“ยังไม่เข้ามาถวายพระพรจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและองค์หญิงฉังผิงอีก” หนานกงไหวเห็นบุตรีทั้งสองเดินเข้ามาจึงเอ่ยบอก
“ถวายพระพรองค์หญิง ถวายพระพรท่านอ๋องทั้งสองเพคะ” ทั้งสองรีบกล่าวถวายพระพร องค์หญิงฉังผิงเมื่อมองเห็นหนานกงมั่วก็เผยรอยยิ้มสวยออกมาทันใด ยื่นมือออกมา “ไม่ต้องมากพิธี เด็กคนนี้…ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เกรงใจทำไมกัน วันนี้เจ้าแต่งตัวสวยมาก เด็กสาวแต่งตัวเช่นนี้สิถึงจะดูมีชีวิตชีวา ตอนข้าอยู่ในวัยหนุ่มสาวข้าก็ไม่ชอบอะไรจืดชืด” หนานกงซูที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวจืดชืดยืนกัดฟันอยู่เงียบๆ
เซียวเชียนเยี่ยมองหนานกงมั่วที่ยืนอยู่ข้างองค์หญิงฉังผิง ดวงตาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ยิ้มพลางเอ่ย “ดูเหมือนเสด็จอาจะชอบสะใภ้ผู้นี้มากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเสด็จอายิ้มด้วยรอยยิ้มยินดีเช่นนี้” จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมองรอยยิ้มงดงามขององค์หญิงฉังผิง รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
องค์หญิงฉังผิงกุมมือหนานกงมั่วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีลูกสะใภ้สวยถึงเพียงนี้จะไม่พอใจได้เยี่ยงไร เชียนเยี่ยอย่าได้แซวอาเลย ชายาของเย่ว์จวิ้นอ๋องเองก็ดีไม่แพ้กัน”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยตอบ “หากพระชายารู้ว่าเสด็จอาชมนาง นางคงจะดีใจมากพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉังผิงพูดคุยสนุกสนานกับเซียวเชียนเยี่ย ทว่าจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องกลับนั่งกระอักกระอ่วนอยู่ด้านข้าง กระแอมไอเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ฉู่กั๋วกง ผู้นี้คือบุตรีของท่านหรือ” หนานกงไหวยิ้มตอบ “ถูกแล้ว นี่คือบุตรีของข้าเอง” จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมองหนานกงมั่ว จากนั้นหันไปมองหนานกงซู แววตาฉายแววผิดหวัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจหนานกงมั่ว กลับกัน หญิงสาวตรงหน้านั้นดูโดดเด่น เขาไม่ต้องการให้เว่ยจวินมั่วแต่งงานกับสตรีที่เก่งเกินไป ไม่คิดว่าฝ่าบาทกลับพระราชทานสมรสกับสตรีนางนี้ให้ แค่มองก็รู้ว่าเหล่าสตรีในจวนของตนนั้นควบคุมนางไม่อยู่เป็นแน่
หนานกงมั่วถูกองค์หญิงฉังผิงจูงมือเอาไว้พลางพูดคุยไปด้วย เหลือบมองที่นั่งรองลงมา ทว่าไม่เห็นเว่ยจวินมั่ว องค์หญิงฉังผิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีละอายใจ “จวินเอ๋อร์มิได้มาด้วยตนเอง ต้องขอฉู่กั๋วกงได้โปรดอภัย หลายวันมานี้ร่างกายของเขาไม่ค่อยดีนัก… ตัวข้านี้รีบร้อนอยากมามอบของกำนัลแก่สะใภ้ผู้นี้…” องค์หญิงฉังผิงกล่าวเช่นนี้ ทั้งเป็นการบอกกล่าวถึงสาเหตุที่เว่ยจวินมั่วมิได้อยู่ตรงนี้ ขณะเดียวกันยังแสดงออกถึงความพึงพอใจที่นางมีต่อสะใภ้ผู้นี้ด้วย หนานกงซูยืนเงียบอยู่ด้านข้าง แอบเหลือบตามองเซียวเชียนเยี่ยที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วยสายตาคับแค้นใจ
เมื่อได้ยินองค์หญิงฉังผิงบอกว่าเว่ยจวินมั่วไม่สบาย หนานกงมั่วจึงหลุบตาลง คนรอบข้างเองก็ไม่แปลกใจ เพียงคิดว่าหนานกงมั่วกำลังเขินอายเท่านั้น
องค์หญิงฉังผิงยิ้มขำออกมา ยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นไปตรงหน้าหนานกงมั่ว “เด็กดี เจ้าดูสิว่ายังมิพอใจอันใดหรือไม่ หากมีสิ่งใดน้อยไปเดี๋ยวข้าจะชดเชยให้เจ้าเอง”
หนานกงมั่วก้มลงไปมอง ที่แท้เป็นรายการสินสอดจากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เมื่ออ่านอย่างละเอียด หนานกงมั่วก็ต้องตกใจ สินสอดที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมอบให้เรียกได้ว่ามหาศาล ผ้ามากมายหลายชนิด ที่ดิน กิจการร้านต่างๆ ถูกเขียนมาเต็มแผ่นกระดาษ นับรวมกันแล้วได้กว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแปดหาบ อีกทั้งยังไม่ใช่ของไร้ค่าเพื่อยัดมาให้ครบร้อยยี่สิบแปดหาบ เมื่อดูให้ละเอียดจะพบว่าของหลายอย่างในนี้เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่องค์หญิงฉังผิงเพิ่มเข้ามาด้วยตนเอง ไม่ใช่ของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ดังเช่นที่นาในนี้ เท่าที่นางรู้ ที่นาตรงนี้ควรเป็นพื้นที่ของราชวงศ์ คาดว่าคงเป็นสินเจ้าสาวเมื่อครั้งองค์หญิงฉังผิงแต่งงานออกเรือน
มองหนานกงมั่วก้มหน้าอ่านรายการ เจิ้งซื่อที่ยืนอยู่ข้างหนานกงไหวก็กำผ้าแน่น ผู้ใหญ่ยังไม่ทันดู ไหนเลยจะมีสตรีนางไหนนำรายการไปดูเสียก่อน ไม่รู้จักอายเสียบ้าง
หนานกงมั่วอ่านจบอย่างรวดเร็ว ทั้งแผ่นนั้นนางจำได้คร่าวๆ แล้ว ยื่นมันให้หนานกงไหว เงยหน้าขึ้นหันกลับไปเอ่ยกับองค์หญิงฉังผิงเสียงเบา “ลำบากองค์หญิงแล้วเพคะ”
นี่ถือว่าพอใจแล้วใช่หรือไม่ องค์หญิงฉังผิงยิ้มดีใจ “ลำบากอันใดกัน นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำมิใช่หรือ”
เมื่ออ่านรายการ หนานกงไหวก็อดสูดหายใจลึกไม่ได้ เว่ยจวินมั่วไม่ได้รับความเมตตามากนักเมื่ออยู่ที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ทว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องกลับมอบสินสอดจำนวนมหาศาลเช่นนี้นับว่าเป็นการแสดงความจริงใจได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สินเจ้าสาวของมั่วเอ๋อร์และซูเอ๋อร์ก็คงมีปัญหาแน่ มิใช่ว่าหนานกงไหวไม่มีทรัพย์สิน แต่หนานกงซูที่ตั้งมั่นจะแต่งเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องนั้นคงไม่สามารถนำสินเจ้าสาวติดตัวไปได้มากเพียงนี้ เมื่อครั้งสกุลหยวนแต่งเข้าเป็นชายาของเย่ว์จวิ้นอ๋องมีสินเจ้าสาวเพียงหนึ่งร้อยแปดหาบ หนานกงซูแต่งไปเป็นชายารอง จะมากกว่าชายาเอกไม่ได้ เมื่อนึกถึงความวุ่นวายของเจิ้งซื่อและหนานกงซูขึ้นมา หนานกงไหวก็ปวดขมับ
“ฉู่กั๋วกง ไม่พอใจอันใดหรือไม่” องค์หญิงฉังผิงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา นางตั้งใจเตรียมสินสอดเป็นอย่างดี หากหนานกงมั่วรู้สึกว่าขาดสิ่งใดไปนั้นไม่เป็นไร แต่เมื่อหนานกงไหวรู้สึกว่ามันน้อยคงไม่ถูกต้องแล้ว นางได้จัดเตรียมตามหลักปฏิบัติของเชื้อพระวงศ์เชียวนะ
หนานกงไหวได้สติกลับมา รีบเอ่ยตอบ “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเอ็นดูมั่วเอ๋อร์นับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว”
องค์หญิงฉังผิงจึงคลายใจลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อฉู่กั๋วกงไม่ติดขัดสิ่งใด ข้าก็วางใจแล้ว กลับไปเดี๋ยวข้าจะให้สำนักหอดูดาวหลวงช่วยดูฤกษ์ยาม เราจะได้รีบจัดพิธีให้เรียบร้อย ฉู่กั๋วกงมีความคิดเห็นเยี่ยงไร” แสดงออกมากเกินไปก็ไม่ดี แต่เช่นนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าองค์หญิงนั้นให้ความสำคัญกับสะใภ้ผู้นี้เพียงใด อีกทั้งยังไว้หน้าฉู่กั๋วกง แน่นอนว่าหนานกงไหวย่อมไม่ปฏิเสธ
เมื่อได้รับคำตอบที่ตนต้องการ องค์หญิงฉังผิงจึงลุกขึ้นด้วยความยินดี จูงมือหนานกงมั่ว เอ่ยว่า “เด็กดี วันนี้จวินเอ๋อร์มาไม่ได้ เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจ อีกสองวันข้าจะให้เขามาขอโทษเจ้า วันนี้ข้าจำได้ว่าเจ้าจัดงานเลี้ยง ไม่รบกวนเวลาของเจ้าแล้ว หากมีเวลาว่างอย่าลืมมาเล่นที่จวนกับข้า” หนานกงมั่วเกรงใจ รีบพยักหน้าพลางตอบรับ “หม่อมฉันไปส่งองค์หญิงเพคะ”
เมื่อองค์หญิงจะกลับแล้ว จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและเซียวเชียนเยี่ยจึงลุกขึ้น เซียวเชียนเยี่ยเล่นพัดในมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับเสด็จอาที่มีลูกสะใภ้ที่ดีเช่นนี้”
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยตอบ “วาจาเย่ว์จวิ้นอ๋องนั้นเป็นมงคลทีเดียว”
เซียวเชียนเยี่ยหันไปยิ้มให้หนานกงมั่ว เอ่ยขึ้น “ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หากคุณหนูหนานกงมีเวลา เชิญที่จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องได้ พระชายาเองก็ชื่นชมในตัวคุณหนูหนานกงเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายวันนี้พระชายากลับจวนเอ้อกั๋ว ไม่อย่างนั้นคงได้มาร่วมด้วยในวันนี้” หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยเย่ว์จวิ้นอ๋อง หากพระชายาได้มาเที่ยวจวนฉู่กั๋วกง ก็นับว่าเป็นวาสนาเช่นกันเพคะ” เซียวเชียนเยี่ยหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เดินตามหลังองค์หญิงฉังผิงออกไป มิได้เหลือบมองหนานกงซูเลยแม้เพียงนิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว หนานกงซูที่นั่งอยู่อีกฝั่งนั้นมองตามแผ่นหลังเซียวเชียนเยี่ยออกไปด้วยดวงตาแดงก่ำ
เมื่อส่งขบวนขององค์หญิงฉังผิงกลับแล้ว ทุกคนจึงกลับมายังห้องโถงใหญ่ เจิ้งซื่อถามอย่างแปลกใจ “นายท่าน สินสอดจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง…” แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นแล้วว่าสินสอดที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องให้มานั้นไม่น้อยเลย แต่เว่ยจวินมั่วอยู่ในฐานะใดที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องทุกคนในเมืองจินหลิงใครบ้างจะไม่รู้ เพราะเจิ้งซื่อเองก็มิได้ใส่ใจ เมื่อสักครู่เห็นว่าสายตาหนานกงไหวนั้นแปลกไปยิ่งมั่นใจว่าสินสอดที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องส่งมาก็คงเป็นเพียงเปลือกนอกที่ด้านในคงว่างเปล่า เหลือบตามองหนานกงมั่วเล็กน้อย ดวงตามีแววเย้ยหยัน ทว่าเห็นดวงตาอันเรียบนิ่งของหนานกงมั่วราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เจิ้งซื่อจึงอดคับแค้นใจมิได้