เอ่อ…
หนานกงมั่วนั่งฟังองค์หญิงฉังผิงอยู่เงียบๆ ส่วนมากก็คือเอ่ยถึงความดีของเว่ยจวินมั่ว แม้ส่วนใหญ่สิ่งที่องค์หญิงฉังผิงบอกนั้นนางจะไม่เคยเห็นจากตัวเว่ยจวินมั่วก็ตาม ทว่าก็เพียงพอให้นางได้รู้ว่าองค์หญิงฉังผิงใส่ใจกับบุตรชายผู้นี้เพียงใด คิดๆ ดูแล้วเว่ยจวินมั่วอายุเลยยี่สิบปีทว่ากลับยังไม่แต่งงาน องค์หญิงฉังผิงคงร้อนใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย จนไม่สนใจว่าลูกสะใภ้จะมีความรู้และฐานะเช่นไร ถึงขั้นขอให้มีความเป็นผู้หญิงเท่านั้นก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ
สุดท้ายองค์หญิงฉังผิงจึงอยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกันที่จวนตระกูลเซี่ย จากนั้นบอกลานายหญิงใหญ่เซี่ยไปพร้อมกับหนานกงมั่ว เซี่ยฮูหยินน้อยพาเหล่าสตรีในจวนตามออกมาส่งทั้งสองที่หน้าประตูใหญ่ ก่อนจะกลับไป เมื่อเดินออกประตูมาก็มองเห็นชายผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าครามกำลังยืนพิงรถม้าขององค์หญิงฉังผิงที่จอดอยู่หน้าจวน สายตาเย็นชามองออกไปไกลไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวตรงหน้าประตู เว่ยจวินมั่วจึงรีบยืดตัวขึ้น หันไปหาองค์หญิงฉังผิง “เสด็จแม่”
มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้เดียงสาของลูกชาย องค์หญิงฉังผิงจึงยิ้มออกมา ชี้ไปยังหนานกงมั่ว “แม่กลับไปเองก็ได้ เจ้าไปส่งอู๋สยาเถิด”
เว่ยจวินมั่วรู้ว่านั่นหมายความว่ามารดาพอใจสะใภ้ผู้นี้มาก ดวงตาจึงอ่อนโยนลง หันไปมองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วรีบเอ่ย “องค์หญิง ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันกลับเองก็ได้เพคะ” องค์หญิงฉังผิงคิดว่านางกำลังขวยเขิน ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “จะได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นผู้หญิง ให้จวินเอ๋อร์ไปส่งน่ะดีแล้ว”
ใบหน้าหนานกงมั่วมัวหมอง จวนตระกูลเซี่ยห่างจากจวนฉู่กั๋วกงเพียงหนึ่งเส้นถนน ไหนเลยจะเกิดเรื่องได้
“ไปเถิด” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ สายตาที่มองมายังหนานกงมั่วนั้นมิยอมให้ปฏิเสธ หนานกงมั่วกัดฟันอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับต้องถวายพระพรต่อองค์หญิงฉังผิงอย่างงดงาม “เช่นนี้ หม่อมฉันขอทูลลาแล้วเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า ยิ้มบางๆ ส่งให้ “ระวังด้วย หากมีเวลาก็มาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าที่จวนได้”
ในรถม้า หนานกงมั่วหลับตาลงทำสมาธิ ไม่สนใจสายตาที่มองมายังตน เว่ยจวินมั่วนั่งอยู่อีกฝั่ง มองหญิงสาวงดงามตรงหน้า ดวงตาสีม่วงมีแววขำขัน “อู๋สยา โกรธหรือ”
หนานกงมั่วลืมตาขึ้น กลอกตาใส่เขาอย่างไม่ไว้หน้า รอยยิ้มในดวงตาของเว่ยจวินมั่วยิ่งมีมากขึ้น เอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่บอกว่ารอให้งานเลี้ยงที่จวนฉู่กั๋วกงเสร็จสิ้น แล้วจะไปส่งของกำนัลที่จวนฉู่กั๋วกง”
“ท่านจะแต่งกับข้าจริงๆ หรือ” หนานกงมั่วถาม
“ข้าคิดว่า เราตกลงกันแล้วเสียอีก อู๋สยาอยากกลับคำงั้นหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่รู้เหตุใดหนานกงมั่วจึงรู้สึกถึงความอันตราย ไม่นานก็เบิกตากว้างมองชายตรงหน้าด้วยท่าทีระมัดระวัง เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า เอ่ยต่อ “อู๋สยากลัวข้าหรือ” หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ “ข้าบอกว่าข้ากลัวท่านหรือ”
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมา ขยี้ผมบนศีรษะนางแผ่วเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “งั้นต้องว่าง่าย ข้าไม่ต่อยเจ้าหรอก”
เพียะ! หนานกงมั่วปัดมือเขาออกโดยไม่เกรงใจ ใครจะต่อยใครก็ไม่แน่
เว่ยจวินมั่วก็ไม่โกรธ ถอนมือกลับมาเงียบๆ เปล่งคำพูดออกมาเสียงเบา “แม่เสือ”
“เว่ยซื่อจื่อปากร้ายเช่นนี้ คนเมืองจินหลิงรู้หรือไม่” หนานกงมั่วกัดฟันเอ่ย แม่เสืองั้นหรือ แม้ข้าจะเป็นนักฆ่า ก็เป็นนักฆ่าที่อ่อนโยนจิตใจดีน่ะรู้หรือไม่
เว่ยจวินมั่วมองนางนิ่ง “คนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ไม่ต้องรีบร้อน อู๋สยารู้ก็เพียงพอแล้ว”
คันมือเสียจริง…อยากฆ่าเขาให้ตาย หนานกงมั่วหรี่ตาลง ริมฝีปากสีชมพูราวกับเด็กยิ้มจืด ยกมือขึ้นจับผมทัดหู กัดฟันพลางเอ่ย “ตอนนี้ ข้า รู้ แล้ว”
เว่ยจวินมั่วหยิบแอปเปิลบนโต๊ะในรถม้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขายื่นไปให้ เอ่ยขึ้น “อย่าโกรธเลย”
หนานกงมั่วยิ้มบาง ยื่นมือไปรับ เอ่ยตอบกลับ “ข้ามิได้โกรธ”
ไม่เหมือนโกรธเลยสักนิด
เว่ยจวินมั่วลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร ในชั่วอายุยี่สิบกว่าปี นอกจากมารดาแล้วเขาก็ไม่เคยปลอบโยนผู้ใด แม้แต่มารดาเองก็ยังปลอบได้ไม่ดี ดังนั้นเมื่อเห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าเล็กและดวงตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงตรงหน้า เว่ยซื่อจื่อจึงทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วครู่
“โอ้ ระวัง” รถม้าที่นั่งมาพลันไหวแรง ร่างของหนานกงมั่วพุ่งไปยังโต๊ะตรงหน้า เว่ยจวินมั่วยืดแขนออกไปประคองนางเอาไว้ “ระวัง”
ม้าดูตื่นตระหนก รถม้าโคลงเคลงไม่หยุด อีกทั้งยังโคลงเคลงแรงขึ้น เว่ยจวินมั่วคว้าตัวหนานกงมั่วเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเพื่อกันไม่ให้นางไปชนกับสิ่งใด ชีวิตในภพที่แล้วของหนานกงมั่วที่ใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีนั้นไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนมากถึงเพียงนี้มาก่อน ตอนนี้ไม่สนใจแม้กระทั่งการซ่อนเรี่ยวแรงของตนเอง ยกมือขึ้นตีไปยังเว่ยจวินมั่วโดยไม่ลังเล ครั้งที่แล้วนางอดทน แต่ใช่ว่าจะทำเช่นนี้กับนางได้เป็นครั้งที่สองครั้งที่สามอีก
เว่ยจวินมั่วไม่ตกใจแม้เพียงเล็กน้อย ยกมือขึ้นกันมือหนานกงมั่วที่กำลังจะฟาดลงมา คิ้วสวยของนางเลิกขึ้น มืออีกข้างก็ตามลงมาอีก เว่ยจวินมั่วยกแขนขึ้น พลิกนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด มืออีกข้างก็จับมือนางเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงเบา “เด็กดี อย่าดื้อ”
หนานกงมั่วโกรธจนหน้าแดง หากอยู่ข้างนอกนางคงได้สู้กับเว่ยจวินมั่วสักตั้ง ทว่าอยู่ในนี้ระยะความคับแคบเช่นนี้ไม่ถนัดเลย เห็นได้ชัดว่าใครมีกำลังมากกว่าผู้นั้นก็ได้เปรียบไป หากทั้งสองต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ข้าวของในรถม้าได้เละเทะ เช่นนั้นคงแย่แน่ แต่การปลอบโยนราวกับนางเป็นเด็กของเว่ยจวินมั่วกลับยิ่งทำให้หนานกงมั่วไม่พอใจมากยิ่งขึ้น กัดฟัน ก้มลงไปฝังเขี้ยวเข้าไปที่แขนของเขาซึ่งกำลังโอบรัดตัวนางอยู่
“โอ๊ย ระวังๆ” รถม้าสั่นคลอน เว่ยจวินมั่วโดนกระแทกอัดเข้าไปด้านหลัง หนานกงมั่วที่โดนเขากอดเอาไว้ก็ลอยตามกันไป โชคดีที่เว่ยจวินมั่วอยู่ด้านหลัง ไม่เช่นนั้นคงกระแทกจนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เว่ยจวินมั่วพ่นลมออกมา ก้มหน้าลง “เจ็บ” หนานกงมั่วชะงัก หันกลับมามองเขา “เจ็บหนักหรือ”
“กระแทกน่ะ” เว่ยจวินมั่วเอ่ย ใบหน้าเรียบเฉยมองไม่ออกว่าเจ็บปวด แต่หนานกงมั่วเองก็รู้ว่าเมื่อสักครู่กระแทกเข้าไปไม่เบาเลย รีบตีมือเขา เอ่ยต่อว่า “รีบปล่อยข้า ใครใช้ให้เจ้า…” ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ทำเพื่อนาง หนานกงมั่วจึงไม่เอ่ยว่าเขายุ่งเรื่องชาวบ้านออกมา ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น
ด้านนอกเหมือนคนขับรถม้าจะควบคุมรถม้าไว้ได้แล้ว จึงหันกลับมาเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ม้าตกใจขอรับ คุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำผู้ใดเจ็บใช่หรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถาม คนขับรถม้าส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
“ผู้ใดบอกว่าไม่มี” ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้น “คุณชายเยี่ยงข้ามิใช่คนหรืออย่างไร ข้าได้รับบาดเจ็บ” ด้านนอกรถม้า คนขับรถม้ามองชายในชุดผ้าแพรตรงหน้า “คุณชายท่านนี้ ก็เห็นอยู่ว่าท่านวิ่งออกมากะทันหัน… ยิ่งไปกว่านั้น ม้าก็ไม่ได้เตะโดนท่านด้วยซ้ำ” หากไม่ใช่เพราะคุณชายท่านนี้โผล่มากะทันหัน รถม้าของเขาจะตกใจได้อย่างไร