ก่อนจะทานข้าวเย็น ไท่ฮูหยินหาข้ออ้างบอกว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ให้ทิ้งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ในห้องข้างใน สืออีเหนียงจึงอุ้มจุนเกอแล้วเรียกสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนไปที่ห้องโถง
“พรุ่งนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะย้ายไปอยู่ที่เรือนของข้าแล้ว ข้าบอกไท่ฮูหยินแล้วว่าให้พวกเจ้าไปทานข้าวเย็นที่เรือนของข้า ถือว่าไปแสดงความยินดีให้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์” นางยิ้มแล้วมองไปที่สามพี่น้องสกุลสวี
พวกเขาทำสีหน้าตกใจ
สวีซื่ออวี้ได้สติกลับมาก่อน เขายิ้มให้ท่านแม่ “แล้วจุนเกอล่ะขอรับ” เขาพูดด้วยสายตาที่มืนมน ราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ส่องแสงจางๆ อย่างคลุมเครือ
สืออีเหนียงยิ้ม “เขาไม่เด็กแล้ว จะเอาแต่เล่นกับพี่หญิงทุกวันไม่ได้! ให้เขาอยู่ดูแลท่านย่าที่เรือนของท่านย่า ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ย้ายไปอยู่ที่เรือนของข้าชั่วคราว”
สวีซื่อเจี่ยนยิ้มแล้วพูดว่า “ดีเลย ดีเลย พรุ่งนี้เราไปทานข้าวที่เรือนของท่านป้าสี่กันเถิด” จากนั้นก็พูดกับจุนเกอ “มีของอร่อยด้วย”
จุนเกอยิ้มแล้วมองไปที่สวีซื่อเจี่ยน “มีของอร่อยด้วย!”
สวีซื่อเจี่ยนทำหน้าเยาะเย้ยใส่จุนเกอ “มีของอร่อยแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นกระต่ายขาวน้อย กินได้แค่หญ้า”
จุนเกอยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์
เขาไม่เข้าใจคำพูดของสวีซื่อเจี่ยน รู้สึกแค่ว่าน้ำเสียงของสวีซื่อเจี่ยนไม่ดี เขาจึงตอบโต้กลับไป “เจ้าต่างหากที่เป็นกระต่ายขาวน้อย ข้าเป็นเสือตัวใหญ่”
สวีซื่อเจี่ยนหัวเราะ “เสือตัวใหญ่ที่ให้คนอื่นอุ้ม”
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็จะกระโดดลงไปหาสวีซื่อเจี่ยน แต่สืออีเหนียงอุ้มเขาไว้แน่นพลางพูด “คุณชายน้อยสาม ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าจะพาจุนเกอไปขี่ม้าในวันที่เหมาะสม เช่นนั้นก็พรุ่งนี้เถิด!”
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มเจื่อน มองซ้ายมองขวาราวกับไม่ได้ยิน
จุนเกอเห็นว่าสวีซื่อเจี่ยนพูดไม่ออก เขาก็ไม่กระโดดลงไปแล้ว นั่งยิ้มหน้าบานอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกระซิบกับจุนเกอ “หากคนอื่นใช้คำพูดต่อว่าเจ้า เจ้าก็ใช้คำพูดต่อว่ากลับไป การกระโดดลงไปคิดบัญชีกับคนอื่น ไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษ”
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
สวีซื่ออวี้มองดูพวกเขาสองคนด้วยดวงตาที่คลุมเครือ
สวีซื่ฉินรีบออกมากอบกู้สถานการณ์ “ท่านป้าสี่ ท่านคิดว่าพรุ่งนี้เราไปถึงเมื่อไรดีขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “คารวะท่านย่าแล้วค่อยไปก็ได้”
พวกเขาตอบรับ “ขอรับ” คุณชายสามและฮูหยินสามก็มาแล้ว สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ถือโอกาสที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ย้ายเรือน เชิญสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนไปทานข้าวที่เรือนให้พวกเขาฟัง
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับแล้วพูดกับสองพี่น้อง “จะซุกซนไม่ได้”
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนรีบตอบรับ พวกเขาสองคนก็ไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงเรียบร้อยแล้ว นางก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกมาทานข้าว
หลังจากทานเสร็จคุณชายสามก็ถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าขาดอะไรหรืออยากได้อะไร บอกท่านป้าสามได้เลย เราจะส่งไปให้เจ้า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตอบด้วยความเกรงใจ “ท่านย่ากับท่านแม่จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ไม่ขาดแคลนสิ่งใด ขอบคุณท่านลุงสามและท่านป้าสามที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามกลัวว่าคุณชายสามจะพูดอะไร นางจึงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ในห้องเก็บของมีของดีๆ ตั้งมากมาย”
คุณชายสามยิ้มและก็ไม่ยืนหยัดอีกต่อไป
ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้พาเจินเจี่ยอ๋อร์และจุนเกอไปพักผ่อน จากนั้นก็พูดกับพวกเขาสามคนเบาๆ “พรุ่งนี้พวกเด็กๆ ไปฉลองที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ย้ายเรือน พวกเราก็มาทานข้าวที่นี่เช้าหน่อย เรามาเล่นไพ่กัน”
คุณชายสามและฮูหยินสามตอบรับ
เห็นว่าดึกแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไป
*****
เช้าของวันต่อมา สืออีเหนียงไปตรวจดูที่เรือนทางทิศตะวันออก เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ข้าวของต่างๆ ก็ถูกเช็ดทำความสะอาดอย่างสะอาดสะอ้าน นางจึงไปคารวะไท่ฮูหยินและไปรับเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์สวมเสื้อคลุมหนังกระรอกสีขาวพระจันทร์ สวมกระโปรงสีฟ้า สวมเครื่องประดับดอกเบญจมาศที่สืออีเหนียงมอบให้ ก้มหัวให้ไท่ฮูหยินสามครั้งด้วยความเคารพ
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็น้ำตาคลอเบ้า
“ลุกขึ้นเร็ว ลุกขึ้น!” ทันทีที่พูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมา
สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ไท่ฮูหยินเช็ดน้ำตา “ยังอยู่ในจวนเดียวกัน นางมาคารวะท่านกับข้าทุกวัน ยามว่างก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านได้เหมือนเดิมเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้” ไท่ฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้ามาจากสืออีเหนียง “ตัวเล็กขนาดนั้น” นางพูดพร้อมกับทำมือ “โตขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องห่างจากข้า…”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ร้องไห้
สืออีเหนียงก็รู้สึกเสียใจไปด้วย ราวกับว่าตัวเองกลายเป็นฆาตกรที่บังคับให้พวกนาต้องพรากจากกัน นางก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้า
“อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้” ไท่ฮูหยินรีบกอดเจินเจี่ยเอ๋อร์มาเช็ดน้ำตา “ไปแล้วต้องเชื่อฟังท่านแม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ แม่นมของจุนเกอก็พาเขามาคารวะไท่ฮูหยิน เห็นบรรยากาศเช่นนี้เขาก็ร้องไห้ตาม ทันใดนั้น ในห้องก็มีแต่เสียงร้องไห้
สืออีเหนียงรีบเข้าไปปลอบจุนเกอ
ไท่ฮูหยินระงับความเสียใจได้แล้ว บอกให้สืออีเหนียงอุ้มจุนเกอไป “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าอย่าร้องไห้ พี่หญิงจะไปอยู่ที่เรือนของท่านแม่แล้ว เจ้าต้องไปส่งพี่หญิงอย่างมีความสุข” แต่ไม่ว่าจะพูดเช่นไร จุนเกอก็ไม่หยุดร้อง
“จุนเกอ จะไปส่งพี่หญิงหรือไม่” สืออีเหนียงพูด “วันนี้เราจะตกแต่งเรือนให้พี่หญิง เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่”
จุนเกอพยักหน้าซ้ำๆ แล้วมองไท่ฮูหยินทั้งน้ำตา
ไท่ฮูหยินลูบหัวจุนเกอแล้วบอกป้าตู้ “เจ้าพาเขาไปเถิด!” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ประเดี๋ยวเจ้าก็ไม่ต้องมาแล้ว”
ป้าตู่ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” บอกลาไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์อย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็ไปที่ห้องของเจินเจียเอ๋อร์
ข้าวของของเจินเจี่ยเอ๋อร์เตรียมพร้อมหมดแล้ว เสี่ยวหลีและเสี่ยวเชวี่ยสาวใช้สองคน รวมทั้งสาวใช้ระดับสองระดับสามและท่านป้าต่างพากันรออยู่แล้ว เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา พวกนางก็ย่อเข่าคำนับพร้อมกัน เจินเจี่ยเอ๋อร์บอกให้ป้าหู ผู้ที่เป็นแม่นมของตัวเองและสาวใช้ที่มีหน้ามีตาสองสามคนเข้าไปคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้ม แต่ในใจกลับแอบนับจำนวนคน
แม่นมหนึ่งคน สาวใช้ใหญ่สองคน สาวใช้ระดับสองสองคน สาวใช้ระดับสามสี่คน สาวใช้น้อยสี่คน ท่านป้าสองคน…คนเยอะจริงๆ ไปเบียดกันอยู่ที่เรือนของนางชั่วคราวไม่มีปัญหาอะไร แต่หากโตกันแล้วมันคงจะไม่สะดวก ต้องคิดหาทางให้นางแยกออกไปอยู่ที่เรือนในสวนหลังจวนเร็วๆ
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอไปที่เรือนของตัวเองกับป้าตู้
จากระยะไกล นางเห็นคนที่หน้าตาเหมือนชิวหง สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงโผล่หัวออกมาดูที่ประตู เห็นพวกนางมาแล้ว นางก็หันหลังวิ่งออกไปทันที
สืออีเหนียงยิ้ม
เหวินอี๋เหนียงยังคงเป็นห่วงบุตรสาวของตัวเอง!
เมื่อเข้ามาในประตู หู่พั่วที่รออยู่ที่ประตูก็ขยิบตาให้สืออีเหนียง จากนั้นก็พาคนรับใช้ย่อเข่าคำนับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินเข้ามาแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ “บ่าวมีชื่อว่าหู่พั่ว เป็นสาวใช้ของฮูหยินสี่ คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกับย่อเขาลง
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง รับคารวะนางแล้วพูดว่า “พี่หู่พั่วลุกขึ้นเถิด ต่อไปอยู่ด้วยกัน พี่หู่พั่วได้โปรดชี้แนะด้วย”
หู่พั่วรีบพูด “คุณหนูใหญ่พูดเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ให้เสี่ยวหลีสาวใช้คนสนิทของตัวเองมอบเหรียญสลึงให้หู่พั่วเป็นของรางวัล “ให้พี่หญิงนำไปซื้อปิ่นปักผมดอกไม้เจ้าค่ะ” จากนั้นก็แนะนำป้าหู เสี่ยวหลีและเสี่ยวเชวี่ย สาวใช้คนสนิทของตัวเองให้นางรู้จัก
หูพั่วรับมาด้วยท่าทางยินดี คำนับขอบคุณเจินเจี่ยเอ๋อร์ แล้วแนะนำป้าเถา ตงชิง ปินจวี๋ จู๋เซียงและคนอื่นๆ เช่นกัน
เจินเจี่ยเอ๋อร์มอบรางวัลให้ จากนั้นก็ไปที่เรือนหลักของตัวเองกับสืออีเหนียง
หู่พั่ว ป้าเถา ป้าหู ตงชิงและปินจวี๋อยู่ช่วยเสี่ยวเชวี่ยและคนอื่นจัดกล่องข้าวของที่เจินเจี่ยเอ๋อร์นำมาด้วย สืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งบนเตียงเตาในห้องปีกทางทิศตะวันตก ปล่อยให้จุนเกอนั่งเล่นบนเตียง บอกให้สาวใช้นำเก้าอี้มาให้ป้าตู้นั่ง ยกชาและขนมเข้ามา สืออีเหนียงแนะนำสถานการณ์ที่นี่ของตัวเองให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ฟัง อย่างเช่น มีสาวใช้กี่คน พวกนางชื่ออะไร มีหน้าที่อะไร ตัวเองตื่นนอนยามใด ไปคารวะไท่ฮูหยินยามใด นอนกลางวันยามใด…เจินเจี่ยเอ๋อร์ฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็แนะนำคนของตัวเอง สืออีเหนียงถามถึงเรื่องชีวิตประจำวันของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เห็นว่าพวกนางใช้ชีวิตค่อนข้างเหมือนกัน นางจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องปรับตัวใหม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างแผ่วเบา เสี่ยวเชวี่ยก็เข้ามารายงาน “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ จัดของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับมือจุนเกอ “เราไปดูเรือนใหม่ของพี่หญิงกัน”
จุนเกอที่อยู่ข้างๆ นั้นเริ่มเบื่อหน่ายตั้งนานแล้ว เขาจึงรีบตะโกนตอบรับแล้วจับมือสืออีเหนียงไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกทันที
ห้องโถงกลางมีภาพลูกไก่และดอกโบตั๋น บนโต๊ะยาวมีกระถางดอกไม้ลายคราม บนเก้าอี้ไท่ซือสีดำมีเบาะรองนั่งสีฟ้า มุมผนังยังมีต้นบ๊วยเดือนสิบสองที่สูงเทียบเท่าคน
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองด้วยสายตาที่เป็นประกาย นางเดินเข้าไปจับกลีบดอกสีเหลืองของต้นบ๊วยเดือนสิบสอง
“เรือนของพี่หญิงสวยมากเลย” จุนเกอตะโกนแล้วผลักประตูห้องทางทิศเหนือให้เปิดออก วิ่งเข้าไปในห้องข้างใน “พี่หญิง มาดูนี่เร็ว เตียงของท่านอยู่ตรงนี้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่มึนงง จากนั้นก็รีบเดินเข้าไป
มีเตียงเล็กๆ หนึ่งเตียงที่เหมือนกับเตียงในเรือนหน่วนเก๋อของนาง
นางน้ำตาคอลเบ้า ยิ้มแล้วมองมาที่สืออีเหนียง “ท่านแม่…”
สืออีเหนียงจับมือนางเดินเข้าไปยังห้องข้างใน “ข้าเห็นว่าเตียงของเจ้าช่างสวยงาม หาดูในห้องเก็บของ แล้วเจอเตียงที่เหมือนกัน” จากนั้นก็ชี้ไปที่กั้นเตียง “เตียงนั้นของเจ้าคือภาพห้าแพะก่อเกษม แต่เตียงนี้คือภาพเทพธิดาหม่ากู่[1]”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า แต่น้ำตาของนางกลับรินไหลออกมาไม่หยุด
สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้นาง “อย่าร้องไห้ วันนี้ต้องเป็นวันที่มีความสุข”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาด้วยความเขินอาย
สืออีเหนียงถามจุนเกอ “เจ้าดูสิว่าห้องของพี่หญิงยังขาดสิ่งใดอีก”
จุนเกอมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ชี้ไปที่หน้าต่างของห้องข้างใน “ตรงนั้นต้องมีชามสังคโลก เอาไว้วางส้ม แอปเปิ้ล แล้วก็เกาลัด…”
สืออีเหนียงหัวเราะ “จุนเกอของเราช่างเก่งจริงๆ”
ป้าตู้และเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็หัวเราะเหมือนกัน
บรรยากาศในห้องช่างอบอุ่นดูสวยงาม
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
พึ่งจะคารวะไปตอนเช้า ยังมาคารวะอีกตอนนี้…
สืออีเหนียงนึกถึงคนที่เหมือนชิวหงคนนั้น นางยิ้มอย่างแผ่วเบา “เชิญอี๋เหนียงทั้งสองเข้ามาเถิด! คุณหนูใหญ่ก็อยู่ที่นี่ จะไปคารวะพวกนางด้วย”
สาวใช้ตอบรับแล้วเดินออกไป
ป้าตู้รีบไปอุ้มจุนเกอ สีหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์สับสน
ผ่านไปไม่นาน ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็เข้ามา
พวกนางสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้า ส่วนอีกคนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียว
หลังจากคำนับสืออีเหนียงแล้ว สืออีเหนียงก็แนะนำพวกนางให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “คนที่สวมชุดสีฟ้าคือฉินอี๋เหนียง คนที่สวมชุดสีเขียวคือเหวินอี๋เหนียง” จากนั้นก็ชี้ไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ “นี่คือคุณหนูใหญ่ของเรา”
พวกนางย่อเข่าคำนับ เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ บอกให้เสี่ยวหลีมอบเหรียญแปดสลึงให้พวกนาง
ฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วขอบพระคุณ แต่สายตาของเหวินอี๋เหนียงกลับจับจ้องอยู่แต่บนใบหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่สักพัก จากนั้นนางถึงได้รับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ
พวกนางสองคนคำนับจุนเกอและทักทายป้าตู้ สืออีเหนียงจึงพูดว่า “อี๋เหนียงทั้งสองมีเรื่องอันใดหรือ”
——————
[1]เทพธิดาหม่ากู่ เป็นชื่อเทพธิดาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดองค์หนึ่งของจีน ภาพลักษณ์ของนางเป็นเทพธิดาผู้เลอโฉม ที่คงความงามและสดสวยอยู่ตลอดกาล