“เช่นนั้นอย่าพึ่งรีบปฏิเสธข้าล่ะ นอกจากนี้ อู๋สยาเรียกข้าว่าจวินมั่วหรือชิงสิงก็ได้” เว่ยจวินมั่วบอก
“ได้สิ จวินมั่ว” หนานกงมั่วประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของเว่ยจวินมั่ว ความจริงนางเองก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธเว่ยจวินมั่ว อย่างไรนางก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มาห้าหกปีได้แล้ว แม้จะมีท่านอาจารย์และอาจารย์อาเป็นญาติสนิท แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว กับคนอื่นๆ นั้นนับว่ายังมีความห่างเหินอยู่มากทีเดียว หากบอกว่านางจงใจปฏิเสธเว่ยจวินมั่ว มิสู้บอกว่านางปฏิเสธความสัมพันธ์อื่นๆ ที่นอกจากญาติสนิทของนาง อย่างเช่นพี่น้อง พ่อแม่ อีกทั้งการแต่งงานไม่ดีกว่าหรือ
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า ขณะกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบคว้าตัวหนานกงมั่วจับเข้าไปหลบที่ข้างต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน เว่ยจวินมั่วได้ยินเสียง แน่นอนว่าหนานกงมั่วเองก็รับรู้ได้ เพียงแต่การกระทำของเว่ยจวินมั่วเร็วกว่านางอยู่เล็กน้อยเท่านั้น หนานกงมั่วกักเก็บความรู้สึกที่อยากผลักเขาออกไป เมื่อได้สติก็พบว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจวินมั่วที่พามาหลบอยู่ภายใต้ความเขียวชอุ่มของใบไม้แล้ว
ไม่นาน บนทางเดินไม่ไกลออกไปมากนัก มีเสียงฝีเท้าเดินตามกันมาสองคน สตรีผู้ที่เดินนำหน้านั้นท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเครียดตึง ชายชุดขาวด้านหลังตามมาอย่างรวดเร็ว หนานกงมั่วอยากมองคนมาใหม่ ทว่าถูกเว่ยจวินมั่วกอดเอาไว้แน่น หันไปมองด้วยท่าทีไม่พอใจ ลมหายใจที่รินรดอยู่บริเวณลำคอทำให้นางขยับตัวเก้ๆ กังๆ อยู่เล็กน้อย
ริมฝีปากของเว่ยจวินมั่วขยับเป็นคำพูดโดยไร้เสียง หนานกงมั่วสังเกตจากริมฝีปากของเขา สิ่งที่เว่ยจวินมั่วบอกก็คือ เซียวเชียนเยี่ย
เซียวเชียนเยี่ยอย่างนั้นหรือ
เซียวเชียนเยี่ยไม่ได้รักหวานชื่นอยู่กับหนานกงซูอยู่หรอกหรือ แม้หนานกงมั่วจะคิดว่าความรักนั้นมันออกจะดูหวานชื่นเกินไปอยู่บ้าง และในยามนี้เซียวเชียนเยี่ยยังมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับสตรีอื่นอีก คนผู้นี้ไม่เพียงเป็นคนไม่ดี ทว่าสติปัญญายังไม่ดีอีกด้วย
ไม่สนใจว่าเว่ยจวินมั่วจะยึดเอาไว้ มือเล็กของหนานกงมั่วค่อยๆ แหวกกิ่งไม้ออกเล็กน้อย พอดีกับที่เห็นสองคนที่สาวเท้าเดินมาทางนี้อย่างรวดเร็ว หญิงที่เดินนำอยู่ตรงหน้ากลับทำให้หนานกงมั่วต้องตกใจ หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหญิงสาวที่หนานกงมั่วพึ่งได้สนทนาด้วยไปอย่างคุณหนูสามแห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยเพ่ยหวนนั่นเอง ใบหน้าสะสวยของเซี่ยเพ่ยหวนเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่เหมือนคู่รักมานัดหมายกันเลยสักนิด หากกล่าวว่าทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนกันคงจะดีกว่ากล่าวว่านางดูต้องการจะกำจัดคนที่อยู่ด้านหลังตัวเอง
“คุณหนูเซี่ยไม่คุ้นชินต่อเส้นทางในพระราชวัง ไยต้องดึงดัน” ที่ด้านหลัง เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา
ใบหน้าของเซี่ยเพ่ยหวนยังคงนิ่งเรียบ เงยหน้ามองเส้นทางไม่คุ้นเคยโดยไม่เอ่ยสิ่งใด เนิ่นนานก่อนที่รอยยิ้มเย็นจะปรากฏขึ้น “เย่ว์จวิ้นอ๋องมีภาระมากมาย เซี่ยสามคงมิกล้ารบกวนหรอกเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ความจริงใจของข้า เหตุใดคุณหนูเซี่ยจึงต้องผลักไส ทำราวกับข้าเป็นเสือสิงห์ ตัวข้าคิดว่ายังมิเคยทำสิ่งใดเพื่อจู่โจมเข้าหาคุณหนูเซี่ยเลย” เซี่ยเพ่ยหวนส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ เอ่ยเสียงเย็น “เซี่ยสามไม่รู้ว่าจวิ้นอ๋องนั้นรู้จักกับพี่รองของข้าเมื่อใด เย่ว์จวิ้นอ๋องนั้นสง่างามโดดเด่น หญิงทั่วเมืองจินหลิงต่างยอมถวายตัวแก่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรด…ปล่อยเซี่ยสามไปเถิด”
ใบหน้าเย่ว์จวิ้นอ๋องเข้มขึ้น เขาไล่ตามเซี่ยเพ่ยหวนอย่างจริงใจ ไม่ว่าเซี่ยเพ่ยหวนจะหลบหลีกจากเขาเพียงใด ยามนี้แม้กระทั่งบอกให้ปล่อยก็ยังกล้าเอ่ยวาจาออกมา ประหนึ่งเขาเป็นคนพาลที่น่ารังเกียจ ท่าทางเช่นนี้ จะให้เซียวเชียนเยี่ยที่มีคุณหนูจากตระกูลดังมากมายรายล้อมทนได้อย่างไร หากเมื่อก่อนการตามเกี้ยวเซี่ยเพ่ยหวนเป็นเพียงเพราะใบหน้างดงามและอำนาจจากตระกูลเซี่ย ครั้งนี้ยิ่งทำให้ความปรารถนาเพิ่มขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจเพียงเพราะคำปฏิเสธจากเซี่ยเพ่ยหวน
เลิกคิ้วขึ้น เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยตอบ “คุณหนูเซี่ย เจ้าว่า…หากยามนี้มีคนเห็นว่าเราอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้จะเป็นเช่นไร”
ทว่าเซี่ยเพ่ยหวนกลับไม่ใส่ใจการข่มขู่จากเขา เอ่ยเสียงเรียบ “เซี่ยเพ่ยหวนจะออกปฏิบัติธรรมไปชั่วชีวิต”
“เจ้า” สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเปลี่ยนไป ไม่นานก็เก็บความโกรธของตนเองเอาไว้ได้ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเพียงหยอกล้อเจ้าเพียงเท่านั้น คุณหนูสามอย่าได้ใส่ใจ เพียงแต่ ข้าอยากสู่ขอคุณหนูเซี่ยด้วยความจริงใจ”
“เย่ว์จวิ้นอ๋องอยากแต่งกับพี่รองของข้า ก็ไปขอกับท่านพ่อท่านแม่ก็พอ ไยต้องมาพร่ำบอกกับข้าให้มากความ” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงเรียบ เซียวเชียนเยี่ยตอบ “คุณหนูสามล้อข้าเล่นแล้ว ผู้ที่ข้าอยากแต่งด้วยนั้นคือคุณหนูสาม”
เซี่ยเพ่ยหวนหันมา เลิกคิ้วเอ่ย “หา? หากเป็นเช่นนี้ เย่ว์จวิ้นอ๋องคิดจะอธิบายต่อพี่รองของข้าเช่นไรงั้นหรือ นางช่วยจวิ้นอ๋องหลอกล่อข้าออกมา จวิ้นอ๋องรู้หรือไม่ นางกลับไปนางต้องถูกลงโทษ หรือจะบอกว่า ท่านอ๋องต้องการจะรื้อสะพานข้ามแม่น้ำ ดูเหมือนว่าครั้งนี้พี่รองของข้าจะดูคนผิดไปเสียแล้ว”
ใบหน้าเซียวเชียนเยี่ยปรากฏแววเครียดขึ้ง เขารู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเพ่ยหวนนั้นรับมือได้ยาก แต่ไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะไม่ใส่ใจกับสิ่งใดเลย หากไม่ใช่เพราะเซี่ยเพ่ยหวนเอาแต่หลีกเลี่ยงเขาทุกครั้งที่เข้าหา เขาคงไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากคุณหนูรองตระกูลเซี่ย ทำให้ตอนนี้เซี่ยสามนำมันมาเป็นข้อสงสัยในแง่คุณสมบัติของตัวเขาได้
หากหนานกงมั่วรู้ความคิดของเซียวเชียนเยี่ยละก็ คงจะบอกเขาเป็นแน่ว่าในสายตาของเซี่ยเพ่ยหวน คนที่เหยียบเรือหลายแคมเช่นเซียวเชียนเยี่ยนั้นไร้คุณสมบัติที่ดีใดๆ ในสายตาของนางด้วยซ้ำ
“คุณหนูสาม…เจ้าคงเข้าใจข้าผิดแล้ว” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยอย่างลำบาก เขาเป็นหลานของฮ่องเต้ เคยอ้อนวอนสตรีที่ไหน มีบุตรสาวตระกูลใดที่เขาเรียกแล้วไม่วิ่งเข้าหาบ้าง แม้กระทั่งตระกูลหนานกงที่เป็นตระกูลก่อตั้งราชวงศ์ที่ท่านปู่ไว้ใจ เขาเพียงส่งกระดิกนิ้วเบาๆ หนานกงซูก็ส่งตัวเองมาถึงหน้าห้อง เซี่ยเพ่ยหวนผู้นี้ หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของตระกูลเซี่ย เขาจะยอมเสียเวลาถึงเพียงนี้หรือ
เซี่ยเพ่ยหวนก้มหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “หากเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่มีธุระอื่นใดแล้ว เซี่ยสามก็ขอทูลลาแล้วเพคะ”
“คุณหนูเซี่ยจะรีบไปไยเล่า”
“แล้วจวิ้นอ๋องต้องการเช่นไร” เซี่ยเพ่ยหวนเงยหน้าขึ้น มองชายรูปงามตรงหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “กฏของตระกูลเซี่ยนั้นเข้มงวด หรือจวิ้นอ๋องคิดว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นเซี่ยสามก็จำต้องแต่งกับพระองค์อย่างแน่นอน หากจวิ้นอ๋องคิดเช่นนั้น อยากลองดูก็ย่อมได้ ดูว่าตระกูลเซี่ยจะส่งเซี่ยสามไปยังจวนจวิ้นอ๋อง หรือส่งป้ายวิญญาณของเซี่ยสามไปแทนกันแน่”
คิดว่านางมองแผนการของเซียวเชียนเยี่ยไม่ออกหรือ เพียงน่าเสียดายที่เขาคิดผิดแล้ว ตระกูลเซี่ยไม่คิดเข้าร่วมสงครามระหว่างราชวงศ์ ถึงแม้นางจะหน้ามืดตามัวไปหลงใหลในตัวเซียวเชียนเยี่ย หากไม่ถูกส่งไปที่วัดก็คงได้ส่งป้ายวิญญาณให้เซียวเชียนเยี่ยเป็นแน่ คงเป็นหวงจั่งซุนมานานล่ะสิจึงคิดว่าสตรีทั้งหลายต่างหลงใหลในตัวเขาอย่างนั้นหรือ
“หากจวิ้นอ๋องมีความคิดเช่นนี้ มิสู้ทำตัวดีๆ ต่อหน้าฝ่าบาทและรัชทายาทบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ เซี่ยสามขอจบไว้เพียงเท่านี้ ขอเย่ว์จวิ้นอ๋องได้โปรดเคารพตนเองด้วย” เซี่ยเพ่ยหวนพูดจบ มองไปรอบๆ เดินไปตามทางที่จำได้ ไม่สนว่าเยี่ยนอ๋องที่ยืนอยู่ด้านหลังมีท่าทีเช่นไร
มองเซี่ยเพ่ยหวนที่เดินห่างไกลออกไป ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยก็กลับมาสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม ขมวดคิ้วหัวเราะเบาๆ พึมพำ “เซี่ยเพ่ยหวนงั้นหรือ…น่าสนใจ”
เมื่อร่างของเซียวเชียนเยี่ยลับหายไปได้สักพักแล้ว เว่ยจวินมั่วจึงคว้าเอวหนานกงมั่วและพาลงมาจากต้นไม้ หนานกงมั่วนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาของเซียวเชียนเยี่ยและเซี่ยเพ่ยหวน จึงไม่ทันสังเกตว่าใครอีกคนยังคงโอบรอบเอวของตนอยู่ เพียงเอ่ยเสียงเบา “เซียวเชียนเยี่ย…หวงจั่งซุนผู้นี้…” หวงจั่งซุนผู้นี้ช่างไม่มีความหนักแน่นเสียเลย พึ่งจะล่อลวงบุตรีตระกูลหนานกงได้ ยังจะมาล่อลวงบุตรีตระกูลเซี่ยอีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่จวนของเขาเองยังมีชายาอยู่แล้ว เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสตรีทั่วเมืองจินหลิงจะยินยอมเป็นชายารองของเรา ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้จะมีหญิงสาวมากมายหลงใหลในตัวเขาก็จริง หากชายาเอกและชายารองมาจากตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงกัน วังหลังของเขาจะสงบจริงๆ น่ะหรือ