านอี้จงคอยช่วยสืออีเหนียงอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าที่ดินจะถูกเช่าไปแล้ว มีแค่ไร่ทรายที่ยังอยู่ในมือ สืออีเหนียงคงอยากให้ว่านอี้จงเป็นคนดูแลไร่ทราย เพราะว่าไร่ทรายเป็นกิจการของตัวเอง ส่วนที่ดินผืนนั้นเอาให้คนอื่นเช่าไปแล้ว เขาจึงไม่หวังอะไรตั้งนานแล้ว จึงตอบกลับอย่างรู้ความ “บ่าวไปที่ใดก็ได้ ได้หมดเลยขอรับ ฮูหยินบอกบ่าวมาได้เลยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ช่วยข้าดูแลไร่ทรายเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงตอนนั้นปลูกถั่วลิสง แตงหวาน เจ้ามีบุตรชายสองคนคอยช่วยเหลือ ข้าคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร!”
ฉังจิ่วเหอมองสืออีเหนียงด้วยความตกใจ
แน่นอนว่าเขาต้องยอมไปที่ไร่ทรายอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เลี้ยงไก่สองตัว เก็บไข่ไก่ ลูกๆ ก็จะมีอะไรอร่อยๆ ทาน ไม่เหมือนการอยู่ดูแลเรือน ถึงแม้ว่ามันจะสบาย แต่นอกจากเงินเดือนก็ไม่มีรายได้ข้างนอกเลยสักอย่าง
ฉังจิ่วเหอกลัวว่าเขาจะพลาดงานนี้ไป เขารีบคุกเข่าลงแล้วก้มหัวให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงบอกให้เขาไปหาพ่อบ้านไป๋ ถามเขาว่าไร่ทรายควรจะปลูกเช่นไร ฉังจิ่วเหอไม่ใช่เกษตรกรที่มีฝีมือ เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไร
เขาตอบรับและเดินออกไปด้วยสีหน้าที่มีความสุข
สืออีเหนียงเรียกหลิวหยวนรุ่ยมาหา “เจ้าดูแลเรือนที่ตรอกจินอวี๋ให้ข้าเถิด”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจที่ปิดไว้ไม่อยู่
ก่อนที่จะมาหาสืออีเหนียง ภรรยาของเขาก็บอกเขาไว้แล้วว่าต้องเอางานดูแลเรือนมาให้ได้ คนเฝ้าประตูของสมุหนายกคือขุนนางระดับแปด ว่ากันว่าเป็นงานที่ดี หากไปทำงานที่ไร่ทราย ไปไกลขนาดนั้น แม้แต่หน้าฮูหยินก็ยังจำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินคนก่อนยังทิ้งคนงานที่เคยทำงานอยู่ในเรือนเอาไว้ หากฮูหยินถูกชะตากับใครสักคนเข้าให้ นางอาจจะให้พวกเขาไปทำแทนก็ได้ ไปทำงานที่เรือนถึงแม้ว่าจะไม่มีอิสระเท่ากับที่ไร่ทราย แต่ที่นี่คือเยี่ยนจิง ภรรยาของเขามักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ อยู่แล้ว พื้นรองเท้าที่เย็บปักถักร้อยธรรมดาๆ ก็ขายได้หนึ่งอีแปะ พวกเขาสามารถปลูกพืชผักสวนครัวบนแปลงเล็กๆ หลังจวนได้ อีกทั้งยังปักดอกไม้ไปขายหาเงินเสริมให้ครอบครัวได้ แล้วหากสนิทสนมกับเพื่อนบ้าน ก็ยังสามารถช่วยคนอื่นจัดงานได้ หนึ่งปีผ่านไปรายได้ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว…
เขาตอบรับ “ขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้ากลับไปบอกภรรยาของเจ้า หากภรรยาของเจ้าเห็นด้วย พรุ่งนี้เจ้าก็พาครอบครัวของเจ้าไปทำความสะอาดที่เรือน หากนางไม่เห็นด้วย ข้าจะหางานใหม่ให้เจ้า”
หลิวหยวนรุ่ยตกใจ
มีนายหญิงที่ไหนมอบหมายงานแล้วยังเอ่ยถามเช่นนี้
แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร เขาก้มหน้าแล้วพูดว่า “ฮูหยินบอกบ่าวมาเถิดขอรับ ภรรยาของบ่าวต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอนขอรับ”
ภรรยาที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนั้น จะไม่มีความคิดเป็นของตัวเองได้เช่นไร
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นางอยากจะปลูกพืชผักสวนครัว หรือปลูกผลไม้ที่เรือนของข้าก็ได้ แต่จะทำลายทัศนียภาพตอนนี้ไม่ได้ เด็ดดอกไม้และหญ้าที่ข้าปลูกไว้ออกไปซะ เดินเข้าไปก็ได้กลิ่นอุจจาระ สำหรับเรื่องที่จะไปรับงานข้างนอก จะอ้างชื่อของจวนหย่งผิงโหวไม่ได้เด็ดขาด”
หลิวหยวนรุ่ยตกใจจนเหงื่อแตก เขารู้สึกราวกับว่าสืออีเหนียงได้ยินที่เขาและภรรยาพูดคุยกัน…แต่นางก็พูดตามความจริงทุกประโยค เดิมทีเขาก็เป็นคนซื่อสัตย์อยู่แล้ว ตอนนี้จึงยิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่ เขาเพียงแค่ตอบรับว่า “ขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้เขาออกไป
สองวันต่อมา นางเรียกผู้ติดตามสองสามคนมาพูดเรื่องแบ่งงานอีกครั้ง
อีกสามคนก็ได้รับจดหมายหมดแล้ว แล้วก็ปรึกษากับคนที่บ้านแล้ว ล้วนแต่เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ไม่เพียงแต่ไม่บ่นอะไร แล้วยังกลัวว่าสืออีเหนียงจะเปลี่ยนคำพูด มีแค่เจียงปิ่งเจิ้งที่ถูกส่งไปที่เรือนร้างอีกหลังหนึ่งของสืออีเหนียง เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก อยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงเขาไม่กล้าพูดอะไร แต่กลับแอบบอกให้ผู้ติดตามอีกสามคนมาขอให้สืออีเหนียงมอบหมายงานใหม่ให้เขา ผู้ติดตามอีกสามคนก็ไม่มีใครสนใจเขา พวกเขาพากันย้ายไปแต่ละที่ตามที่สืออีเหนียงบอก คนที่ดูแลเรือนก็เริ่มดูแลเรือน คนที่ทำไร่ก็เริ่มทำไร่ มีแค่เจียงปิ่งเจิ้งคนเดียวที่ไม่ทำอะไร แต่ผ่านไปได้ไม่นานเขาก็สงบลงแล้วตั้งใจเฝ้าดูกิจการน้ำหอม เดินอยู่รอบร้านทุกวัน
สืออีเหนียงไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมฟังคำสั่งของตัวเอง ให้พวกเขาได้มีตอนจบที่เป็นไปตามความปรารถนาของตัวเอง พวกเขาจะได้มีแรงจูงใจในการทำงานและทำออกมาได้ดีกว่าบังคับพวกเขา
หู่พั่วอดเป็นห่วงไม่ได้ “…หรือว่าเราต้องไปขอร้านนั้นจากฮูหยินห้าเจ้าคะ”
“เราจะไปขอไม่ได้” สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “ข้าไม่ชอบการใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเป็นที่สุด ข้าจะใช้วิธีนี้บีบคั้นคนอื่นได้เช่นไร ถึงแม้ว่าจะมีวิธีเช่นนั้น แต่เจ้าลองคิดดู เยี่ยนจิงซ่อนคนที่มีความสามารถไว้ตั้งมากมาย แต่ร้านขายน้ำหอมกลับมีแค่สองร้าน เกรงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องมาให้ตัวเองเพียงเพราะเงินไม่กี่ตำลึง เรื่องนี้รอให้ฮูหยินสองกลับมาก่อน ดูว่ามีวิธีอื่นหรือไม่แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ที่จริงแล้ว สืออีเหนียงสงสัยว่าร้านขายน้ำหอมนี้เกี่ยวข้องกับฮูหยินสอง
ถึงแม้ว่าการทำน้ำหอมไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ฝีมืออะไรมากมาย แต่หากอยากจะผลิตให้ได้จำนวนมาก อีกทั้งปัญหาของอายุการเก็บรักษา ใช่ว่าคนธรรมดาจะเอาชนะได้…