หนานกงมั่วกะพริบตา เอ่ยอย่างไร้เดียงสา “ข้าเป็นหมอ”
“หมอกับยาพิษไม่แบ่งแยก” เว่ยจวินมั่วเอ่ย มั่นใจว่านางเป็นคนทำ
“คุณหนูเจ้าคะ” ด้านนอก เสียงเฟิงเหอเรียกเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าเสียงความเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่นั้นได้ยินไปถึงสาวใช้ที่อยู่ยามกลางคืน หนานกงมั่วนิ่ง เอ่ยตอบกลับไปเสียงเรียบ “มีเรื่องอันใด”
เฟิงเหอลังเลอยู่ชั่วครู่ “เมื่อครู่ข้าน้อยได้ยินเสียงบางอย่าง มีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ” หนานกงมั่วตอบ “ไม่มีอะไร ข้าเพียงไม่ระวังทำหนังสือหล่นก็เท่านั้น”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยออกไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด”
ได้ยินเสียงเฟิงเหอเดินจากไปแล้ว หนานกงมั่วจึงพ่นลมหายใจออกมา นางไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ดังนั้นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครคอยเฝ้า เฟิงเหอและสาวใช้ไม่กี่คนนั้นนอนอยู่ห้องด้านนอก แม้จะห่างกันมาก แต่หากพวกเขาเสียงดังมากก็ยังคงได้ยิน เมื่อพ่นลมหายใจแล้วจึงหมุนตัวกลับมาพบว่าเว่ยจวินมั่วนั้นตามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า “อู๋สยา…”
“เอ่อ…ท่านถอยกลับไปอีกหน่อยได้หรือไม่…อย่ามาใกล้ขนาดนี้” หนานกงมั่วเอ่ยอย่างลำบากใจ แม้ใบหน้าหล่อเหลาที่มีจุดสีแดงเต็มไปหมดจะดูตลก ทว่าเมื่อเข้าใกล้ถึงเพียงนี้หนานกงมั่วก็ขำไม่ออก ลมหายใจของเว่ยจวินมั่วมาถึงลำคอนางแล้ว อีกทั้งยังมีดวงตาสีม่วงที่จ้องมองนางเขม็ง รู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
“ทำไมต้องวางยาข้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เอ่อ…ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดถึงสิ่งใด” หนานกงมั่วยิ้มแห้ง นางไม่ควรบอกว่านางเถียงไม่สู้เขาเลยวางยาพิษเพื่อระบายความโกรธใช่ไหม
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว ขยับเข้าใกล้อีกนิด “ไม่ให้จริงๆ ใช่ไหม”
เมื่อเห็นว่าร่างของทั้งคู่นั้นแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่แล้ว หนานกงมั่วจึงเกร็งขึ้นมา จ้องมองเว่ยจวินมั่วอย่างระแวดระวัง “ท่าน…ท่านอย่าเข้ามานะ เอ่อ ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน” ใครกันที่บอกว่าสมัยโบราณชายหญิงเคร่งครัดไม่แตะเนื้อต้องตัว แล้วไอ้ที่บุกเข้าเรือนของหญิงสาวตอนกลางดึกแล้วมาแสดงท่าทีเช่นนี้คืออะไรกันเล่า
เว่ยจวินมั่วยิ้มออกมา “มาเตือนข้าว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวในเวลานี้ อู๋สยาอยากให้ข้าแตะเนื้อต้องตัวหรือ”
“เว่ย จวิน มั่ว อย่าให้มันมากเกินไปนะ” หนานกงมั่วเอ่ยเตือน
“แล้วเยี่ยงไร” เว่ยจวินมั่วกดเสียงต่ำ
เมื่อมีชายหนุ่มรูปงามขยับเข้าใกล้เช่นนี้ อีกทั้งน้ำเสียงมีเลศนัย แม้ว่าใบหน้าชายรูปงามผู้นี้ในตอนนี้จะเต็มไปด้วยรอยจุดสีแดง ทว่าก็ยังห้ามความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาวไม่ได้ หนานกงมั่วจับจ้องอยู่ที่ดวงตาสีม่วงคู่นั้น เอ่ยเสียงเบา “เป็นเช่นนี้ งั้น…ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว
พลัวะ! หมัดพุ่งเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาของเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วโดนต่อยจนร่างเซถอยหลังไปหลายก้าว รู้สึกว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งนั้นไม่ใช่ของตนเอง หนานกงมั่วใช้โอกาสนั้นขยับหนีห่างเขา ถอยไปอยู่อีกฝั่ง มองเขาพลางเอ่ย “อยากต่อยหน้าท่านมานานแล้ว ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเข้ามาใกล้อย่างไรเล่า”
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้น จับใบหน้าที่เจ็บจนรู้สึกแสบของตนเอง เอ่ยขึ้น “อู๋สยา ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะป่าเถื่อนเช่นนี้” เมื่อต้องสู้กลับไม่เหลือความเมตตาแม้เพียงเล็กน้อย มองเห็นอนาคตเลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาคงออกจากเรือนไม่ได้แน่ หนานกงมั่วไม่รู้สึกผิด สะบัดมือเล็กน้อย “ขออภัยด้วย ข้าอดลงมือกับคนที่เข้าใกล้ข้าไม่ได้จริงๆ”
“ความเคยชินเช่นนี้ไม่ดีเลย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตรงไปตรงมา “รอเราแต่งงานไปอยู่ด้วยกันแล้ว เจ้าคิดจะต่อยข้าทุกวันเลยหรืออย่างไร”
“ข้อเสนอนี้ก็ไม่เลว” ดวงตาของหนานกงมั่ววาววับ เว่ยจวินมั่วส่ายหน้ายอมแพ้ “เจ้าต่อยก็ต่อยแล้ว ควรให้ยาถอนพิษข้าได้หรือยัง”
ไม่โกรธหรือ นิสัยไม่เลวเลยนี่ หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าท่านอาจจะกินอะไรผิดสำแดง อีกสองวันก็คงจะดีขึ้น”
“เจ้ามั่นใจหรือ” เว่ยจวินมั่วถามกลับ
หนานกงมั่วพยักหน้ารัวเร็ว “แน่นอนสิ หากอีกสองวันยังไม่ดีขึ้น ท่านก็มาหาข้าได้” อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่เขา นางดูชอบโกหกถึงเพียงนี้เลยหรือ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าเชื่อว่าอู๋สยาไม่โกหกข้า เพียงแต่…”
ยังจะมีแต่อีกหรือ จ้องมองเขาด้วยท่าทีระมัดระวัง “ท่านคิดจะทำสิ่งใดอีก”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ข้าตั้งใจมาดูอู๋สยา เจ้ากลับต่อยข้า อู๋สยาไม่รู้สึกผิดสักนิดเลยหรือ”
พวกบ้ากามนั้นเป็นดังเช่นแมลงสาบ ล้วนเป็นสัตว์ที่ต้องกำจัดให้สิ้น ไยข้าต้องรู้สึกผิดด้วย
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรอู๋สยาก็ต้องรู้สึกผิด เช่นนั้น…”
เช่นนั้น…
เว่ยจวินมั่วเคลื่อนไหวเร็ว หนานกงมั่วตั้งรับ ทว่าเขาเป็นคนเริ่มจู่โจม ประมือกันอยู่ได้ไม่นานหนานกงมั่วก็ถูกดึงเข้าสู้อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา ตรงหน้ามืดสนิท รู้สึกเพียงว่าริมฝีปากถูกบางอย่างอุ่นร้อนประกบลงมาเบาๆ หนานกงมั่วรู้สึกราวกับมีบางอย่างระเบิดอยู่ในศีรษะ
เข็มแหลมคมสว่างวาบ พุ่งเข้าหาเว่ยจวินมั่วอย่างไม่ลังเล เว่ยจวินมั่วรับรู้ถึงอันตราย รีบก้าวถอยห่างจากหนานกงมั่วไปหยุดยืนริมหน้าต่าง เข็มเงินกลับตามเขามาไม่ขาดช่วง เว่ยจวินมั่วรีบเบี่ยงตัวหลบ ยื่นมือออกไปกำลังจะคว้ารับเข็มเอาไว้ ทว่าพลันนึกขึ้นได้ กวาดแขนเสื้อในคราวเดียว เข็มเงินสามเล่มปักเข้าที่แขนเสื้อของเขาแทน เมื่อกระทบเข้ากับแสงสว่างก็เกิดแสงระยิบระยับทว่าให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวทีเดียว
“เว่ยจวินมั่ว!” หนานกงมั่วใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉายแววกรุ่นโกรธ แม้นางจะผ่านโลกมาเยอะ ทว่าในเรื่องของความรักนั้นคุณหนูใหญ่หนานกงยังคงไร้เดียงสา อย่าว่าแต่จูบเลย แม้ผู้ชายสักคนมาจับมือก็ยังมิเคยมี
เว่ยจวินมั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อู๋สยา เจ้าโหดร้ายมาก ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับก่อน เจ้ารีบพักผ่อนด้วย” เอ่ยจบจึงกระโดดลงจากหน้าต่างและหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงหนานกงมั่วที่ยืนโกรธอยู่ตามลำพัง
เนิ่นนานกว่าที่นางจะยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากแรงทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลย รู้สึกราวกับว่าความอุ่นร้อนเมื่อสักครู่ยังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน จ้องมองไปด้านนอกด้วยความโกรธ กัดฟัน “เว่ยจวินมั่ว ครั้งหน้าอย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็นเลยทีเดียว” ปิดประตูอย่างรุนแรง หนานกงมั่วหมุนตัวกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง ปิดตาลงยังคงนึกถึงรอยยิ้มของคนเมื่อครู่ คิดแค้นอยู่ในใจ ใครที่ไหนบอกว่าตาบ้านั่นเคร่งขรึม เย็นชาไร้ความรู้สึก ก็แค่คนบ้าที่มีวรยุทธ หากมีโอกาสต้องได้ประมือกันสักครั้ง
เว่ยจวินมั่วกลับมาถึงเรือนของตนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง พึ่งเดินเข้าประตูก็สัมผัสได้ถึงสายลมพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเข้มขึ้น เว่ยจวินมั่วคว้าดาบออกมาและพุ่งเข้าหาเงาดำนั่น
“ให้ตายเถอะ เจ้าคิดจะเอาชีวิตข้าเลยหรือ” คนในเงามืดนั้นรีบหลบไปอีกฝั่ง บ่นออกมาทว่าไร้ซึ่งความโกรธ ดวงตาของเว่ยจวินมั่วเย็นชา เอ่ยกับคนในเงานั้น “ลิ่นฉังเฟิง เจ้าเบื่อการมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่” แสงไฟสว่างวาบขึ้น คุณชายฉังเฟิงยืนอยู่ข้างเชิงเทียนกำลังจุดเทียนอยู่ตรงนั้น ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้นทันตา เมื่อลิ่นฉังเฟิงมองเห็นใบหน้าของเขา คำพูดมากมายที่กำลังจะเอ่ยออกมานั้นติดอยู่ในลำคอ ชี้หน้าเว่ยจวินมั่วอยู่อย่างนั้นทว่าไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของเขา เนิ่นนานจึงพ่นคำพูดออกมาได้ “เว่ยชิงสิง ในที่สุดเจ้าก็ได้รับผลกรรมแล้วหรือ”