เห็นท่าทางถอนหายใจของหนานกงซู หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนสบตากันยิ้มๆ เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ในที่สุดก็มาถึง ข้าต้องขอตัวกลับแล้ว หากเจ้าเก็บของเรียบร้อยแล้วอย่าลืมมาเล่นที่จวนตระกูลเซี่ยเล่า ให้ท่านยายข้าได้เห็นเจ้าบ้าง”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจเถิด”
“แน่นอนว่าข้านั้นวางใจ แต่เจ้าต่างหาก ต้องระวังตัว” เซี่ยเพ่ยหวนปิดปากยิ้ม มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นว่าคนของตระกูลเซี่ยมารอรับอยู่แล้ว
หนานกงมั่วโน้มตัวออกไปด้านนอก มองเห็นเมืองจินหลิงที่ตระการตาอยู่ตรงหน้า ในสมัยโบราณเมืองจินหลิงถูกเรียกว่าเจี้ยนเยี่ย หรือเรียกอีกอย่างว่าอิงเทียน เป็นเมืองโบราณที่มีมาช้านาน เป็นศูนย์กลางที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดตั้งแต่ยุคอดีตเป็นต้นมา ครั้งนี้ยังเป็นอีกครั้งที่ราชวงศ์เลือกจินหลิงเป็นเมืองหลวง พอดีกับคำกล่าวนั้น จินหลิงมีกลิ่นอายของฮ่องเต้ บริเวณด้านนอกล้อมรอบเมืองจินหลิงนั้นเป็นกำแพงเมืองหลวง พระราชวังในใจกลางเมืองยังเป็นพระราชวังของราชวงศ์ก่อนหน้าอีกด้วย หลังจากการขึ้นครองราชย์ก็มีการต่อเติมจากโครงสร้างเดิมที่มี ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมืองจินหลิงก็ยังคงดูงดงามโอ่อ่า มีพื้นที่กว้างขวาง ไม่เพียงแค่ความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ ยังมีความสวยงามของเจียงหนานอีกด้วย จัดว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของพื้นที่ราบ
แม้จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทว่ากลับยังไม่สามารถเข้าเมืองได้ในทันที หน้าประตูมีคนของฝ่าบาทมารอต้อนรับหวงจั่งซุนที่กลับจากพิธีไหว้บรรพบุรุษ แน่นอนว่าคนอื่นๆ จะต้องรอขบวนของหวงจั่งซุนและผู้ที่มารอรับเข้าไปก่อนจึงจะเข้าได้ หนานกงมั่วเองก็ไม่รีบร้อน นั่งอยู่ในรถม้า เปิดม่านหน้าต่างชมความงดงามโอ่อ่าของเมืองหลวงฆ่าเวลาไปพลางๆ
หนานกงซูนั่งอยู่อีกฝั่ง ดวงตาฉายแววไม่พอใจ ความไม่พอใจต่อหนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนตลอดหลายวันมานี้ได้ล้นทะลักออกมา ป้องปากเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ “พี่สาว ท่านเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกง ท่าทางตื่นเต้นราวกับไม่เคยได้พบได้เจอกับโลกภายนอกเช่นนี้ ขายหน้าท่านพ่อเสียจริง อ้อ ข้าลืมไป พี่สาวเติบโตมาในชนบท แน่นอนคงไม่รู้จักตระกูลใหญ่หรืออำนาจใดๆ…”
“ขอบใจที่เป็นห่วง” หนานกงมั่วปล่อยม่านลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ข้ารู้ดีกว่าเจ้ามากทีเดียว น้องสาว ไม่ต้องเอาสิ่งที่หว่านฮูหยินสอนเจ้ามายัดเยียดให้ข้า เข้าใจหรือไม่ พวกเรา…ไม่ใช่คนระดับเดียวกัน”
“เจ้า” หนานกงซูกัดฟัน ทุกครั้งที่ต่อปากต่อคำกับหนานกงมั่ว เมื่อใดที่กล่าวถึงพื้นเพของมารดานางมักจะรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมา อดโกรธเจิ้งซื่อในใจไม่ได้ หากไม่ใช่… “หึหึ พี่สาว หวงจั่งซุนกลับไปก็ต้องขอฝ่าบาทพระราชทานสมรส ตัวประหลาดอย่างเว่ยจวินมั่ว คงต้องรบกวนท่านรับไปด้วยเถิด” นึกขึ้นมาได้ ดวงตาหนานกงซูพลันวาววับ เอ่ยด้วยท่าทีขำขัน
ความเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตาของหนานกงมั่วขึ้นมา มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มชัดเจน “อ้อ ไว้ข้าจะรอดูน้องสาวแต่งเข้าจวนหวงจั่งซุนแล้วกัน”
อยากแต่งกับเซียวเชียนเยี่ยย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ตำแหน่งต่ำสุดของภรรยาอย่างอนุนั้นอยากมีมากเพียงใดก็ย่อมได้ คิดว่าพระชายาเอกคนแรกก็คงไม่ใส่ใจหากหวงจั่งซุนจะมีอนุเพิ่มอีกสักคน
จวนฉู่กั๋วกงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของจินหลิง ห่างจากพระราชวังเพียงสองช่วงถนน พื้นที่ในจวนนั้นกว้างใหญ่ แม้จะไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็นับว่ายอดเยี่ยม
รถม้าหยุดลงหน้าจวนฉู่กั๋วกง ด้านหน้ามีคนของจวนฉู่กั๋วกงมารอรับ เมื่อมองเห็นรถม้าของจวนตนเองมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“นายท่าน ฮูหยิน”
“พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว…”
“น้องชาย เจ้ากลับมาแล้ว…”
ผู้คนมากมายกำลังวุ่นวาย ทำให้หนานกงไหวต้องขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “เอาล่ะ มีเรื่องอันใดกลับเข้าจวนค่อยพูดกัน”
เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าสวยก้าวเดินลงมาจากรถม้า ทุกคนต่างพากันนิ่งอึ้ง ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าสุดเอ่ยถามขึ้น “พี่ใหญ่…นี่คือชิงเอ๋อร์งั้นหรือ” หนานกงไหวพยักหน้า กวาดตามองผู้คนเหล่านั้น เอ่ยเสียงเข้ม “ยังไม่ทำความเคารพคุณหนูใหญ่อีก”
“คุณหนูใหญ่” ทุกคนรีบทำความเคารพ หนานกงไหวจึงเอ่ยกับชายวัยกลางคนผู้นั้น “นี่คือมั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ ยังจำท่านอารองของเจ้าได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของหนานกงไหว นามว่าหนานกงเฉิน ตัวหนานกงไหวนั้นไม่มีพี่น้องแท้ๆ ดังนั้นหนานกงเฉินจึงนับว่าเป็นเชื้อสายที่ใกล้ชิดกับหนานกงไหวที่สุด บวกกับหนานกงเฉินเชี่ยวชาญด้านกองทัพ ต่อมาด้วยบารมีของหนานกงไหวจึงได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับห้าชั้นเอกแห่งสำนักสารบรรณ[1] อย่าได้มองว่าอยู่ในระดับไม่สูง หนานกงเฉินที่เกิดมาในชนบท ก่อนก่อตั้งแคว้นนั้นไม่ได้ทำงานการใดๆ คอยพึ่งพาหนานกงไหวอยู่เป็นนิจ สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้นับว่าไม่เลว ชาวบ้านทั่วไปนั้นตราบชั่วชีวิตก็ไม่อาจเป็นถึงขุนนางระดับห้าด้วยซ้ำ
และเพราะเหตุนี้ หนานกงเฉินจึงค่อนข้างมีหน้ามีตาเมื่ออยู่ต่อหน้าหนานกงไหว สำหรับสกุลหนานกงคนอื่นๆ ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างไกล หากบอกว่าเป็นญาติมิสู้บอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ในจวนฉู่กั๋วกงจะดีกว่า อาศัยรางวัลของหนานกงไหวไปวันๆ เพียงเท่านั้น
“ท่านอารอง” หนานกงมั่วทำความเคารพ เอ่ยเสียงราบเรียบ
หนานกงเฉินรีบก้าวถอยออกไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ได้เจอกันนาน อาไม่ได้เตรียมของขวัญอันใดไว้ให้…สิ่งนี้เจ้ารับไปเถิด” แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนานกงชิงจึงเปลี่ยนเป็นหนานกงมั่ว แต่เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายของตนแล้วเดาได้ว่าคงเป็นเด็กสาวที่ออกจากบ้านไปเมื่อห้าปีที่แล้วเป็นแน่ หนานกงเฉินมีความยำเกรงต่อเมิ่งซื่อภรรยาคนก่อนของหนานกงไหวเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งซื่อเกิดในตระกูลชนชั้นสูง ในสายตาของหนานกงเฉินที่เกิดอยู่ในชนบทนั้นมันคนละชนชั้น ด้วยชาติกำเนิดทำให้เขาต้องรู้สึกยำเกรงโดยสัญชาติญาณ ดังนั้น ในตอนที่เมิ่งซื่อยังมีชีวิตอยู่แม้จะปรากฏตัวไม่บ่อย ทว่าไม่มีครั้งใดที่เจอหน้ากันแล้วหนานกงเฉินไม่นอบน้อมต่อนาง ตอนนี้ได้เจอกับหนานกงมั่วที่หน้าตาคล้ายคลึงกับเมิ่งซื่อจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ยื่นแผ่นหยกอันเป็นที่รักของเขามอบให้กับหนานกงมั่ว
“ขอบคุณท่านอารอง” แม้แผ่นหยกจะไม่มีประโยชน์ต่อหนานกงมั่ว แต่เมื่อผู้ใหญ่ให้ของหนานกงมั่วจึงจำเป็นต้องรับและกล่าวขอบคุณ
หนานกงไหวคล้ายกับพึงพอใจในท่าทีของหนานกงเฉินที่มีต่อหนานกงมั่ว ใบหน้าเคร่งขรึมจึงอ่อนลง เอ่ยว่า “เข้าไปเถิด เรือนของคุณหนูใหญ่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่”
พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างรีบก้าวขึ้นมา เดินแทรกผู้คนเข้าไปพลางเอ่ยตอบ “รายงานนายท่าน จัดเตรียมเรือนโล่วเย่ว์ไว้ให้คุณหนูใหญ่เรียบร้อยแล้วขอรับ”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา หนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก ข้าอยู่เรือนจี้ชั่งก็ได้”
“เอ่อ…” พ่อบ้านมองหนานกงมั่วด้วยท่าทางลำบากใจ หนานกงมั่วเลิกคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมกัน เรือนจี้ชั่งมีคนอยู่อย่างนั้นหรือ” เรือนจี้ชั่งเป็นเรือนเดิมที่เมิ่งซื่อเคยอยู่ หนานกงชิงกำเนิดที่นี่ เติบโตและอยู่กับเมิ่งซื่อ ณ ที่แห่งนี้มาตลอด หลังจากเมิ่งซื่อจากไปแล้ว หนานกงชิงก็ไว้ทุกข์คนเดียวที่นี่ตลอดสามปี ก่อนจะจากจินหลิงไปเป็นเวลาห้าปี
พ่อบ้านเหลือบมองเจิ้งซื่อเล็กน้อย จึงตอบกลับ “ตอบคุณหนูใหญ่ ไม่มีใครอยู่ขอรับ เพียงแต่ เรือนจี้ชั่ง…”
เรือนจี้ชั่งเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวนฉู่กั๋วกง แม้แต่เรือนจิ่นเต๋อของหนานกงไหวที่อยู่ด้านหน้ายังเทียบไม่ได้ เดิมเป็นเรือนของภรรยาเอกของฉู่กั๋วกง แต่เมื่อเมิ่งซื่อจากไปแล้ว ไม่รู้เหตุใดคนที่ถูกยกขึ้นเป็นภรรยาเอกอย่างเจิ้งซื่อกลับไม่ได้เข้าไปอยู่ แต่ได้ไปอยู่ที่เรือนไฉ่อู๋ที่เล็กลงมาแทน สิ่งนี้เป็นความเจ็บปวดที่เก็บอยู่ในใจเจิ้งซื่อตลอดมา แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาแต่ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถึงเรือนจี้ชั่งสีหน้าของเจิ้งซื่อก็จะไม่สู้ดีนัก
[1]สารบรรณ งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การสร้างหนังสือ การ รับ –ส่ง การเก็บรักษาเอกสาร