องค์หญิงฉังผิงมีท่าทีตื่นตระหนก “จวินเอ๋อร์ เจ้าคิดเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “ลูกไม่สนใจตำแหน่งซื่อจื่อ เสด็จแม่เองก็อยู่ที่นี่โดยมิได้มีความสุขอันใด ลูกเองก็มิยอมให้อู๋สยาต้องมา…”
องค์หญิงฉังผิงนิ่งอยู่นาน สุดท้ายจึงส่ายหน้า “เสด็จพ่อของเจ้าไม่มีทางยอมแน่”
เว่ยจวินมั่วนิ่งเงียบ ดวงตาสีม่วงนั้นเผยให้เห็นสายตาหนักแน่น ในเมื่อเสด็จพ่อไม่คิดว่าเขาเป็นลูก เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกาะตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงนี้เอาไว้
องค์หญิงฉังผิงหัวเราะ เอ่ยออกมาเสียงหยัน “จวินเอ๋อร์ ตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงนี้เจ้านั่งมันให้สบาย เจ้าเป็นลูกของแม่ แม่จะยอมให้อนาคตของเจ้าต้องมาลำบากได้เยี่ยงไร เจ้าคิดว่าหากตอนนั้นเว่ยหงเฟยมิได้เป็นราชบุตรเขย เขาจะได้ขึ้นเป็นจวิ้นอ๋องหรือ” จวินเอ๋อร์ของนางถูกคนพวกนั้นรังแกมาตั้งแต่ยังเล็ก นางจะยอมให้คนพวกนั้นเหยียบย่ำเขาเพราะชาติกำเนิดอีกได้เยี่ยงไร ตำแหน่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าเว่ยหงเฟยอยากมอบให้ใคร สุดท้ายต้องเป็นจวินเอ๋อร์เท่านั้น นอกจากนี้…จะเป็นใครไปไม่ได้
ไม่นานก็มาถึงวันงานเลี้ยงที่จวนฉู่กั๋วกง แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในเรือนจี้ชั่งก็ยังเบ่งบานอย่างงดงาม หนานกงมั่วจัดงานเลี้ยงออกมาโดยใช้การชมดอกไม้เป็นเหตุผลหลัก ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญล้วนแล้วแต่เป็นคุณหนูและฮูหยินของขุนนางขั้นห้าขึ้นไปเท่านั้น เพราะหนานกงมั่วอายุยังน้อย ดังนั้นผู้ที่ได้รับเทียบเชิญส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าคุณหนู หรือไม่ก็เป็นฮูหยินน้อย ผู้อาวุโสอื่นๆ แน่นอนว่าต้องรอให้มีโอกาสไปคารวะที่จวนหรือสถานที่อื่นๆ
จวนฉู่กั๋วกงครึกครื้นเป็นพิเศษในเช้านี้ เรือนจี้ชั่งที่เงียบสงบมานาน ยามนี้มีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย สาวใช้ที่แม่นมหลานฝึกฝนมานั้นไม่เลวเลย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไม่เพียงสาวใช้ในเรือนจี้ชั่งเท่านั้น รวมทั้งสาวใช้ที่เรียกมาช่วยงานยังฝึกฝนเป็นอย่างดี ท่าทางฉลาดปราดเปรียวไม่ตื่นตระหนกใดๆ บรรดาสาวใช้ต่างทำงานขยันขันแข็งทว่าไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกวุ่นวายเลยแม้เพียงเล็กน้อย
เซี่ยฮูหยินพาเซี่ยฮูหยินน้อยและเซี่ยเพ่ยหวนมาถึงจวนฉู่กั๋วกงตั้งแต่เช้า สำหรับเรื่องนี้หนานกงไหวผู้ที่เป็นใหญ่ในจวนฉู่กั๋วกงยังต้องระมัดระวัง มารอต้อนรับเซี่ยฮูหยินด้วยตนเองที่ห้องโถงใหญ่
“มั่วเอ๋อร์อายุยังน้อย งานวันนี้คงต้องรบกวนเซี่ยฮูหยินแล้ว” หนานกงไหวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยฮูหยินนั่งลงในตำแหน่งหลักของแขก แม้จะมีรอยยิ้มทว่ากลับยังมีความน่าเกรงขามอยู่ด้วย พยักหน้าตอบรับเบาๆ พลางเอ่ย “ตระกูลเซี่ยและตระกูลเมิ่งผูกพันกันมาเนิ่นนาน ก่อนออกมานายหญิงใหญ่เซี่ยได้กำชับมาอย่างดี ฉู่กั๋วกงวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
เจิ้งซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างหนานกงไหว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มีเซี่ยฮูหยินคอยช่วยเหลือ แน่นอนว่าพวกเราวางใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฮูหยินก้มหน้าดื่มชา ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเจิ้งซื่อ ท่าทางเช่นนี้เรียกได้ว่าหยาบคาย เดิมเจิ้งซื่อคือฮูหยินของฉู่กั๋วกง และเซี่ยฮูหยินนั้นเป็นโหวฮูหยิน ต่ำกว่านางหนึ่งขั้น แน่นอนว่าจะเสียมารยาทเช่นนี้เป็นสิ่งไม่สมควร ทว่าน่าเสียดายที่เจิ้งซื่อฮูหยินของฉู่กั๋วกงผู้นี้คุณสมบัติไม่เพียงพอ ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท หากจะยกขึ้นมาจริงๆ ก็คงสู้ฮูหยินของขุนนางขั้นห้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เซี่ยฮูหยินจึงทำราวกับนางไม่มีตัวตน นางทำได้เพียงอดทนไว้ รอยยิ้มของเจิ้งซื่อพลันแข็งทื่อ เซี่ยฮูหยินน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่กล่าวไม่ผิดเลย มั่วเอ๋อร์ฉลาดเป็นที่สุด ไหนเลยจะรบกวนอันใด พวกเรามาเพียงแค่ช่วยเป็นลูกมือก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “พี่ซูชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฮูหยินวางถ้วยชาลง มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นสายตาหยุดลงที่หลินซื่อ ขมวดคิ้วถาม “ท่านนี้คือฮูหยินน้อยหรือ”
หลินซื่อตกใจ ประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานโดยไม่คาดฝัน รีบลุกขึ้น “คารวะเซี่ยฮูหยินเจ้าค่ะ”
เพราะความสัมพันธ์ของเจิ้งซื่อกับเหล่าสตรีจวนอื่นๆ ในเมืองหลวงนั้นไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้หนานกงชวี่เองก็พึ่งเข้ารับราชการ มีงานเลี้ยงที่ใดทุกคนต่างก็มองข้ามที่จะส่งเทียบเชิญมายังจวนฉู่กั๋วกง หลินซื่อเข้ามาอยู่ที่นี่สองสามปีแล้วก็ยังไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหน คนในเมืองหลวงที่รู้จักนางก็มีไม่มาก ยิ่งกับเซี่ยฮูหยินนั้นยิ่งไม่รู้จักเข้าไปใหญ่ มองท่าทางลุกลี้ลุกลนของหลินซื่อ เซี่ยฮูหยินจึงขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังหนานกงไหวจึงแปลกออกไป
ภรรยาเอกของบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักนั้นสำคัญเพียงใด เป็นไปได้ว่าจะเป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูลในอนาคตเลยก็ว่าได้ บุคคลเช่นนี้แม้จะชนชั้นต่ำกว่า แต่ฝีมือและบุคลิกไม่ควรขาด ทว่าหนานกงฮูหยินน้อยผู้นี้ ชาติตระกูล ทักษะ บุคลิกล้วนไม่มี หากในอนาคตคุณชายใหญ่รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำของจวนฉู่กั๋วกงจริงๆ ฮูหยินน้อยผู้นี้จะรับผิดชอบตระกูลหนานกงได้จริงๆ น่ะหรือ หรือว่า…เซี่ยฮูหยินมองไปยังเจิ้งซื่อที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ดวงตาฉายแววรังเกียจมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าหนานกงไหวเองก็รู้ว่าลูกสะใภ้คนนี้นิสัยอ่อนไหว เพียงแต่เขาเองก็มีพื้นฐานมาจากรากหญ้า ไหนเลยจะมีตระกูลใหญ่มาสนใจ อีกทั้งเจิ้งซื่อนั้นดูแลตระกูลหนานกงได้ไม่เลวมาตลอด เขาจึงไม่คิดว่านิสัยของหลินซื่อนับเป็นปัญหาแต่อย่างใด เมื่อเห็นเซี่ยฮูหยินเป็นเช่นนี้ จึงเพียงยิ้มเอ่ย “นางมาจากตระกูลเล็กๆ ขอฮูหยินอย่าถือสา”
เซี่ยฮูหยินได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ เซี่ยฮูหยินน้อยของตระกูลเซี่ยเองก็มิได้มาจากตระกูลใหญ่โตอันใด ตอนนั้นเพื่อเลี่ยงความขัดแย้งที่ฝ่าบาทมีต่อตระกูลเซี่ย ฮูหยินน้อยตระกูลเซี่ยเองจึงมาจากตระกูลปราชญ์ทั่วไป ทว่าบุคลิกและฝีมือนั้นไม่ได้แย่ เรียนรู้จากแม่สามีมาตลอดสองปี ตอนนี้ฮูหยินน้อยออกไปข้างนอกใครจะกล้าดูถูกนาง
เซี่ยฮูหยินถอนหายใจ “ช่างเถิด สายแล้วเราควรไปเตรียมตัวได้แล้ว”
หนานกงไหวยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เจิ้งซื่อก็รีบเอ่ยขึ้น “ฮูหยินพูดถูก ซูเอ๋อร์ รีบตามไปช่วยพี่สาวและพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด” หนานกงซูขมวดคิ้วไม่พอใจ สุดท้ายก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เซี่ยฮูหยินเลิกคิ้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงลุกขึ้นและจูงมือหนานกงมั่วออกไป
กลุ่มคนเดินอยู่ในเรือนจี้ชั่ง เซี่ยฮูหยินถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ครั้งก่อนที่มา ก็เมื่อสิบปีที่แล้ว ทิวทัศน์ที่เรือนจี้ชั่งนี้ไม่เปลี่ยนไปเลย”
หนานกงมั่วเดินอยู่ข้างกายเซี่ยฮูหยิน เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ต้องรบกวนท่านป้าเซี่ยแล้ว”
เซี่ยฮูหลินตบลงบนหลังมือหนานกงมั่ว เอ่ยเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้จะเกรงใจอะไรกับข้านัก ครั้งก่อนอยู่ที่ตานหยางก็ยังไม่ได้พูดคุยกับเจ้าเลย หลายวันก่อนเจ้าไปจวนตระกูลเซี่ย ข้าก็ออกไปทำธุระกับนายท่านเซี่ย วันนี้ได้ดูดีๆ แล้ว เรียบร้อยกว่าเจ้าเด็กสามของเราเยอะทีเดียว”
“ท่านแม่” เซี่ยเพ่ยหวนไม่ยอม “ท่านแม่ท่านเหมือนท่านยายเลย เห็นมั่วเอ๋อร์แล้วก็รังเกียจบุตรีแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้ ตัวเองไม่ดีแล้วยังไม่ยอมให้คนอื่นพูดอีก” เซี่ยฮูหยินดีดหน้าผากบุตรีเบาๆ หนานกงมั่วตื้อชวนเซี่ยเพ่ยหวนมาร่วมงานเลี้ยง เซี่ยฮูหยินรู้สึกขอบคุณเป็นที่สุด เมื่อหมั้นหมายกับองค์ชายสิบเก้าแล้ว สามีต้องการให้ภรรยาตาย ภรรยาย่อมมิตายมิได้ พวกเขาทำสิ่งใดมิได้เลย แต่ก็หวังเพียงให้บุตรีมิต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้บุตรีจะมิได้กักขังตัวเองไว้มิยอมพบใคร แต่ก็มิได้ออกไปร่วมงานสังสรรค์ใดๆ กับใคร ยากนักกว่าหนานกงมั่วจะโน้มน้าวนางได้
เซี่ยเพ่ยหวนหัวเราะ มองผู้คนที่เดิกขวักไขว่ไปมา เอ่ยขึ้น “มั่วเอ๋อร์ เจ้าจัดเตรียมได้ดีมากทีเดียว ดูเหมือนจะมิมีสิ่งใดให้เราได้ช่วยแล้ว”