เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สวีลิ่งอี๋ก็พูดขนาดนี้แล้ว หรือว่าตนนั้นเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มากกว่าสวีลิ่งอี๋อย่างนั้นหรือ เหมือนที่สวีลิ่งอี๋พูดว่าครอบครัวของเขา เขาคงรู้สึกกดดันมากกว่าตัวนางเสียอีก
สืออีเหนียงเลือกที่จะเชื่อสวีลิ่งอี๋
นางพยักหน้าแล้วพูดเบาๆ “ท่านโหวต้องดูแลตัวเองให้ดีนะเจ้าคะ เหมือนกับที่ท่านบอกว่า ข้างหลังของท่านยังมีครอบครัวอยู่!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้า ยื่นมือออกมาตบไหล่ของนางเบาๆ “ไปช่วยข้าเก็บข้าวของเถิด! ข้าอยากนั่งเงียบๆ คนเดียวที่นี่สักพัก!”
สืออีเหนียงเข้าใจ ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เขายิ่งต้องมีสติ
นางชงชาร้อนให้สวีลิ่งอี๋ เรียกซย่าอีและชุนมั่วเข้ามา จากนั้นก็เก็บข้าวของกับพวกนาง
ช่างได้เปิดหูเปิดตาเสียจริง
แค่เสื้อข้างในสีขาวยังเอาไปตั้งยี่สิบสี่ตัว…สายตาของสืออีเหนียงมองไปที่เสื้อผ้าจำนวนมากในตู้เสื้อผ้าและกล่องข้างล่างสิบกว่ากล่อง นางตัดสินใจว่าต่อไปหากต้องไปเยี่ยมญาตินางจะไม่ค้างคืน ยุ่งยากมากเสียจริง
เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว นางพลันนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้สวีลิ่งอี๋ต้องไปนอนที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียง สืออีเหนียงตัดสินใจไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยินก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บข้าวของต่อ นางจึงค่อยๆ เดินออกไปที่เรือนหน่วนเก๋อ
สวีลิ่งอี๋นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา หันหน้าออกไปมองหิมะสีขาวนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
ได้ยินเสียงนางเดินเข้ามา เขาก็หันหน้ามายิ้มให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “สายแล้ว ต้องไปเรือนท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วก็ไปเรือนไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
ระหว่างทางเจอกับสวีลิ่งหนิงสองสามีภรรยา
คารวะกันแล้ว สองพี่น้องสกุลสวีเดินอยู่ข้างหน้า พูดคุยกันเรื่องในจวน ฮูหยินสามและสืออีเหนียงเดินตามอยู่ข้างหลัง แนะนำท่านป้าที่เป็นผู้ดูแลในจวน ทั้งสี่คน สองคนเดินเร็ว สองคนเดินช้า เดินห่างกันออกไปเรื่อยๆ สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็อยากเดินตามไป แต่ฮูหยินสามกลับไม่รีบร้อนเหมือนเดิมและพูดคุยกับนาง สืออีเหนียงอยากจะเดินตามไปก็เดินตามไปไม่ได้ นางจึงเข้าใจทันทีว่าฮูหยินสามอยากจะรั้งตัวนางไว้ เพื่อให้คุณชายสามและสวีลิ่งอี๋ได้พูดคุยกัน
ท่าทีลับๆ ล่อๆ แบบนี้ คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจการของสกุล และการให้ครอบครัวของคุณชายสามไปอยู่ข้างนอก!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจึงเดินช้าลง ค่อยๆ เดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เด็กๆ มาถึงกันตั้งนานแล้ว พวกเขากำลังนั่งพูดคุยกับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินยิ้มหน้าบาน ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
ทุกคนคารวะกันเสร็จแล้วก็ไปทานข้าวเย็นที่ห้องทิศตะวันออก ส่งสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ คุณชายสาม ฮูหยินสามและสวีซื่อเจี่ยนกลับไปแล้ว สืออีเหนียงก็ถือโอกาสไปส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอกลับห้อง เพื่อให้พวกนางสองแม่ลูกได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน จากนั้นนางก็ไปที่ห้องของเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์พักอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อของเรือนทางทิศตะวันออก มีเตียงเคลือบเงาเล็กๆ ม่านสีแดงใบใหญ่ ผ้าห่มสีเหลือง มีกระถางดอกบ๊วยเดือนสิบสองอยู่บนโต๊ะดอกไม้ ในห้องมีกลิ่นหอม
“งามอย่างมาก” สืออีเหนียงชื่นชม
เจินเจี่ยเอ๋อร์ปิดปากยิ้ม จากนั้นก็ชงชาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงรับชามา มันคือชาเถี่ยกวนอิน
นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ นึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน
เพราะว่ารู้สึกหดหู่ นางหวังว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะสดใสราวกับแสงอาทิตย์ในเดือนห้า
นางหยิบกำไลไข่มุกออกมายื่นให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ทำสีหน้าตกใจ “ให้ข้าหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จวนข้างๆ จะมาที่จวนเรา ถึงตอนนั้นเจ้าต้องช่วยข้าต้อนรับนาง อย่าลืมแต่งตัวให้สวยๆ ล่ะ”
สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นประกาย
แต่ช่างน่าเสียดายที่ประกายนั้นมันอยู่ได้ไม่นาน ทำให้สืออีเหนียงคิดว่าตัวเองคิดไปเอง
“แล้วจุนเกอล่ะเจ้าคะ” นางพูดด้วยความลังเล
“ปล่อยให้เขาเล่นพันด้ายไปกับท่านย่าไงเล่า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วขยิบตาให้นาง
เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะ
สืออีเหนียงลุกขึ้นแล้วขอตัวออกมา “พรุ่งนี้ข้าจะมาคารวะท่านแม่เช้าหน่อย ถึงตอนนั้นก็จะเห็นว่าเจ้าสวมชุดอะไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ส่งนางออกไปด้วยความเขินอาย
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็ได้ยินเสี่ยวหลี สาวใช้ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ส่งเสียงดีใจเบาๆ
สืออีเหนียงยิ้มอ่อน แล้วเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา สองแม่ลูกก็หันมามอง แต่สวีลิ่งอี๋ยังคงพูดต่อ “…เช่นไรเขาก็เคยรับใช้ท่านพ่อและท่าน ถึงตอนนั้นก็ให้เงินเขาก็ได้ หนึ่งร้อยก้าวเดินมาแล้วเก้าสิบเก้าก้าว ไม่จำเป็นต่อมาหักหน้ากันตอนนี้”
ไท่ฮูหยินเหลือบมองสืออีเหนียง แล้วก็มองบุตรชายของตัวเองที่ไม่หยุดพูด นางยิ้มออกมา
“ท่านแม่ ท่านคิดว่าเช่นไรขอรับ” สวีลิ่งอี๋เอ่ยถามไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินตอบรับแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ทำตามที่เจ้าบอกก็ได้” พูดอีกว่า “ดึกแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนกันเถิด พรุ่งนี้ยังต้องไปพระพระตำหนักนอกที่ซีซาน”
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงคำนับไท่ฮูหยินแล้วเดินออกไป
ระหว่างทาง สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “ข้าแค่บอกว่าฮองเฮาอยากไปแช่น้ำพุร้อนที่พระตำหนักนอกที่ซีซานก่อนเทศกาลล่าปา มีองค์ชายสามไปเป็นเพื่อน ส่วนข้าคอยคุ้มกัน เรื่องอื่นข้าไม่ได้พูด เจ้าก็อย่าเผลอพูดออกไปเซียว”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยรับปาก
สวีลิ่งอี๋หยุดเดิน ยิ้มแล้วมองไปที่นาง “จะไม่ให้ข้าเข้าไปจริงๆ หรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
สืออีเหนียงตกใจ
ทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงแบบนี้!
สวีลิ่งอี๋จ้องมองเข้าไปในดวงตาของนาง ดวงตาที่มีชีวิตชีวานั้นเซื่องซึมลง เขารู้สึกว่ามันน่าสนุก จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้า
สืออีเหนียงรีบเดินตามไป
แต่นางกลับกำลังใจเต้น
สวีลิ่งอี๋หมายความว่าอะไร
กลับมาที่เรือน สวีลิ่งอี๋อาบน้ำที่เรือนของสืออีเหนียง จากนั้นก็จะไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น
สองวันก่อนก็ปกติดีไม่ใช่หรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก
ให้เขาไปนอนที่ห้องหนังสือ หากไท่ฮูหยินรู้เข้า…นางกัดริมฝีปากแล้วพูดเบาๆ “หรือว่าคืนนี้ท่านโหวนอนที่นี่เถิดเจ้าค่ะ!”
สายตาของสวีลิ่งอี๋มีความหยอกเย้า “คืนนี้ข้าต้องเจอนายทหารสองสามคน”
สืออีเหนียงตกใจ นางหน้าแดง ยืนอยู่ตรงนั้นแทบอยากจะเอาหน้ามุดดิน
ไม่ทันไรก็เข้าใจผิดอีกแล้ว…
สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทางเขินอายแต่แสร้งทำเป็นนิ่งสงบของนาง เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “พรุ่งนี้ยามอิ๋นข้าต้องเข้าพระราชวัง”
เขายืดอกผายไหล่ผึ่งแล้วเดินออกไป
สาวใช้ในห้องต่างพากันก้มหน้าลง
สืออีเหนียงมองดูร่างของเขาที่กำลังจะเดินออกไปด้วยความตกใจ ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งนางถึงเรียกหู่พั่ว “ไปบอกเฉียวอี๋เหนียงว่าไม่ต้องให้นางรอแล้ว ท่านโหวมีธุระ วันนี้นอนที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
กลางดึก สืออีเหนียงถูกเสียงพิณที่ดังก้องปลูกจนตื่น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นางถามตงชิงด้วยความมึนงง
ตงชิงลุกขึ้นมา “บ่าวไปดูประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ผ่านไปไม่นานนางก็กลับมา “เฉียวอี๋เหนียงกำลังดีดพิณเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างเอือมระอาแล้วพูดว่า “ไปบอกนางว่ามันดึกแล้ว ทุกคนจะนอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยดีด”
ตงชิงตอบรับแล้วเดินออกไป
เฉียวอี๋เหนียงยังคงดีดพิณต่อไม่หยุด แต่แค่เปลี่ยนเพลง มีเสียงแหลมเป็นพักๆ มันยิ่งทำให้คนนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ เสียงราวกับคนที่อยู่ชั้นบนถอดรองเท้าโยนลงบนพื้น แล้วไม่โยนรองเท้าอีกข้างหนึ่งสักที มันทำให้ผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอ
สืออีเหนียงใช้ผ้าห่มคลุมหัว พยายามนอนหลับไป จากนั้นนางก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตายามโฉ่ว พึ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ สวีลิ่งอี๋ก็มาพอดี
เขาดูสดใส แต่ในดวงตากลับมีสีแดงจางๆ เผยให้เห็นความเหนื่อยล้า
“ท่านโหวไม่ได้นอนทั้งคืนหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงถามเขาด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็ยกนมแพะไปให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ดื่มมันจนหมด “หลับไปสองชั่วยามแล้ว”
คนที่หลับไปสองชั่วยามตาจะแดงได้เช่นไร มีแต่คนที่ไม่นอนทั้งคืนที่จะเป็นเช่นนี้
ตอนนี้จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดีมันคงดูไม่จริงใจเกินไป เพราะเขาต้องใช้ทั้งแรงกายแรงใจ พวกนางถึงจะปลอดภัย
สืออีเหนียงยกซุปไก่ดำที่ต้มด้วยสมุนไพรมาให้สวีลิ่งอี๋ “ทานซุปตอนเช้าทำให้กระเพาะอุ่น จะได้สบายตัวขึ้นเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ทานซุปไปถ้วยหนึ่ง ทานซาลาเปาไปสี่ลูก สืออีเหนียงทานข้าวต้มเป็นเพื่อนเขาครึ่งถ้วย จากนั้นก็บอกให้คนนำขนมปังไส้เนื้อไปกับสวีลิ่งอี๋ด้วย
เฉียวอี๋เหนียงมาแล้ว
หรือว่ารู้ข่าวจึงมาส่งสวีลิ่งอี๋กระมัง
แต่นางได้ข่าวเร็วเกินไปหรือไม่
สืออีเหนียงนิ่งสงบ บอกให้สาวใช้ไปเรียกนางเข้ามา
ไม่ได้เจอเฉียวเหลียนฝังเกือบเดือนแล้ว นางก็ยังคงดูอ่อนแอเหมือนเดิม ม้วนผมมวยธรรมดา สวมชุดสีขาวพระจันทร์ ดูงดงามราวกับแม่น้ำ
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ นางก็ทำสีหน้าตกใจ “ท่านโหวก็อยู่ที่นี่…”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางพยักหน้า ท่าทางดูเป็นกันเอง
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ ก็บอกให้สาวใช้นำเก้าอี้มาให้นาง ถามนางว่า “เจ้าทานข้าวแล้วหรือยัง จะทานสักหน่อยหรือไม่”
เฉียวเหลียนฝังเหลือบมองสวีลิ่งอี๋แล้วพูดเบาๆ “ยังไม่ได้ทานเจ้าค่ะ…ข้ามาทานเป็นเพื่อนฮูหยินไงเล่าเจ้าคะ”
สายตาของสวีลิ่งอี๋มีความแปลกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้คนยกซุปไก่ดำมาให้นาง พูดว่า “เจ้ามาเพราะเรื่องดีดพิณตอนกลางค่ำกลางคืนเมื่อวานใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังโน้มตัวมาข้างหน้า “ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านจะได้ยิน คิดว่าฮูหยินน่าจะไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นความผิดของข้าเอง”
สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้ารู้ก็ดี เพราะข้ากลัวว่าจะทำให้คนอื่นตื่น แม้แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ฝึกพิณแล้ว”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งไม่สบายใจ นางเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ
กำลังพูดคุยกัน ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็มาพอดี
สวีลิ่งอี๋หยิบนาฬิกาพกออกมาดู
“ข้าเป็นคนบอกให้ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงมาเอง” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านโหวจะออกไปอยู่ที่ซีซานสองสามวัน จึงให้อี๋เหนียงทั้งสองมาส่งท่าน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ลำบากฮูหยินแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มันเป็นหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะ” นางเหลือบมองเฉียวเหลียนฝัง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไปจริงๆ
อี๋เหนียงทั้งสองคนคำนับสวีลิ่งอี๋ สวีซื่ออวี้ เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอก็ทยอยมาถึง เมื่อเด็กๆ คำนับเสร็จแล้ว สืออีเหนียงก็ไปลาไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็พาพวกเขาไปส่งสวีลิ่งอี๋ที่หน้าประตูฉุยฮวา
สวีลิ่งอี๋บอกสวีซื่ออวี้ “เจ้าเป็นบุตรชายคนโต ข้าไม่อยู่ที่จวน เจ้าต้องช่วยท่านแม่ดูแลน้องๆ”
สวีซื่ออวี้โค้งคำนับตอบรับด้วยความเคารพ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้สืออีเหนียง จากนั้นก็เดินออกไปจากประตูฉุยฮวาพร้อมกับบรรดาบ่าวรับใช้ชาย
สืออีเหนียงยืนรอจนร่างของสวีลิ่งอี๋ลับตาไป จากนั้นนางก็พูดเบาๆ “เฉียวอี๋เหนียงอยู่ก่อน ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด!”
สายตาของทุกคนมองไปที่เฉียวเหลียนฝังครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำนับสืออีเหนียงแล้วแยกย้ายกันออกไป
สายตาของเฉียวเหลียนฝังเป็นประกาย “ฮูหยินมีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เราเดินไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า” สืออีเหนียงยิ้ม “ร่างกายของเฉียวอี๋เหนียงดีขึ้นแล้วหรือยัง”
เฉียวเหลียนฝังพูด “เป็นเพราะบารมีของฮูหยิน ข้าถึงได้ทานยาตลอด แต่ข้าอ่อนแอ ประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็แย่ ทำให้ฮูหยินเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจ
พูดคุยกับนาง ต้องใช้วาทศิลป์ฮูหยินกับคุณหนู
การเป็นอนุภรรยาของคนอื่นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือเป็นอนุภรรยาแต่ยังไม่สามารถหาตำแหน่งที่ถูกต้องของตัวเองเจอ…