ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 149 ลำบากใจ

ตอนที่ 149 ลำบากใจ

“เช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงยิ้ม “ใกล้จะปีใหม่แล้ว อี๋เหนียงต้องดีขึ้นเร็วๆ ถึงตอนนั้นท่านโหวเห็นแล้วจะได้ดีใจ”

เฉียวเหลียนฝังยิ้มขึ้นจางๆ ใบหน้าราวกับดอกเถาฮวาในเดือนสาม

พวกนางเดินไปข้างหน้า สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หรือเจ้าอยากจะเปลี่ยนหมอรักษาหรือไม่”

เปลี่ยนหมอรักษา ทานยาจะได้ดีขึ้น

เฉียวเหลียนฝังส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หมอหลวงจังก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ

ตนได้ให้โอกาสนางแล้ว…

นางยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “นายหญิงเฉียวไม่ได้มาหาเจ้านานแล้วใช่หรือไม่ หรือจะให้คนไปเชิญนายหญิงเฉียวมาหาเจ้าดี มีนางคอยอยู่เป็นเพื่อน เจ้าก็จะอารมณ์ดี บางทีอาการป่วยอาจจะดีขึ้น”

สายตาของเฉียวเหลียนฝังเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะคำพูดของสืออีเหนียงพูดตรงกับใจที่กำลังคิดถึงท่านแม่ของนาง นางยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง

สืออีเหนียงบอกหู่พั่วที่อยู่ข้างๆ “เจ้าไปจัดการ พรุ่งนี้ไปรับนายหญิงเฉียวมาที่จวน”

หู่พั่วรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ

พวกนางเดินกลับไปที่เรือน

ทันทีที่สืออีเหนียงมาถึงที่ห้อง เหวินอี๋เหนียงก็มาขอพบนาง

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกให้สาวใช้เชิญเหวินอี๋เหนียงเข้ามา

ใบหน้าของเหวินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เข้ามาก็เอ่ยชื่นชมสืออีเหนียง บอกว่าท่านโหวออกไปอยู่ข้างนอกยังให้บรรดาอี๋เหนียงไปส่ง บอกว่านางใจกว้าง บอกว่าตัวเองเกิดมาพึ่งเคยเจอคนอย่างนาง

สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ตัวเองพึ่งเจอกับแขก นางก็ยิ้มแบบนี้ไปทุกที่ นางตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา “อี๋เหนียง ข้าไม่สะดวกที่จะไปเจอกับคุณนายสามสกุลเหวิน”

เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ”

สืออีเหนียงบอกให้คนไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่งข้างเตียงเตา นางพูดว่า “อี๋เหนียง ข้าเป็นลูกสะใภ้ของสกุลสวี แล้วยังเป็นบุตรสาวของสกุลหลัว ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า แต่ข้าเป็นคนโง่เขลา คิดว่าเป็นลูกสะใภ้ของเขาก็เหมือนกับเป็นขุนนางของราชสำนัก ราชสำนักก็เหมือนสกุลสามี วงศ์ตระกูลก็เหมือนสกุลเดิม ต้องจงรักภักดีและเสียสละ ถึงจะได้เป็นขุนนางชั้นสูง ได้รับผลตอบแทนที่ดี เป็นที่ยกย่องของทุกคน เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล ถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยา หลักการเดียวกัน เป็นลูกสะใภ้ของเขาก็ต้องตั้งใจปกป้องสกุลสามี ต้องกตัญญูต่อสามีและแม่สามี มีเมตตาต่อพี่เขยน้องสะใภ้ เลี้ยงดูลูกๆ ถึงจะได้รับความเคารพจากพวกเขา พวกเขาถึงจะไม่กล้าเฉยเมยใส่ และแน่นอนว่าต้องไม่กล้าเฉยเมยต่อคนสกุลเดิมของข้าเช่นกัน อี๋เหนียงคิดว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”

เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นก็ตกใจ “แต่ข้า ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของใคร…”

“เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องเข้มงวดกับตัวเอง ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์!” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงแม้ว่าทุกคนจะทานเมล็ดข้าวเหมือนกัน แต่ทุกคนก็มีความแตกต่างกัน เป็นสาวใช้เหมือนกัน ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นสาม หก เก้าระดับ เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน แต่แม่สามีก็ยังปฏิบัติไม่เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ไม่ได้ตกลงมาจากสวรรค์ เราต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง!”

เหวินอี๋เหนียงหลับตา ไม่พูดไม่จาอยู่นาน

ทุกเรื่องล้วนต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

สืออีเหนียงเห็นสะใภ้หนานหย่งเข้ามา นางก็ได้รู้ว่าเป็นยามเหม่าแล้ว ประเดี๋ยวยังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน นางจึงพูดกับเหวินอี๋เหนียง “อี๋เหนียงกลับไปคิดคำพูดที่ข้าพูดให้ดีเถิด”

เหวินอี๋เหนียงลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวออกไปด้วยสายตาที่มัวหมอง

กลับมาที่ห้อง ชิวหงพึมพำเบาๆ “ฮูหยินหมายความว่าอะไรกันนะ นางไม่ตักเตือนเฉียวอี๋เหนี๋ยง แต่กลับพูดถึงพวกเรา”

คำพูดของสืออีเหนียงทำให้เหวินอี๋เหนียงตระหนักอะไรได้มากมาย นางไม่สนใจว่าสืออีเหนียงจะคิดเช่นไรกับเฉียวเหลียนฝัง หรือว่าหากเฉียวเหลียนฝังไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแล้วตัวเองจะเข้าไปแทนที่ได้เช่นนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าจะจัดการเฉียวเหลียนฝังคนหนึ่งได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนแบบเฉียวเหลียนฝังรออยู่ข้างหน้าอีกกี่คน ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเหลียนฝังยิ่งโดดเด่นเท่าไร มันก็ยิ่งมีประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น สืออีเหนียงจะต้องตีสนิทกับบรรดาอี๋เหนียงที่เคยมีลูกแล้ว เช่นนั้นชีวิตของพวกนางก็จะยิ่งผ่านไปได้ด้วยดี

เหวินอี๋เหนียงอธิบายคำพูดของสืออีเหนียงให้ชิวหงฟัง “…นางเป็นภรรยาเอก พูดย่อมง่ายกว่าทำ หากข้านั่งอยู่ตำแหน่งของนาง ข้าก็คงจะคิดอย่างโปร่งใสเฉกเช่นนางเพราะอย่างไรก็ตามจวนหลังนี้ก็ถือเป็นของข้า จะได้กำไรหรือขาดทุนก็เหมือนกับการทำกิจการ หากวันนี้ขาดทุน พรุ่งนี้ก็ค่อยหากำไรใหม่ เมื่อนับบัญชีแล้วได้กำไรมาก หรือขาดทุนเพียงแค่เล็กน้อยก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว นึกถึงตอนนั้น หากไม่มีหลัวหยวนเหนียง กิจการของเราจะสำเร็จเช่นนี้หรือ ท่านโหวรู้แล้วเขาทำเช่นไร เขาก็ต้องปกป้องหลัวหยวนเหนียง และเห็นข้าเป็นเหมือนหนามยอกอก คิดว่าข้าเป็นคนทำให้ครอบครัวไม่สงบ เขาไม่ได้คิดว่า หากข้าเป็นคนป้อนยาพิษถ้วยนั้นจริงๆ ก็ต้องให้หลัวหยวนเหนียงเต็มใจที่จะดื่มมันเข้าไปถึงจะสำเร็จไม่ใช่หรือ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นข้าที่รับผิดชอบ จะว่าไปแล้ว หลัวหยวนเนียงนั้นเป็นภรรยาเอก ส่วนข้าเป็นอนุภรรยา หากข้านึกถึงแต่สกุลสวี เกรงว่าข้าคงจะอดตายไปตั้งนานแล้ว!”

ชิวหงได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล “เช่นนั้น…เช่นนั้นเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ เมื่อก่อนมีหลัวหยวนเหนียงคอยสนับสนุน ตอนนี้หลัวหยวนเหนียงไม่อยู่แล้ว…ท่านโหวก็ประกาศแล้วว่า สกุลสวีไม่มีญาติที่ทำกิจการ หากมีคนบอกว่าญาติของสกุลสวีไปหากรมพระราชวัง ใครที่แอบใช้ชื่อเสียงขุนนางจะถูกจับเข้าคุกทั้งหมด หากไม่บอกอะไรเขา ปีนี้หิมะตกหนักขนาดนี้ หากทำกิจการฝ้ายจะต้องได้กำไรมหาศาลแน่นอน สามารถหาเงินได้อย่างน้อยที่สุดก็เจ็ดแปดหมื่นตำลึงเงิน ฮูหยินสามไม่มีประสบการณ์ อยากจะทำแต่ก็ไม่กล้า ฮูหยินห้าก็เจ้าเล่ห์ ไม่ลงทุนสักตำลึง แต่กลับอยากได้ส่วนแบ่ง…ไม่มีหลัวหยวนเหนียง เราทำได้แค่มองดูเป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไปแบบนี้!”

“ใช่!” เหวินอี๋เหนียงมองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปราย “ข้าเห็นว่าสิ่งที่ตกลงมาจากท้องฟ้าไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเงิน แต่เรากลับไม่สามารถคว้าเงินพวกนั้นมาอยู่ในมือของตัวเอง เจ้าคงจะไม่รู้ ข้าคิดเช่นนี้ก็เจ็บปวดไปทั้งใจทั้งกายจนแทบนอนไม่หลับ”

ขณะที่นางพูด ชิวหงก็ยกชาร้อนมาให้เหวินอี๋เหนียง “ฟังจากที่ท่านพูด ฮูหยินสี่คนใหม่ที่พึ่งจะแต่งเข้ามาของเราจะทำตัวเป็นคนดีมีศีลธรรมเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”

“นางจะเป็นคนดีหรือไม่ ข้านั้นไม่สนใจ” เหวินอี๋เหนียงขมวดคิ้ว “แต่หากคุณนายสามมาเมืองหลวงครั้งนี้ไม่ได้เจอกับนาง เงินที่สกุลเหวินให้เราปีละสองแสนตำลึงเงิน เกรงว่าถึงตอนนั้นคงจะไม่ได้มาง่ายๆ ขนาดนี้แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่”

“จริงหรือเจ้าคะ!” ชิวหงลังเล “จะว่าไป ท่านทำเพื่อสกุลเหวินตั้งมากมาย หากไม่มีท่าน เมล็ดข้าวของสกุลเหวินจะกลายเป็นหนังสืออนุญาตจำหน่ายเกลืออย่างราบรื่นได้เช่นไร แล้วยังเป็นอัตราแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อหนึ่ง ทั้งต้าโจวสกุลเหวินคือที่หนึ่ง ท่านทำเงินให้พวกเขาตั้งมากมาย!”

“ดังนั้นนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าได้เงินสองแสนตำลึงทุกปี!” เหวินอี๋เหนียงถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เจ้าคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องดีขนาดนี้เช่นนั้นหรือ” พูดจบนางก็ลูบหน้าผาก “ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว”

“เช่นนั้นก็ไม่เอาเงินสองแสนตำลึงนั้นแล้ว” ชิวหงพูด “บ่าวไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ต้องการเรา!”

“เจ้าจะรู้อะไร” เหวินอี๋เหนียงยิ้มอย่างขมขื่น “ให้เราช่วยแต่เราช่วยไม่ได้ มันหมายความว่าอะไร มันหมายความว่าข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดในสกุลสวีเหมือนแต่ก่อนแล้ว คนที่ไม่มีสิทธิ์พูด สำหรับสกุลเหวินก็เท่ากับบุตรกําพร้า เดิมทีบิดาของเจ้านั้นเป็นบุตรชายของแม่นมของข้า ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าจึงไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนนอก ไม่เคยปิดบังอะไรเจ้า ข้าจะบอกเจ้าตามความจริง คุณนายสามสกุลเหวิน สองสามปีก่อนนางเลือกเด็กหญิงสองสามคนในจวนมาเลี้ยงดูเอง ก็เพื่อวันนี้ เมื่อข้าแก่แล้ว ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านโหวแล้ว นางก็จะส่งพวกนางเข้ามา เจ้าคิดว่าสกุลเหวินขาดข้าไม่ได้เช่นนั้นหรือ นี่ก็คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดข้าจะต้องให้คุณนายสามสกุลเหวินเจอกับสืออีเหนียงให้ได้ ข้ากลัวว่านางจะคิดว่าข้าไม่ยอมให้นางส่งคนเข้ามา ถึงตอนนั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับสกุลเหวิน ข้าก็คือคนผิด ผลลัพธ์เช่นนั้น ข้าแบกรับไว้ไม่ไหว!”

ชิวหงถึงกับนิ่งงัน

เหวินอี๋เหนียงมองนางแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ทุกคนต่างรู้ว่าสกุลเหวินแห่งหยางโจวส่งบุตรของภรรยาเอกมาเป็นอนุภรรยาที่จวนหย่งผิงโหว ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาตั้งกี่คน ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่อยากจะเดินบนเส้นทางนี้ แต่ว่าคนอย่างท่านโหว เขาไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วยังไม่ไปหอนางโลม ในจวนก็ไม่มีอนุภรรยาที่อายุน้อยหน้าตาดี ไม่มีผู้ใดรู้จักนิสัยที่แท้จริงของเขา หลัวหยวนเหนียงทะเลาะกับเขาเรื่องทายาท กลัวว่าเขาจะไปมีบุตรชายอยู่ข้างนอก จึงหาสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหว เจอเรื่องเช่นนี้เขากลับแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าไปตีสนิทกับเขา ไม่เช่นนั้น สกุลเหวินจะยอมแบ่งเงินให้ข้าสองแสนตำลึงได้เช่นไร!

แต่จะว่าไปแล้ว ข้านับถือท่านปู่มากที่สุด หากไม่ใช่เพราะเขา สกุลเหวินจะมีวันนี้ได้เช่นไร!

“ตอนนั้นสกุลสวีก็เป็นแค่สกุลนอกของราชวงค์ ไม่ต้องพูดถึงบัลลังก์ของฮ่องเต้ตอนนี้ แค่ตำแหน่งผู้สืบทอดองค์ชายยังห่างไกล ไม่มีใครคาดคิดว่าฮ่องเต้จะได้สืบทอดบัลลังก์ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งคุณหนูใหญ่สกุลสวีจะได้เป็นฮองเฮา แล้วยังให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ องค์ชายสามและองค์ชายห้า แล้วหากคุณชายสองของสกุลสวีไม่เสียชีวิตตอนเดือนหนึ่ง หลัวหยวนเหนียงไม่แท้งตอนฤดูใบไม้ผลิ นายท่านใหญ่ก็คงจะไม่ล้มป่วย หากไม่ใช่เพราะว่านายท่านใหญ่ป่วยหนัก สกุลสวีก็คงไม่รีบรับอนุภรรยาให้ท่านโหว ให้สาวใช้ห้องข้างหยุดยา หากไม่ใช่เพราะว่ารีบร้อน ถึงแม้ว่าสกุลเหวินจะส่งคนเข้ามา มันก็อาจจะไม่ใช่ข้า คิดๆ ดูแล้ว มันคือโชคชะตา ไม่เกี่ยวกับฝีมือคน!” นางพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

ชิวหงเติบโตมาในจวนสกุลสวี เรื่องพวกนี้นางเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ยามนี้ที่เหวินอี๋เหนียงเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังอย่างไม่ปิดบังเช่นนี้ ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดตอบอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงค่อยพูดว่า “เราลองหาโอกาสกันเถิดเจ้าค่ะ! บางทีผ่านไปสักสองสามวัน มันอาจจะมีเรื่องพลิกผัน”

เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามชิวหงเบาๆ “ข้าจำได้ว่าสืออีเหนียงมีพี่สาวที่ชื่อว่าอู่เหนียง ดูเหมือนว่าจะเปิดร้านผลไม้แห้งที่ถนนซีต้า เช่าที่ของซุ่นอ๋อง ตอนที่เปิดกิจการ ท่านโหวยังไปดื่มชาที่นั่น…เจ้าลองคิดหาวิธี เราไปตีสนิทกับนาง ข้าไม่เชื่อว่าบุตรอนุภรรยาอย่างสืออีเหนียง มีโอกาสโอ้อวดต่อหน้าคนสกุลเดิมแล้วจะไม่โอ้อวด นางจะมองชื่อเสียงและความมั่งคั่งนี้ออกจริงหรือ”

ชิวหงได้ยินเช่นนี้ สายตาก็เป็นประกาย “แผนการของอี๋เหนียงดีมากเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่า อู่เหนียงคนนั้นแต่งงานกับจู่เหรินจนๆ คนหนึ่ง ใช้สินเดิมของนางประคองชีวิตไปวันๆ ไม่เช่นนั้น คุณหนูสกุลขุนนางอย่างนางจะเปิดร้านทำกิจการไปทำไม ฤดูหนาวปีนี้ยาวนานนัก ร้านผลไม้แห้งของนางต้องลำบากอย่างแน่นอน”

*****

สะใภ้หย่งหนานปักปิ่นปักผมเทพธิดาฉังเอ๋อร์เหินสู่ดวงจันทร์ให้สืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บหวี

สืออีเหนียงมองดูตัวเองในกระจก

เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์ เสื้อกั๊กยาวลายดอกสีม่วงอมแดง ปักลายดอกโบตั๋นสีชมพูดอกใหญ่ที่มุมและปลายแขน กระโปรงผ้าไหมสีเขียวเข้ม ชายกระโปรงเป็นสีม่วงอมแดง เครื่องประดับบนหัวแกว่งไปมา ถึงแม้ว่ามองดูแล้วสง่างาม แต่มันกลับดูแก่กว่าความจริงตั้งสามสี่ปี

แต่ว่า นี่คือสิ่งที่นางต้องการ

เพราะว่านางมีตำแหน่งเป็นท่านแม่ สิ่งของที่ดูเด็กพวกนั้นเอาไว้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ใช้เถิด!

สืออีเหนียงพาลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน

เจินเจี่ยเอ๋อร์สวมผ้าฝ้ายสีขาว เสื้อกั๊กยาวสีสีเหลือง ปักมุมด้วยด้ายสีทอง สวมกระโปรงผ้าไหมสีขาว ม้วนผมเป็นมวยแล้วสวมเครื่องประดับดอกไม้สองดอก ที่ข้อมือยังสวมกำไลไข่มุกที่สืออีเหนียงร้อยให้นาง

ไท่ฮูหยินกำลังจับมือนางมองนางตั้งแต่หัวจรดเจ้า เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็รีบกวักมือเรียกสืออีเหนียง “เข้าคิดว่าเป็นเช่นไร”

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท