“เช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงยิ้ม “ใกล้จะปีใหม่แล้ว อี๋เหนียงต้องดีขึ้นเร็วๆ ถึงตอนนั้นท่านโหวเห็นแล้วจะได้ดีใจ”
เฉียวเหลียนฝังยิ้มขึ้นจางๆ ใบหน้าราวกับดอกเถาฮวาในเดือนสาม
พวกนางเดินไปข้างหน้า สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หรือเจ้าอยากจะเปลี่ยนหมอรักษาหรือไม่”
เปลี่ยนหมอรักษา ทานยาจะได้ดีขึ้น
เฉียวเหลียนฝังส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หมอหลวงจังก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ตนได้ให้โอกาสนางแล้ว…
นางยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “นายหญิงเฉียวไม่ได้มาหาเจ้านานแล้วใช่หรือไม่ หรือจะให้คนไปเชิญนายหญิงเฉียวมาหาเจ้าดี มีนางคอยอยู่เป็นเพื่อน เจ้าก็จะอารมณ์ดี บางทีอาการป่วยอาจจะดีขึ้น”
สายตาของเฉียวเหลียนฝังเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะคำพูดของสืออีเหนียงพูดตรงกับใจที่กำลังคิดถึงท่านแม่ของนาง นางยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง
สืออีเหนียงบอกหู่พั่วที่อยู่ข้างๆ “เจ้าไปจัดการ พรุ่งนี้ไปรับนายหญิงเฉียวมาที่จวน”
หู่พั่วรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ
พวกนางเดินกลับไปที่เรือน
ทันทีที่สืออีเหนียงมาถึงที่ห้อง เหวินอี๋เหนียงก็มาขอพบนาง
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกให้สาวใช้เชิญเหวินอี๋เหนียงเข้ามา
ใบหน้าของเหวินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เข้ามาก็เอ่ยชื่นชมสืออีเหนียง บอกว่าท่านโหวออกไปอยู่ข้างนอกยังให้บรรดาอี๋เหนียงไปส่ง บอกว่านางใจกว้าง บอกว่าตัวเองเกิดมาพึ่งเคยเจอคนอย่างนาง
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ตัวเองพึ่งเจอกับแขก นางก็ยิ้มแบบนี้ไปทุกที่ นางตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา “อี๋เหนียง ข้าไม่สะดวกที่จะไปเจอกับคุณนายสามสกุลเหวิน”
เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงบอกให้คนไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่งข้างเตียงเตา นางพูดว่า “อี๋เหนียง ข้าเป็นลูกสะใภ้ของสกุลสวี แล้วยังเป็นบุตรสาวของสกุลหลัว ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า แต่ข้าเป็นคนโง่เขลา คิดว่าเป็นลูกสะใภ้ของเขาก็เหมือนกับเป็นขุนนางของราชสำนัก ราชสำนักก็เหมือนสกุลสามี วงศ์ตระกูลก็เหมือนสกุลเดิม ต้องจงรักภักดีและเสียสละ ถึงจะได้เป็นขุนนางชั้นสูง ได้รับผลตอบแทนที่ดี เป็นที่ยกย่องของทุกคน เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล ถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยา หลักการเดียวกัน เป็นลูกสะใภ้ของเขาก็ต้องตั้งใจปกป้องสกุลสามี ต้องกตัญญูต่อสามีและแม่สามี มีเมตตาต่อพี่เขยน้องสะใภ้ เลี้ยงดูลูกๆ ถึงจะได้รับความเคารพจากพวกเขา พวกเขาถึงจะไม่กล้าเฉยเมยใส่ และแน่นอนว่าต้องไม่กล้าเฉยเมยต่อคนสกุลเดิมของข้าเช่นกัน อี๋เหนียงคิดว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นก็ตกใจ “แต่ข้า ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของใคร…”
“เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องเข้มงวดกับตัวเอง ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์!” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงแม้ว่าทุกคนจะทานเมล็ดข้าวเหมือนกัน แต่ทุกคนก็มีความแตกต่างกัน เป็นสาวใช้เหมือนกัน ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นสาม หก เก้าระดับ เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน แต่แม่สามีก็ยังปฏิบัติไม่เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ไม่ได้ตกลงมาจากสวรรค์ เราต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง!”
เหวินอี๋เหนียงหลับตา ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ทุกเรื่องล้วนต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
สืออีเหนียงเห็นสะใภ้หนานหย่งเข้ามา นางก็ได้รู้ว่าเป็นยามเหม่าแล้ว ประเดี๋ยวยังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน นางจึงพูดกับเหวินอี๋เหนียง “อี๋เหนียงกลับไปคิดคำพูดที่ข้าพูดให้ดีเถิด”
เหวินอี๋เหนียงลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวออกไปด้วยสายตาที่มัวหมอง
กลับมาที่ห้อง ชิวหงพึมพำเบาๆ “ฮูหยินหมายความว่าอะไรกันนะ นางไม่ตักเตือนเฉียวอี๋เหนี๋ยง แต่กลับพูดถึงพวกเรา”
คำพูดของสืออีเหนียงทำให้เหวินอี๋เหนียงตระหนักอะไรได้มากมาย นางไม่สนใจว่าสืออีเหนียงจะคิดเช่นไรกับเฉียวเหลียนฝัง หรือว่าหากเฉียวเหลียนฝังไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแล้วตัวเองจะเข้าไปแทนที่ได้เช่นนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าจะจัดการเฉียวเหลียนฝังคนหนึ่งได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนแบบเฉียวเหลียนฝังรออยู่ข้างหน้าอีกกี่คน ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเหลียนฝังยิ่งโดดเด่นเท่าไร มันก็ยิ่งมีประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น สืออีเหนียงจะต้องตีสนิทกับบรรดาอี๋เหนียงที่เคยมีลูกแล้ว เช่นนั้นชีวิตของพวกนางก็จะยิ่งผ่านไปได้ด้วยดี
เหวินอี๋เหนียงอธิบายคำพูดของสืออีเหนียงให้ชิวหงฟัง “…นางเป็นภรรยาเอก พูดย่อมง่ายกว่าทำ หากข้านั่งอยู่ตำแหน่งของนาง ข้าก็คงจะคิดอย่างโปร่งใสเฉกเช่นนางเพราะอย่างไรก็ตามจวนหลังนี้ก็ถือเป็นของข้า จะได้กำไรหรือขาดทุนก็เหมือนกับการทำกิจการ หากวันนี้ขาดทุน พรุ่งนี้ก็ค่อยหากำไรใหม่ เมื่อนับบัญชีแล้วได้กำไรมาก หรือขาดทุนเพียงแค่เล็กน้อยก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว นึกถึงตอนนั้น หากไม่มีหลัวหยวนเหนียง กิจการของเราจะสำเร็จเช่นนี้หรือ ท่านโหวรู้แล้วเขาทำเช่นไร เขาก็ต้องปกป้องหลัวหยวนเหนียง และเห็นข้าเป็นเหมือนหนามยอกอก คิดว่าข้าเป็นคนทำให้ครอบครัวไม่สงบ เขาไม่ได้คิดว่า หากข้าเป็นคนป้อนยาพิษถ้วยนั้นจริงๆ ก็ต้องให้หลัวหยวนเหนียงเต็มใจที่จะดื่มมันเข้าไปถึงจะสำเร็จไม่ใช่หรือ เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นข้าที่รับผิดชอบ จะว่าไปแล้ว หลัวหยวนเนียงนั้นเป็นภรรยาเอก ส่วนข้าเป็นอนุภรรยา หากข้านึกถึงแต่สกุลสวี เกรงว่าข้าคงจะอดตายไปตั้งนานแล้ว!”
ชิวหงได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล “เช่นนั้น…เช่นนั้นเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ เมื่อก่อนมีหลัวหยวนเหนียงคอยสนับสนุน ตอนนี้หลัวหยวนเหนียงไม่อยู่แล้ว…ท่านโหวก็ประกาศแล้วว่า สกุลสวีไม่มีญาติที่ทำกิจการ หากมีคนบอกว่าญาติของสกุลสวีไปหากรมพระราชวัง ใครที่แอบใช้ชื่อเสียงขุนนางจะถูกจับเข้าคุกทั้งหมด หากไม่บอกอะไรเขา ปีนี้หิมะตกหนักขนาดนี้ หากทำกิจการฝ้ายจะต้องได้กำไรมหาศาลแน่นอน สามารถหาเงินได้อย่างน้อยที่สุดก็เจ็ดแปดหมื่นตำลึงเงิน ฮูหยินสามไม่มีประสบการณ์ อยากจะทำแต่ก็ไม่กล้า ฮูหยินห้าก็เจ้าเล่ห์ ไม่ลงทุนสักตำลึง แต่กลับอยากได้ส่วนแบ่ง…ไม่มีหลัวหยวนเหนียง เราทำได้แค่มองดูเป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไปแบบนี้!”
“ใช่!” เหวินอี๋เหนียงมองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปราย “ข้าเห็นว่าสิ่งที่ตกลงมาจากท้องฟ้าไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเงิน แต่เรากลับไม่สามารถคว้าเงินพวกนั้นมาอยู่ในมือของตัวเอง เจ้าคงจะไม่รู้ ข้าคิดเช่นนี้ก็เจ็บปวดไปทั้งใจทั้งกายจนแทบนอนไม่หลับ”
ขณะที่นางพูด ชิวหงก็ยกชาร้อนมาให้เหวินอี๋เหนียง “ฟังจากที่ท่านพูด ฮูหยินสี่คนใหม่ที่พึ่งจะแต่งเข้ามาของเราจะทำตัวเป็นคนดีมีศีลธรรมเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“นางจะเป็นคนดีหรือไม่ ข้านั้นไม่สนใจ” เหวินอี๋เหนียงขมวดคิ้ว “แต่หากคุณนายสามมาเมืองหลวงครั้งนี้ไม่ได้เจอกับนาง เงินที่สกุลเหวินให้เราปีละสองแสนตำลึงเงิน เกรงว่าถึงตอนนั้นคงจะไม่ได้มาง่ายๆ ขนาดนี้แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่”
“จริงหรือเจ้าคะ!” ชิวหงลังเล “จะว่าไป ท่านทำเพื่อสกุลเหวินตั้งมากมาย หากไม่มีท่าน เมล็ดข้าวของสกุลเหวินจะกลายเป็นหนังสืออนุญาตจำหน่ายเกลืออย่างราบรื่นได้เช่นไร แล้วยังเป็นอัตราแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อหนึ่ง ทั้งต้าโจวสกุลเหวินคือที่หนึ่ง ท่านทำเงินให้พวกเขาตั้งมากมาย!”
“ดังนั้นนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าได้เงินสองแสนตำลึงทุกปี!” เหวินอี๋เหนียงถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เจ้าคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องดีขนาดนี้เช่นนั้นหรือ” พูดจบนางก็ลูบหน้าผาก “ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว”
“เช่นนั้นก็ไม่เอาเงินสองแสนตำลึงนั้นแล้ว” ชิวหงพูด “บ่าวไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ต้องการเรา!”
“เจ้าจะรู้อะไร” เหวินอี๋เหนียงยิ้มอย่างขมขื่น “ให้เราช่วยแต่เราช่วยไม่ได้ มันหมายความว่าอะไร มันหมายความว่าข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดในสกุลสวีเหมือนแต่ก่อนแล้ว คนที่ไม่มีสิทธิ์พูด สำหรับสกุลเหวินก็เท่ากับบุตรกําพร้า เดิมทีบิดาของเจ้านั้นเป็นบุตรชายของแม่นมของข้า ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ข้าจึงไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนนอก ไม่เคยปิดบังอะไรเจ้า ข้าจะบอกเจ้าตามความจริง คุณนายสามสกุลเหวิน สองสามปีก่อนนางเลือกเด็กหญิงสองสามคนในจวนมาเลี้ยงดูเอง ก็เพื่อวันนี้ เมื่อข้าแก่แล้ว ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านโหวแล้ว นางก็จะส่งพวกนางเข้ามา เจ้าคิดว่าสกุลเหวินขาดข้าไม่ได้เช่นนั้นหรือ นี่ก็คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดข้าจะต้องให้คุณนายสามสกุลเหวินเจอกับสืออีเหนียงให้ได้ ข้ากลัวว่านางจะคิดว่าข้าไม่ยอมให้นางส่งคนเข้ามา ถึงตอนนั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับสกุลเหวิน ข้าก็คือคนผิด ผลลัพธ์เช่นนั้น ข้าแบกรับไว้ไม่ไหว!”
ชิวหงถึงกับนิ่งงัน
เหวินอี๋เหนียงมองนางแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ทุกคนต่างรู้ว่าสกุลเหวินแห่งหยางโจวส่งบุตรของภรรยาเอกมาเป็นอนุภรรยาที่จวนหย่งผิงโหว ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาตั้งกี่คน ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่อยากจะเดินบนเส้นทางนี้ แต่ว่าคนอย่างท่านโหว เขาไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วยังไม่ไปหอนางโลม ในจวนก็ไม่มีอนุภรรยาที่อายุน้อยหน้าตาดี ไม่มีผู้ใดรู้จักนิสัยที่แท้จริงของเขา หลัวหยวนเหนียงทะเลาะกับเขาเรื่องทายาท กลัวว่าเขาจะไปมีบุตรชายอยู่ข้างนอก จึงหาสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหว เจอเรื่องเช่นนี้เขากลับแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าไปตีสนิทกับเขา ไม่เช่นนั้น สกุลเหวินจะยอมแบ่งเงินให้ข้าสองแสนตำลึงได้เช่นไร!
แต่จะว่าไปแล้ว ข้านับถือท่านปู่มากที่สุด หากไม่ใช่เพราะเขา สกุลเหวินจะมีวันนี้ได้เช่นไร!
“ตอนนั้นสกุลสวีก็เป็นแค่สกุลนอกของราชวงค์ ไม่ต้องพูดถึงบัลลังก์ของฮ่องเต้ตอนนี้ แค่ตำแหน่งผู้สืบทอดองค์ชายยังห่างไกล ไม่มีใครคาดคิดว่าฮ่องเต้จะได้สืบทอดบัลลังก์ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งคุณหนูใหญ่สกุลสวีจะได้เป็นฮองเฮา แล้วยังให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ องค์ชายสามและองค์ชายห้า แล้วหากคุณชายสองของสกุลสวีไม่เสียชีวิตตอนเดือนหนึ่ง หลัวหยวนเหนียงไม่แท้งตอนฤดูใบไม้ผลิ นายท่านใหญ่ก็คงจะไม่ล้มป่วย หากไม่ใช่เพราะว่านายท่านใหญ่ป่วยหนัก สกุลสวีก็คงไม่รีบรับอนุภรรยาให้ท่านโหว ให้สาวใช้ห้องข้างหยุดยา หากไม่ใช่เพราะว่ารีบร้อน ถึงแม้ว่าสกุลเหวินจะส่งคนเข้ามา มันก็อาจจะไม่ใช่ข้า คิดๆ ดูแล้ว มันคือโชคชะตา ไม่เกี่ยวกับฝีมือคน!” นางพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
ชิวหงเติบโตมาในจวนสกุลสวี เรื่องพวกนี้นางเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ยามนี้ที่เหวินอี๋เหนียงเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังอย่างไม่ปิดบังเช่นนี้ ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดตอบอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงค่อยพูดว่า “เราลองหาโอกาสกันเถิดเจ้าค่ะ! บางทีผ่านไปสักสองสามวัน มันอาจจะมีเรื่องพลิกผัน”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามชิวหงเบาๆ “ข้าจำได้ว่าสืออีเหนียงมีพี่สาวที่ชื่อว่าอู่เหนียง ดูเหมือนว่าจะเปิดร้านผลไม้แห้งที่ถนนซีต้า เช่าที่ของซุ่นอ๋อง ตอนที่เปิดกิจการ ท่านโหวยังไปดื่มชาที่นั่น…เจ้าลองคิดหาวิธี เราไปตีสนิทกับนาง ข้าไม่เชื่อว่าบุตรอนุภรรยาอย่างสืออีเหนียง มีโอกาสโอ้อวดต่อหน้าคนสกุลเดิมแล้วจะไม่โอ้อวด นางจะมองชื่อเสียงและความมั่งคั่งนี้ออกจริงหรือ”
ชิวหงได้ยินเช่นนี้ สายตาก็เป็นประกาย “แผนการของอี๋เหนียงดีมากเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่า อู่เหนียงคนนั้นแต่งงานกับจู่เหรินจนๆ คนหนึ่ง ใช้สินเดิมของนางประคองชีวิตไปวันๆ ไม่เช่นนั้น คุณหนูสกุลขุนนางอย่างนางจะเปิดร้านทำกิจการไปทำไม ฤดูหนาวปีนี้ยาวนานนัก ร้านผลไม้แห้งของนางต้องลำบากอย่างแน่นอน”
*****
สะใภ้หย่งหนานปักปิ่นปักผมเทพธิดาฉังเอ๋อร์เหินสู่ดวงจันทร์ให้สืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บหวี
สืออีเหนียงมองดูตัวเองในกระจก
เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์ เสื้อกั๊กยาวลายดอกสีม่วงอมแดง ปักลายดอกโบตั๋นสีชมพูดอกใหญ่ที่มุมและปลายแขน กระโปรงผ้าไหมสีเขียวเข้ม ชายกระโปรงเป็นสีม่วงอมแดง เครื่องประดับบนหัวแกว่งไปมา ถึงแม้ว่ามองดูแล้วสง่างาม แต่มันกลับดูแก่กว่าความจริงตั้งสามสี่ปี
แต่ว่า นี่คือสิ่งที่นางต้องการ
เพราะว่านางมีตำแหน่งเป็นท่านแม่ สิ่งของที่ดูเด็กพวกนั้นเอาไว้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ใช้เถิด!
สืออีเหนียงพาลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เจินเจี่ยเอ๋อร์สวมผ้าฝ้ายสีขาว เสื้อกั๊กยาวสีสีเหลือง ปักมุมด้วยด้ายสีทอง สวมกระโปรงผ้าไหมสีขาว ม้วนผมเป็นมวยแล้วสวมเครื่องประดับดอกไม้สองดอก ที่ข้อมือยังสวมกำไลไข่มุกที่สืออีเหนียงร้อยให้นาง
ไท่ฮูหยินกำลังจับมือนางมองนางตั้งแต่หัวจรดเจ้า เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็รีบกวักมือเรียกสืออีเหนียง “เข้าคิดว่าเป็นเช่นไร”