“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร เข็มเล็กๆ เล่มเดียวจะฆ่าคนได้ในระยะไกลปานนั้น จวินมั่ว เจ้าทำได้หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วคมเข้มลึกล้ำราวกับท้องทะเล “ไม่มีใครสามารถทำได้ หากว่ามีก็คงเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง และหากมีจริงแล้วล่ะก็ เพราะเหตุใดจึงต้องสังหารหวังเฉิงเอิน” ท่านนี้คงเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ แล้วไยต้องบุกสังหารหวังเฉิงเอินยามกลางดึกเช่นนั้น
เห็นท่าทางครุ่นคิดของเขา จู่ๆ ชายหนุ่มจึงหัวเราะขึ้นมา “นานๆ ครั้งจะได้เห็นเจ้าพูดมากเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะสนใจมือสังหารผู้นี้เป็นอย่างมาก ดีเลย ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครกันที่กล้ามาแย่งงานของข้าลิ่นฉังเฟิง”
“ระวังด้วย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเตือน อย่างน้อยด้านความฉลาดลิ่นฉังเฟิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ดูได้จากการไม่เลือกปฏิบัตินี้ก็รู้แล้ว
แม้จะเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสื่อออกมา เดิมคุณชายฉังเฟิงที่ดูตื่นเต้น ตอนนี้สีหน้าราวกับกลืนแมลงวันลงไป “เว่ยจวินมั่ว เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย”
“เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน” เว่ยจวินมั่วบอกเสียงเรียบ คุณชายฉังเฟิงเป็นใบ้ขึ้นมาทันที คนที่เอาชนะคนอื่นไม่ได้ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้อง
“จะว่าไป คนผู้นี้ก็ช่วยเราได้มากทีเดียวใช่หรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วถาม
ตอบรับแบบเงียบๆ เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเอ่ย “ข้าติดหนี้เขาแล้ว”
ลิ่นฉังเฟิงแปลกใจ “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านจะใช้หนี้นี้เยี่ยงไร”
“ข้าเผาหลักฐานในที่เกิดเหตุทิ้งหมดแล้ว” คุณชายเว่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับบอกว่า “ข้ากินอิ่มแล้ว”
“ดังนั้น ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองตานหยางต่างก็รับรู้แล้วว่าหวังเฉิงเอินตายแล้วเช่นนั้นหรือ” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยถามอย่างบ้าคลั่ง อีกอย่าง เจ้าชดใช้คืนแบบนี้ คนถูกชดใช้เขาเต็มใจหรือเปล่า
เว่ยจวินมั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ยขึ้นว่า “ยังมิใช่ น่าจะมีเพียงครึ่งเมืองตานหยางที่รู้”
“…”
ไม่สนใจการโวยวายของคุณชายฉังเฟิง เว่ยจวินมั่วมองเข็มปักผ้าในมือ เห็นท่าทางจริงจังของเขา ลิ่นฉังเฟิงเบ้ปากอย่างยังเคืองๆ “เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญสามารถซื้อเข็มได้ตั้งเจ็ดแปดเล่ม ที่เจ้าเอาแต่เพ่งมองอยู่นี่ เห็นดอกไม้ออกมาสักดอกได้หรือไม่อย่างไรกัน”
“ข้ารู้สึกว่า อาวุธประเภทนี้ ไม่เหมือนอาวุธที่ผู้ชายใช้” เว่ยจวินมั่วตอบเสียงเรียบ
สิ่งนี้…พลันรู้สึกว่าเจ้านี่ก็กล่าวออกมาได้อย่างมีเหตุมีผลทีเดียว ทำอย่างไรดี
ส่วนผู้ที่ลงมือนั้น ยามนี้ไม่ได้รับรู้ถึงความประหลาดใจของผู้มาทีหลังแต่อย่างใด หนานกงมั่วกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่บ้านหลังเก่าๆ ในเมือง ตรงหน้ามีชายชรานั่งอยู่ ชายชราร่างผอมซึ่งในเวลานี้เขากำลังถือถุงผ้าสีดำอยู่ในมือ ยิ้มออกมา ทว่าน้ำตาที่เปื้อนเศษดินได้ไหลอาบแก้มไปแล้ว ห้องโถงตรงกลางมีป้ายบรรพบุรุษใหม่สามแผ่น
มองหญิงสาวที่สวมชุดดำและยังคลุมพรางใบหน้าเอาไว้ ความยินดีของชายชราในที่สุดก็พอจะควบคุมไว้ได้แล้ว เขาเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมาก…ขอบคุณแม่นางที่ช่วยแก้แค้นแทนบุตรสาวและภรรยาของข้า แม่นางได้โปรดรับการคำนับจากข้า” วางถุงไว้ด้านข้าง ชายชราลุกขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นระริก กำลังจะคุกเข่าลง หนานกงมั่วยื่นมือไปประคองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “รับเงินมาจึงได้ช่วยกำจัดคน ท่านตาไม่ต้องทำเช่นนี้”
“ไม่ได้ ข้าขอบคุณแม่นางมาก สามพันตำลึงข้าได้เตรียมไว้ให้แล้ว ขอบคุณแม่นาง” หนึ่งปีที่แล้วบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขาถูกหวังเฉิงเอินกระทำย่ำยี นางจึงแขวนคอตาย ส่วนบุตรชายก็ถูกทำร้ายจนตายเพราะต้องการไปแก้แค้น เพราะบุตรสาวโชคร้าย ภรรยาของเขาจึงป่วยอาการทรุดหนัก ไม่ถึงครึ่งเดือนก็จากไป แม้ว่าเขาจะพอมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยทว่ากลับไม่มีที่พึ่ง แม้อยากจะหานักฆ่า แต่คนเหล่านั้นไหนเลยคนธรรมดาอย่างเขาจะเข้าถึงได้ ในยามที่เขากำลังท้อแท้และสิ้นหวังอยู่นั้น แม่นางชุดดำผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้น รับปากช่วยเขาแก้แค้น สามพันตำลึงแม้จะมากมายสำหรับครอบครัวของเขา แต่เพื่อแก้แค้นคนที่ทำลายครอบครัวของเขา ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างมันก็คุ้มค่าแล้ว
มองชายชราที่น้ำตานองอยู่ตรงหน้า หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ท่านตาจัดการพวกนี้ให้เรียบร้อยเถิด ไปจากเมืองตานหยางเพื่อมีชีวิตที่ดีเถิด”
“ข้าเข้าใจดี ข้าได้ปราบโจรชั่วช้าให้กลายเป็นเถ้าถ่าน! ให้ผู้คนเหยียบย่ำตลอดไป!” ชายชรากัดฟันเอ่ย
เพราะเข้าใจความแค้นของชายชราที่สูญเสียครอบครัวไปหมด หนานกงมั่วจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงหยิบเงินตราที่เป็นของตนเองแล้วลุกขึ้น “ตอนนี้ในเมืองเข้มงวด ท่านตาต้องระมัดระวัง ข้าต้องลาแล้ว”
สุดท้ายหันมองชายชราเล็กน้อย หนานกงมั่วก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ พึ่งก้าวออกมาจากห้องโถงก็ได้ยินเสียงแหบแห้งดังออกมาด้วยความเจ็บปวด “บุตรสาว บุตรชาย ภรรยาของข้า…ในที่สุดข้าก็ได้แก้แค้นให้พวกเจ้าแล้ว…แม้นต้องตาย ข้าก็มีหน้าไปเจอกับพวกเจ้าแล้ว ข้ามันไร้ความสามารถ…” เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดดังออกมาไม่หยุด หนานกงมั่วแหงนขึ้นไปมองพระจันทร์บนฟ้า ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางเองก็ไม่สามารถหนีออกจากความทุกข์ทรมานภายใต้ผืนฟ้านี้ได้เช่นกัน
พอรุ่งสาง หนานกงมั่วเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เวลาเช้า ด้านล่างมีเพียงไม่กี่คนกำลังทานอาหารเช้าอยู่ เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วเดินลงมา เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมก็รีบยิ้มต้อนรับ “แม่นางมั่ว วันนี้มีกำหนดการเช่นไรบ้าง”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ซื้อของเล็กน้อยก็เตรียมกลับแล้วล่ะ”
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมถอนหายใจ “วันนี้เกรงว่าแม่นางจะออกจากเมืองไม่ได้แล้ว อยู่พักในเมืองอีกสักสองวันเถิด”
“ทำไมหรือ” หนานกงมั่วมองเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมด้วยสายตางุนงง เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกล่าวว่า “ปีนี้ไม่รู้ทำไม เมื่อวานได้ข่าวชนชั้นสูงถูกทำร้ายแล้ว เมื่อคืนน้องชายของชายารองในองค์รัชทายาท นายอำเภอจางโจวจากตระกูลจางถูกฆ่าตาย ได้ยินมาว่าไม่เพียงถูกตัดหัว แม้แต่ร่างกายก็ถูกเผาจนสิ้น เช้าวันนี้เส้นทางทั้งในเมืองนอกเมืองล้วนถูกปิดหมด เกรงว่า…คงต้องรอจนจับคนร้ายได้เลยน่ะสิ”
หนานกงมั่วมองต่ำ ยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…หากเป็นเช่นนี้อยู่ต่ออีกสักวันสองวันคงไม่เป็นไร เพียงแต่…ไม่รู้ว่าในเมืองนี้จะปลอดภัยหรือไม่”
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมส่ายหน้า “เป็นเช่นนั้น เพียงแต่…เรื่องของชนชั้นสูง คงไม่เกี่ยวพันมาถึงชาวเมืองตัวเล็กๆ อย่างเราหรอกใช่หรือไม่”
“เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมพูดถูกต้องแล้ว” หนานกงมั่วตอบ
“ไม่รบกวนเวลาอาหารเช้าของแม่นางแล้ว ในเมื่อแม่นางยังไม่กลับ ไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย ช่วงเดือนสามแบบนี้ของทุกปีเป็นช่วงเวลาที่ครึกครื้นที่สุดแล้ว” เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมบอกยิ้มๆ
หนานกงมั่วพยักหน้าตอบ “เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมชักชวนได้ดี ข้าเองก็นึกอยากซื้อสมุนไพรบ้าง งั้นออกไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมยิ้มแล้วเดินไปสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมอาหารเช้าให้หนานกงมั่ว หนานกงมั่วมองสอดส่องไปทั่วห้องโถง เมื่อเดินมาถึงมุมมุมหนึ่งแล้วก็หย่อนกายนั่งลง แม้สีหน้ายังคงเรียบนิ่งราวกับผืนน้ำ ทว่าในใจกลับกำลังทบทวนถึงเรื่องราวเมื่อคืน ก่อนหนีไปเมื่อคืนนางมั่นใจว่าไม่มีร่องรอยของการเกิดไฟไหม้ได้อย่างแน่นอน ต่อมามีคนเผา…บ่าวคนนั้นหรือ ส่ายหน้าอยู่ในใจ ไม่ บ่าวรับใช้คนนั้นไม่มีทางตื่นก่อนถึงเช้าแน่ เยี่ยงนี้แล้ว เมื่อคืนหลังจากที่นางจากไปแล้วมีคนขึ้นไปเผาอีกอย่างนั้นหรือ คนผู้นี้ เพียงแค่อยากช่วยนางหรือมีแผนการอื่นใดอีก