รอยยิ้มพระชายาเยี่ยนอ๋องจางลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อครู่เชียนเยี่ยบอกกับข้าแล้ว หย่งชังไม่สบาย ตอนนี้กลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าคงยังไม่ทราบข่าวใช่หรือไม่”
รอยยิ้มของพระชายาโจวอ๋องแข็งค้าง เขกศีรษะตัวเอง เอ่ยว่า “ดูหม่อมฉันสิ ลืมไปได้อย่างไรกัน เด็กคนนี้…ไม่ป่วยตอนอื่นมาป่วยเอาเวลานี้ได้…”
บรรดาสตรีทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหย่งชังจวิ้นจู่ สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนยิ่งสับสนมากขึ้นอีก ไม่เพียงมีพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นที่พึ่ง แม้แต่หวงจั่งซุนยังต้องลงโทษน้องสาวเพราะพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกนางทั้งสองนั้นมีวาสนาสูงเพียงใด เนื่องจากหนานกงมั่วถูกหมายหมั้นไว้ให้เว่ยจวินมั่วแล้ว ความริษยาจึงไปตกอยู่ที่เซี่ยเพ่ยหวน ดังนั้น คุณหนูสามเซี่ยจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น
ในตำแหน่งที่นั่ง เจิ้งซื่อฝืนยิ้มมองหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่กำลังยิ้มแย้มนั่งอยู่ข้างพระชายาเยี่ยนอ๋อง นางได้เพียงนั่งกัดฟันอยู่ตรงนั้น บุตรีของนางถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้าน แม้แต่งานเลี้ยงก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ หนานกงมั่วกลับนั่งเคียงข้างพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างไม่ทุกข์ร้อน น่ารังเกียจเสียจริง รอให้กลับถึงจินหลิงก่อนเถิด…
ทันใดนั้น ความเยือกเย็นก็แผ่ปกคลุมมาที่เจิ้งซื่อ เจิ้งซื่อรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาจึงหันมองตามไป มองเห็นดวงตาสีม่วงแปลกประหลาดของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างพระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังจ้องมาที่นางด้วยสายตาเยือกเย็น เจิ้งซื่อหัวใจหล่นวูบ รีบเก็บจอกเหล้าที่ทำร่วงลงตรงหน้า
หนานกงมั่วมาร่วมงานเลี้ยงครั้งแรก รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย เนื่องจากมาไหว้บรรพบุรุษแทนราชวงศ์ งานเลี้ยงจึงไม่ได้มีการร้องรำทำเพลงใดๆ เป็นเพียงงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเชิญผู้มีอำนาจในพื้นที่มาสังสรรค์กันเพียงเท่านั้น คล้ายกับแสดงออกให้เห็นว่าตระกูลเซียวนั้นรุ่งเรืองแล้วทว่ากลับยังไม่หลงลืมบรรพบุรุษของตน ท่านอ๋องทั้งสองเพียงดื่มและกล่าวขอบคุณเพียงเล็กน้อย จากนั้นปล่อยให้เหล่าผู้มีอำนาจได้พูดคุยสังสรรค์กันเอง
ในขณะที่หนานกงมั่วกำลังเบื่อหน่าย เว่ยจวินมั่วที่ไม่รู้มาจากไหนโผล่มาอยู่ด้านข้างพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จป้า เสด็จลุงอยากพบอู๋สยาพ่ะย่ะค่ะ” พระชายาเยี่ยนอ๋องราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ไม่รู้สึกแปลกใจแม้เพียงน้อย หันกลับไปเอ่ยกับหนานกงมั่ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วเอ๋อร์ก็รีบไปเถิด”
หนานกงมั่วรู้สึกเบื่อหน่ายต่องานเลี้ยงเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จึงมิได้อยากนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อมองผู้คนที่กำลังสังสรรค์ พระชายาเยี่ยนอ๋องพยักหน้าอนุญาตแล้ว นางจึงลุกเดินตามเว่ยจวินมั่วออกไป
ด้านหลัง พระชายาโจวอ๋องเลิกคิ้วมองทั้งสองที่เดินเคียงข้างกันออกไป “ดูเหมือนจวินมั่วจะชื่นชอบคุณหนูใหญ่มั่วผู้นี้เสียแล้ว” หากบอกว่าเว่ยจวินมั่วหลงรักหนานกงมั่วตั้งแต่แรกเจอ พระชายาเยี่ยนอ๋องคงมิอาจเชื่อได้ หลายปีมานี้ บรรดาคุณหนูต่างพากันหลบเลี่ยงจากเว่ยจวินมั่ว ทว่าเว่ยจวินมั่วยังคงเย็นชาต่อผู้คนเหล่านั้นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะงดงามเพียงใดก็ตาม แต่ครั้งนี้กลับชื่นชอบหนานกงมั่วถึงเพียงนี้ หรือเพื่อจวนฉู่กั๋วกงงั้นหรือ หากมีจวนฉู่กั๋วกงคอยสนับสนุน ฐานะของเว่ยจวินมั่วในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็จะสูงขึ้น แต่หากเป็นเช่นนี้…รัชทายาทคงจะลำบากแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของพระชายาโจวอ๋องจึงนิ่งขึ้น
พระชายาเยี่ยนอ๋องมองพระชายาโจวอ๋องนิ่งๆ เอ่ยว่า “เป็นหญิงสาวที่น่าเอ็นดูทีเดียว จวินมั่วเองก็อายุไม่น้อยแล้ว”
พระชายาโจวอ๋องไม่อยากหาเรื่องให้ตนเอง ได้แต่ยิ้มฝืนๆ แล้วปล่อยผ่านไป อย่างไรเสียเว่ยจวินมั่วก็เป็นหลานแท้ๆ ของโจวอ๋อง พูดมากเกินไปเดี๋ยวครอบครัวของตนจะโกรธเอาได้
ในตำหนักของพระราชวัง เยี่ยนอ๋องรู้สึกไม่สบายจึงกลับเข้ามาพัก เว่ยจวินมั่วพาหนานกงมั่วเข้ามาด้านใน ทว่ามองเห็นเยี่ยนอ๋องกำลังนั่งจับพู่กันเขียนหนังสืออยู่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ความสงบนิ่งที่แสดงออกมานั้นดูไม่ออกถึงอาการเจ็บป่วย เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินเข้ามา เยี่ยนอ๋องจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยเรียก “มาแล้วหรือ มาดูนี่สิ”
หนานกงมั่วลังเลอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็เดินตามเว่ยจวินมั่วเข้าไป กระดาษบนโต๊ะตรงหน้าเยี่ยนอ๋องปรากฏรูปเสือแลดูดุร้ายที่ยังวาดไม่เสร็จสิ้น ทว่าได้เห็นเพียงเท่านั้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่พุ่งออกมา
“เสด็จลุงอาการดีขึ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจวินมั่วจูงมือหนานกงมั่วเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เยี่ยนอ๋องวางพู่กันลง ยกมือขึ้นกดนวดบริเวณบาดแผลเก่า คิ้วที่ขมวดคลายลงเล็กน้อย เอ่ยตอบ “ยาของอู๋สยาไม่เลวเลย”
หนานกงมั่วลังเลอยู่เล็กน้อย พลางตอบออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องทรงชมเกินไปแล้วเพคะ”
เยี่ยนอ๋องโบกมือ เอ่ยตอบ “ข้าไม่ชอบยกยอคน หมอหลวงในเมืองหลวงพวกนั้นรักษามาเป็นสิบปีก็ไม่ดีขึ้น ข้าใช้ยาของเจ้า เพียงสองวันก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เพียงแต่…” เยี่ยนอ๋องขมวดหัวคิ้ว มองไปยังหนานกงมั่ว “ยานี้ใช้แล้วรู้สึกปวดอยู่บ้าง ไม่มีวิธีทำให้ดีขึ้นเลยหรือ” ใช้ยาหนึ่งครั้ง เขารู้สึกราวกับกลับไปเจ็บปวดเหมือนครั้งนั้นที่ได้รับบาดเจ็บมาใหม่ๆ หากไม่ใช่ผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างเยี่ยนอ๋อง คนธรรมดาทั่วไปเมื่อได้รับยานี้แล้วคงจะทนไม่ไหวเป็นแน่
แม้จะเป็นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ทว่ากลับเอ่ยตามตรงว่าเจ็บปวดเมื่อใช้ยานี้ หนานกงมั่วรู้สึกขันเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องผู้นี้มิได้น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้ เหลือบมองเว่ยจวินมั่วที่จับตนเองไว้ด้วยมือหนึ่งข้าง พลันเข้าใจขึ้นมา เยี่ยนอ๋องไว้ใจเว่ยจวินมั่วหลานผู้นี้มากทีเดียว ได้เห็นมุมที่ต่างออกไปเช่นนี้ คงต้องบอกว่าเป็นเพราะเว่ยจวินมั่วแล้วล่ะ
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องได้โปรดอภัย ยาดีนั้นมีรสขมถึงจะดีต่อโรค บาดแผลของท่านอ๋องนั้นล่วงเลยมานาน จำเป็นต้องใช้ยาพวกนี้ นอกจากนี้ ที่โยวโจวก็มีอากาศหนาวเย็น ต่อไปท่านอ๋องคงต้องใช้ยาพวกนี้ไปอีกสักระยะถึงจะได้ หลังจากนั้นหม่อมฉันจะเขียนใบสั่งยาให้ไว้กับเว่ย…ซื่อจื่อเพคะ” แม้เยี่ยนอ๋องจะแสดงออกถึงความเป็นกันเอง และช่วงนี้นางเองก็คล้ายกับจะตัวติดอยู่กับเว่ยจวินมั่วอยู่ตลอด หนานกงมั่วตัดสินใจว่าตนเองนั้นควรจะเป็นหมอที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น
เยี่ยนอ๋องมองหลานชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดหัวคิ้วทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงบ่นกับหนานกงมั่วว่ายานั้นขมเกินไป
เมื่อเรื่องเล็กน้อยจบไปแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงชี้ไปยังเก้าอี้นั่งสองตัว บอกให้ทั้งสองนั่งลง เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น “เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรต่อการลอบทำร้ายเชียนเยี่ย”
เว่ยจวินมั่วเชยตาขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ยังจับคนลอบทำร้ายไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พี่ใหญ่ทำให้เชียนเยี่ยเสียคนแล้ว กล้าไปสถานที่เช่นนั้นในยามนี้ได้ กลับไปคงต้องพูดกับเว่ยจิ้งเสียหน่อย…ช่างเถิด เรื่องนี้เดี๋ยวข้าคุยกับเขาเอง” สำหรับหลานคนนี้เซียวเชียนเยี่ย เยี่ยนอ๋องไม่รู้จะต้องพูดเช่นไรแล้ว จะบอกว่าเขาไม่ฉลาด เขาก็เป็นหนึ่งในหลานชายของจักรพรรดิที่เก่งที่สุด จะบอกว่าเขาไม่รู้ความ เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทเขาก็สามารถทำให้ฝ่าบาทรักและเอ็นดูได้ ใครจะคิดว่าเพียงเดินทางมาถึงช้าไปเพียงสองวันกลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ หากเป็นโอรสของเขาทำเรื่องเช่นนี้เขาจะไม่ลังเลที่จะฟาดไปสักทีสองที
“เว่ยจวินเจ๋อและเว่ยจวินปั๋วพาพระองค์ไปงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องส่งเสียงหยัน “จะมีใครอีกเล่า อย่าว่าแต่พาไปเลย เชียนเยี่ยเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวหรืออย่างไร ไม่รู้จักเกรงกลัว ถึงได้กล้ามากเช่นนี้ คนเบื้องล่างไม่กล้ารายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท แต่กับรัชทายาทนั้นปิดบังไม่ได้หรอก” หวงจั่งซุนถูกลอบทำร้ายที่ตานหยาง คนที่ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยนอกจากโอรสองค์อื่นๆ ของรัชทายาทแล้วก็คนเป็นเสด็จลุงอย่างพวกเขานี่แหละ