คุณหนูซุนดีอกดีใจ “ขอบคุณคุณหนูหนานกง เจ้าเรียกข้าว่าเหยียนเอ๋อร์ก็ได้”
หนานกงมั่วพยักหน้ารับ “เหยียนเอ๋อร์ เดี๋ยวข้าจะให้คนพาเจ้าไป” เมื่อหันไป สาวใช้ด้านข้างก็รีบเดินนำไป ขณะกำลังจะพาซุนเหยียนเดินออกไปด้วย เซี่ยเพ่ยหวนกลับเอ่ยขึ้น “มั่วเอ๋อร์ หากเจ้าไม่รังเกียจ เดี๋ยวข้าจะพาคุณหนูซุนไปเอง เจ้ายังต้องอยู่กับแขกอีก” ซุนเหยียนเองก็รู้จักเซี่ยเพ่ยหวน รีบเอ่ยบอก “ที่ไหนกัน ต้องรบกวนคุณหนูเซี่ยแล้ว”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มบาง “เราไปกันเถิด”
หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้ห้าม โบกมือด้วยรอยยิ้ม เอ่ยตอบ “งั้นต้องรบกวนเจ้าแล้วเพ่ยหวน”
เซี่ยเพ่ยหวนโบกมือ อารมณ์ดี นางพบว่าความจริงการออกมาก็มิใช่เรื่องยาก แม้จะมีหลายคนที่รังเกียจเพราะสถานะของนาง แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ใส่ใจอยู่เช่นกัน อย่างที่มั่วเอ๋อร์บอก ไยต้องสนใจพวกที่ต้องการทำร้ายเรา
มองทั้งสองเดินห่างออกไป หนานกงมั่วยิ้มพลางส่ายหน้า ขณะนั้นที่ด้านนอกศาลา เฟิงเหอรีบเดินเข้ามาหา เอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ มีคำสั่งอันใดไหมเจ้าคะ” หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรแล้ว คุณหนูรองและฮูหยินน้อยฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงเหอตอบ “คุณหนูรองกำลังพาพวกคุณหนูหยวนวาดรูปเจ้าค่ะ ฝั่งฮูหยินน้อยมีเซี่ยฮูหยินน้อยอยู่ไม่มีสิ่งใดน่าห่วงเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยต่อ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดสิ่งใดขึ้นเล่า”
เฟิงเหอยิ้ม “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยก็ได้ยินเหล่าคุณหนูชมกันว่าเรือนจี้ชั่งของเราสวย และสนุกด้วย เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร” หนานกงมั่วถาม เฟิงเหอขมวดคิ้ว “เมื่อสักครู่เจิ้งฮูหยินจะเข้ามา ทว่าถูกแม่นมหลานห้ามเอาไว้เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “นางจะมาทำไมกัน”
เฟิงเหอเอ่ยตอบ “วันนี้แม้จะมีเหล่าฮูหยินไม่มากนัก เพียงแต่ฮูหยินน้อยที่มาร่วมล้วนแล้วแต่มาจากตระกูลใหญ่ซึ่งมีอำนาจ คิดว่าเจิ้งฮูหยินคงอยากมาทำความรู้จักบ้างเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วยิ้มหยัน เอ่ยเสียงเรียบ “ส่งคนไปแจ้งท่านพ่อ วันนี้ให้เจิ้งฮูหยินพักผ่อนเถิด อย่าได้มารบกวนแขกเลย”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
“คุณหนูหนานกง รบกวนแล้ว” ด้านนอกศาลา หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวย่างกรายเข้ามา หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเห็นหญิงสาวตรงหน้าจึงยิ้มบางๆ พยักหน้าตอบ “คุณหนูจู”
จูชูอวี้ยิ้ม “ข้ามารบกวนคุณหนูหนานกงหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “คุณหนูจูเชิญนั่ง เฟิงเหอ ยกน้ำชาให้คุณหนูจู”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” เฟิงเหอย่อตัวเคารพ จากนั้นเดินออกไป
จูชูอวี้เดินเข้ามาในศาลา นั่งลงด้านหลังหนานกงมั่ว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “สมแล้วที่เป็นจวนฉู่กั๋วกง แม้แต่สาวใช้ยังได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี” หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูจูกล่าวเกินไปแล้ว คนข้างกายคุณหนูจูเองก็มิใช่คนธรรมดา” นี่ไม่ใช่การชื่นชมเพื่อเอาอกเอาใจ สาวใช้เคียงกายของจูชูอวี้นั้นคนหนึ่งสวยไม่แพ้บรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ อีกคนแม้หน้าตาจะธรรมดาทว่าแววตานั้นสาวใช้ทั่วไปคงมิอาจมีได้ ยิ่งกว่านั้นก็คือภายใต้ใบหน้างดงามนั่น ดูออกว่าคงพอมีวรยุทธ์อยู่บ้างแม้จะปกปิดเอาไว้ ทว่ายังไม่พ้นสายตาของหนานกงมั่ว
จูชูอวี้เอ่ย “สาวใช้ทั้งสองของข้าไหนเลยจะสู้สาวใช้เคียงกายคุณหนูหนานกงได้”
หนานกงมั่วมิได้ปฏิเสธกลับไป หากจะบอกตามตรงพวกเฟิงเหอนั้นคงสู้สาวใช้เคียงกายสองคนนี้ของคุณหนูจูไม่ได้หรอก เพียงแต่นางแปลกใจ เหตุใดจูชูอวี้ผู้นี้ถึงได้อยากเข้าใกล้นางหลายต่อหลายครั้ง
“หนานกงมั่วกลับจินหลิงมาไม่นาน หากมีสิ่งใดไม่เหมาะสม ขอคุณหนูจูอย่าได้ถือสา” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
จูชูอวี้ยิ้มบางๆ “คุณหนูหนานกงเกรงใจเกินไปแล้ว ครั้งที่แล้วพี่ชายล่วงเกินคุณหนูหนานกง ชูอวี้ต้องขออภัยแทนเขาด้วย ขอคุณหนูได้โปรดอภัย”
หนานกงมั่วหลุบตาลง ดวงตาเยือกเย็นลง เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องเล็กน้อย คุณหนูจูไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
จูชูอวี้เอ่ย “คุณหนูหนานกงจิตใจกว้างขวาง ข้าก็วางใจแล้ว คราที่แล้วได้เจอรู้สึกถูกชะตาต่อคุณหนูหนานกงเป็นอย่างยิ่ง หากคุณหนูหนานกงมิรังเกียจ ขอชูอวี้ได้เป็นเพื่อนกับคุณหนูหนานกงได้หรือไม่ มิรู้ว่าคุณหนูมีความเห็นเช่นไร” หนานกงมั่วเชยตาขึ้น มองหญิงสาวใบหน้างดงามในอาภรณ์สีขาว จูชูอวี้เป็นผู้หญิงสวย รูปลักษณ์ดูสง่างามและอ่อนโยนไร้พิษสง แต่หนานกงมั่วรู้ว่าจูชูอวี้มิใช่หญิงอ่อนแอบอบบางไร้พิษสงเป็นแน่ อย่างน้อยนางก็ไม่มีทางยอมให้เข้าใกล้ได้อย่างเซี่ยเพ่ยหวนหรือซุนเหยียน ส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วหนานกงมั่วจึงเอ่ยว่า “วันนี้ได้พบนับว่ามีวาสนา ทุกคนต่างก็เป็นมิตรสหายกันมิใช่หรือ”
จูชูอวี้ดวงตาวาววับ ยิ้มตอบ “คุณหนูหนานกงกล่าวได้ถูกต้อง ทุกคนล้วนเป็นมิตรสหาย”
ทั้งสองคุยสัพเพเหระกันต่ออีกชั่วครู่ จูชูอวี้จึงขอตัวลา มองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินห่างออกไป หนานกงมั่วยกมือขึ้นเท้าคางท่าทางครุ่นคิด ช่างเป็นสตรีที่…น่าสนใจ
หนานกงมั่วพูดคุยกับเหล่าสตรีอยู่ชั่วครู่ สาวใช้ที่คอยรับใช้หนานกงไหวก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งรีบ เอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านพ่อมีเรื่องใดหรือ”
สาวใช้เอ่ยตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “มีแขกชั้นสูงหลายท่านมายังเรือนด้านหน้า นายท่านจึงสั่งให้มาตามคุณหนูทั้งสองเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ตอนนี้มีแขกเต็มเรือนจี้ชั่ง ยังจะเรียกนางออกไปพบแขกที่ไหนอีกเล่า ยามนี้ไม่เชิญมายังเรือนจี้ชั่ง คาดว่าคงไม่ใช่สตรี เรียกนางที่ยังไม่ออกเรือนไปต้อนรับแขกที่เป็นบุรุษเช่นนี้ มิรู้ว่าบิดาอย่างหนานกงไหวคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อเห็นว่าหนานกงมั่วขมวดคิ้วมุ่น บรรดาคุณหนูจึงบอกให้หนานกงมั่วไปทำธุระก่อนเถิด หนานกงมั่วจึงจำต้องตามน้ำและแยกออกมา เดินตามสาวใช้ออกจากเรือนจี้ชั่งไป
เมื่อถึงหน้าประตูเรือนก็พบกับหนานกงซูที่รีบร้อนวิ่งออกมา ด้านหลังมีสาวใช้เคียงกายของเจิ้งซื่อวิ่งตามหลัง ตั้งแต่หนานกงมั่วเข้ามาอยู่ที่เรือนจี้ชั่ง ทุกครั้งที่เจอกับกับหนานกงซูก็มักจะถูกนางชักสีหน้าใส่ ทว่าไม่นานใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มเบ่งบานราวกับดอกไม้ ดวงตาที่มองมายังหนานกงมั่วนั้นหยิ่งผยอง “ท่านพี่คงไม่รู้ใช่หรือไม่ ว่าหวงจั่งซุนมา”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย “หวงจั่งซุนมาแล้วจำเป็นต้องให้เราไปต้อนรับด้วยหรือ”
หนานกงซูส่งเสียงหยัน “ใครจะรู้เล่าว่าไยท่านพ่อถึงต้องเรียกท่านไปด้วย” นางย่อมมิต้องการให้หวงจั่งซุนพบกับหนานกงมั่ว
สาวใช้ที่เดินตามหลังหนานกงมั่วเอ่ยขัดเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง ผู้ที่มา…มิใช่เพียงหวงจั่งซุนเจ้าค่ะ ยังมีจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง…จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและองค์หญิงฉังผิงเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของหนานกงมั่วเต้นแรง เข้าใจในทันใด คิ้วสวยขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ มองเห็นว่ามีคนมากมายนั่งอยู่ในห้องโถง ใบหน้าเข้มของหนานกงไหวนั้นเต็มไปด้วยความปิติ ที่นั่งหลักของห้องโถงมีเย่ว์จวิ้นอ๋องเซียวเชียนเยี่ยและองค์หญิงฉังผิงนั่งอยู่ รองลงมาเป็นหนานกงไหวและจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เพราะการแต่งงานของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท ดังนั้นการส่งแม่สื่อมาเยือนฝั่งเจ้าสาวเพื่อขอแต่งงาน การขอวันเดือนปีเกิดของเจ้าสาว การเอาวันเดือนปีเกิดมาหาฤกษ์ยามและบอกกล่าวบรรพชนที่อยู่ในมารยาทธรรมเนียมหกประการ[1]จึงข้ามผ่านไปโดยปริยาย เห็นได้ชัดว่าวันนี้จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นมาเพื่อส่งของกำนัล เพียงไม่เข้าใจว่าเซียวเชียนเยี่ยตามมาด้วยได้เยี่ยงไร
[1] มารยาทธรรมเนียมหกประการ คือพิธีรีตองในการแต่งงานซึ่งสืบทอดมาจากครั้งสมัยราชวงศ์โจว ประกอบด้วย 6 ประการ ประการที่ 1 คือการที่ฝั่งเจ้าบ่าวให้แม่สื่อไปเยือนยังบ้านเจ้าสาวเพื่อทาบทามขอแต่งงาน ประการที่ 2 คือการขอวันเดือนปีเกิด ชื่อสกุลของเจ้าสาว ประการที่ 3 คือการเอาวันเดือนปีเกิดนั้นมาเพื่อเสี่ยงทาย เทียบคู่กับเจ้าบ่าว หาฤกษ์ยามและบอกกล่าวบรรพชน, ประการที่ 4 คือการส่งของหมั้นหมายให้ฝั่งเจ้าสาว ประการที่ 5 คือการกำหนดวันแต่งงาน ประการที่ 6 คือการรับตัวเจ้าสาวพร้อมสินเจ้าสาวมายังบ้านฝ่ายชาย