ยังไม่ทันหมุนตัวเดินเข้าประตู ก็มีรถม้าคันสวยวิ่งมาหยุดอยู่หน้าประตูจวนฉู่กั๋วกง หนานกงไหวลงจากรถม้า มองเห็นหนานกงมั่วจึงตกใจ
“ท่านพ่อ” หนานกงมั่วก้มหน้า เอ่ยเรียกเสียงเบา
หนานกงไหวพยักหน้า เอ่ยถาม “ไยถึงมายืนอยู่หน้าประตูเล่า”
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “พึ่งกลับมาจากจวนตระกูลเซี่ย ยังไม่ทันได้เดินกลับเข้าไปเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวมองกลับไปยังถนนด้านหลัง เอ่ยถาม “เว่ยซื่อจื่อมาส่งเจ้าหรือ” แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ได้เจอกับเว่ยจวินมั่ว แต่ผู้ติดตามนั้นบอกว่าเห็นรถม้าของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ยามนี้คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องที่จะมาอยู่ที่นี่ได้ก็คงมีเพียงเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ ตอบกลับไปตามตรง “วันนี้ที่จวนตระกูลเซี่ย ลูกได้พบกับองค์หญิงฉังผิงเจ้าค่ะ”
“เอ๋” หนานกงไหวเลิกคิ้ว “นานแล้วที่องค์หญิงฉังผิงไม่ปรากฏตัว แล้วเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
หนานกงมั่วพยักหน้า “องค์หญิงฉังผิงดีมากเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวมองเด็กสาวท่าทางนอบน้อมตรงหน้าด้วยสายตาสับสน บุตรีผู้นี้เฉยชาต่อเขามาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อถึงอายุสิบเอ็ดปีก็ไม่แม้แต่จะได้พบหน้า เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี ยามนี้เติบโตเป็นหญิงสาวงดงามแล้ว และบุตรีผู้นี้ยังเติบโตมาอย่างดีโดยไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา เว่ยจวินมั่วให้เกียรตินาง เรื่องนี้คงไม่ต้องเอ่ยถึง ชายาเยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิงยังพอใจในตัวนางอีก และตระกูลเซี่ยที่ไม่เหลียวแลจวนฉู่กั๋วกงมานานหลายปี คุณหนูเชื้อสายหลักของตระกูลเซี่ยกลับดีต่อนางมาก เมื่อกลับมาถึงก็ถูกเชิญไปเป็นแขกที่จวนตระกูลเซี่ย ความรู้สึกเช่นนี้…ราวกับเด็กสาวผู้นี้ไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนใดก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ จะมีหรือไม่มีผู้เป็นบิดาเช่นเขาก็ไม่สำคัญ หนานกงไหวไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย
“ท่านพ่อ” เห็นหนานกงไหวจับจ้องตนเองนิ่ง หนานกงมั่วจึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงไหวส่ายหน้า เอ่ยบอก “เข้าไปเถิด”
สองพ่อลูกไม่มีเรื่องต้องคุยกัน จึงเดินตามหลังหนานกงไหวก้าวข้ามประตูใหญ่เข้าไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หนานกงไหวคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ หยุดแล้วหันกลับมา เอ่ยถาม “ข้าให้เจ้าแต่งกับเว่ยจวินมั่ว เจ้าคับแค้นใจหรือไม่”
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น ยิ้มหยันมองไปยังหนานกงไหว “มีแล้วเยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ ท่านพ่อจะให้น้องสาวไปแต่งแทนข้างั้นรึ”
หนานกงไหวชะงัก เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้…ข้าขอโทษเจ้า แต่ยามนี้เห็นแล้วว่าเว่ยจวินมั่วใช่ว่าจะไม่ดี เจ้าวางใจ ข้าไม่ให้เจ้าต้องน้อยหน้าเป็นแน่”
หนานกงมั่วก้มหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านพ่อ”
หนานกงไหวมองนางอยู่ชั่วครู่ จากนั้นหมุนตัวเดินต่อไป
หนานกงมั่วเดินตามหลังหนานกงไหว ภายใต้ดวงตานั้นมีแววเย้ยหยันและดูถูก เอ่ยเรื่องพวกนี้… หนานกงไหวเกิดรู้สึกละอายใจขึ้นมาหรืออย่างไร หากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกละอายใจและอยากชดเชยมากเพียงใด หนานกงชิงก็คงไม่มีวันรับรู้ เพราะเด็กที่ถูกพวกเขาเอาเปรียบ เด็กที่ถูกพวกเขาทอดทิ้งในครั้งนั้น ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว และนาง หนานกงมั่ว ไม่เคยต้องการให้พวกเขามาชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น
เดินเข้าประตูมา เจิ้งซื่อก็รีบเข้ามาต้อนรับ เอ่ยทัก “ท่านกลับมาแล้ว…” เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วที่เดินตามหลังหนานกงไหวเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางก็ตกใจเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่ก็กลับมาแล้วหรือ” หลายวันมานี้เจิ้งซื่ออารมณ์ไม่ดี ตั้งแต่ได้พบกับหนานกงมั่วนางก็ซวยไปเสียทุกเรื่อง แม้ยามนี้จะยังเกาะอำนาจนายหญิงของจวนเอาไว้แน่น แต่ทรัพย์สินในมือกลับลดลงไปมาก หลายปีมานี้นางดูแลกิจการของจวนฉู่กั๋วกงโดยไม่ต้องกังวลใดๆ นางคิดว่ากิจการพวกนั้นเป็นของตนเองแล้ว ตอนนี้กลับถูกคนแย่งชิงไปกว่าครึ่ง ไม่ปวดใจสิถึงจะแปลก และสิ่งที่ทำให้นางกังวลกว่านั้นก็คือ หนานกงมั่วจะแย่งอำนาจดูแลจวนไปจากนางหรือไม่ แม้ว่าอีกไม่นานหนานกงมั่วจะแต่งงานออกเรือนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหนานกงมั่วจะไม่สามารถส่งใครมาแก่งแย่งกับนางได้ อย่างเช่นหลินซื่อ อย่างเช่นเหล่าอนุพวกนั้น ดังนั้น เจิ้งซื่อจึงตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องให้หนานกงมั่วแต่งงานออกเรือนไปให้เร็วที่สุด
“หว่านฮูหยินมีธุระกับท่านพ่อ ข้าขอตัวก่อนแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ เดินนำสาวใช้ออกไป
ได้ยินคำเรียกหว่านฮูหยินคำนี้ หัวใจของเจิ้งซื่อก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากหนานกงไหวตักเตือนหนานกงมั่วที่เรียกนางว่าหว่านฮูหยินไปแล้วหนึ่งครั้ง หนานกงมั่วก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน ไม่ว่าเมื่อไหร่หนานกงมั่วก็ยังคงเรียกนางว่าหว่านฮูหยิน หนานกงไหวไม่สามารถดุด่าหรือตีนาง ทั้งยังไม่สามารถบอกทุกครั้งได้ นานเข้าก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านราวกับไม่ได้ยิน และเพราะเหตุนี้ ทำให้เหล่าอนุพวกนั้นมีโอกาสหัวเราะเยาะเจิ้งซื่อ
มองตามแผ่นหลังหนานกงมั่วที่เดินจากไป เจิ้งซื่อบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
หนาน กง มั่ว!
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสู้เจ้าไม่ได้
ทางด้านจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เว่ยจวินมั่วกำลังนั่งฟังองค์หญิงฉังผิงพูดด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย นัยน์ตาที่เศร้าสร้อยขององค์หญิงฉังผิงในยามนี้ดูมีความสุขขึ้นมามากแล้ว เอ่ยกับบุตรชายด้วยรอยยิ้ม “อู๋สยาเป็นสตรีที่ดี ข้าเองก็ชอบ เจ้าต้องดีกับนางมากๆ อย่าทำตัวเหลวใหลให้นางกลัว”
องค์หญิงฉังผิงผู้เป็นมารดา รู้จักเว่ยจวินมั่วบุตรชายผู้นี้เป็นอย่างดี เว่ยจวินมั่วไม่ได้ไร้พิษภัยดังเช่นที่เขาแสดงให้ผู้อื่นได้เห็น มิเช่นนั้นคงถูกผู้คนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องรังแกจนตายไปแล้ว แม้นางจะเป็นถึงองค์หญิง แต่ก็ไม่สามารถพาบุตรชายมาอยู่ข้างกายได้ตลอดเวลา ให้เขาได้ออกไปเจอและต่อสู้เติบโตกับผู้อื่น เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด หลายปีมานี้ บุตรชายนิ่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ ทว่าคนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นไม่มีใครกล้าเสียมารยาทกับเขา เช่นนี้องค์หญิงฉังผิงทั้งพอใจและรู้สึกผิด
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ยว่า “เสด็จแม่โปรดวางใจ อู๋สยานาง…มิใช่คนหวาดกลัวสิ่งใดได้ง่ายๆ” ไม่เพียงไม่หวาดกลัว ยังมีความกล้าหาญมากอีกด้วย ไม่สนใจความเจ็บปวด ใบหน้าเย็นชาของเว่ยจวินมั่วอ่อนโยนขึ้นมา รอยยิ้มขององค์หญิงฉังผิงจึงขยายกว้างขึ้น เห็นได้ชัดว่าบุตรชายของนางชื่นชอบแม่นางหนานกงผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ยื่นมือไปตบลงบนแผ่นหลังของบุตรชายเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ในเมื่อชอบ ก็ดูแลให้ดี รอแต่งอู๋สยาเข้าจวนแล้ว แม่ก็วางใจ”
“ท่านแม่…”
องค์หญิงฉังผิงโบกมือ “แม่รู้ว่าเจ้าจะเอ่ยสิ่งใด แม่กำลังเป็นห่วงแทนเจ้านะ เจ้าดูสิ ทั่วทั้งเมืองจินหลิง มีบุตรชายผู้ใดบ้างที่อายุเท่าเจ้าแล้วยังไม่แต่งงาน”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว ท่าทางไม่พอใจ “ลิ่นฉังเฟิงก็ยังไม่แต่งงาน” อายุของลิ่นฉังเฟิงก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเขา องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เอ่ยขึ้น “ฉังเฟิงเองก็เป็นเด็กน่าสงสาร ฐานะของแม่ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ รอแต่งอู๋สยาเข้าจวนแล้ว ให้นางช่วยฉังเฟิงมองหาภรรยาที่ดีสักคนเถิด” ลิ่นฉังเฟิงห่างจากจวินเอ๋อร์คาดว่าไม่เกินสองปี ทว่ากลับมีชะตาอาภัพเหมือนกัน จวินเอ๋อร์นั้นไม่ว่าบุตรีบ้านใดก็ไม่ยินยอมแต่งงานกับเขา ลิ่นฉังเฟิงเองก็ถูกแม่เลี้ยงคอยให้ร้าย บิดาก็ไม่ถามไถ่ ละเลยเรื่องงานแต่งงานของเขาไปโดยไม่คิดจะสนใจ
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “ลูกจะจำเอาไว้” หาภรรยาให้กับลิ่นฉังเฟิงสักคน เขาก็จะได้ไม่ต้องยุ่งเรื่องของชาวบ้าน