เว่ยจวินมั่วพยักหน้า จูงหนานกงมั่วมานั่งลงข้างกัน เอ่ยตอบ “ถูกแล้วขอรับ วันนี้พาอู๋สยามาเดินเล่น โชคดีมีโอกาสได้รับฟังไต้ซื่อบรรเลงฉิน”
เนี่ยนหย่วนไม่เอ่ยให้มากความ เพียงยิ้มบางๆ ก่อนที่จะก้มลงไปบรรเลงฉิน เสียงไพเราะเนิบนาบของฉินดังก้องไปทั่วทิศทาง แม้หนานกงมั่วจะไม่ชำนาญการเล่นฉิน ทว่าหลายปีมานี้หนานกงมั่วได้ร่ำเรียนกับอาจารย์อาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นฉิน หมาก เขียนพู่กัน วาดภาพ อีกทั้งทักษะการเล่นฉินของศิษย์พี่นางนั้นเรียกได้ว่าในใต้หล้าไม่มีใครทัดเทียมได้ นางจึงมีทักษะในการฟังดนตรีอยู่บ้าง ฝีมือการบรรเลงฉินของไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้นี้สมแล้วที่เว่ยจวินมั่วพานางมาฟัง ฝีมือเป็นเช่นไรนั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง ภายใต้บรรยากาศความเงียบสงบ เสียงบรรเลงฉินนี้ทำให้เหล่าบรรดาปรมาจารย์เพลงฉินเหล่านั้นเทียบไม่ได้แม้แต่ฝุ่น สมแล้วที่วัดต้ากวงหมิงเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงของจินหลิง ช่างเป็นสถานที่ซ่อนมังกรจริงๆ เพียงแต่เสียงบรรเลงฉินของเนี่ยนหย่วนนั้น สำหรับหนานกงมั่วแล้วปฏิเสธไม่ได้หากจะบอกว่ามันดูสันโดษและละทางโลกมากจนเกินไป นางคิดว่าบางทีนางอาจจะไร้วาสนาต่อพระพุทธศาสนาแล้วจริงๆ
เมื่อเพลงจบลง เนี่ยนหย่วนจึงเอ่ย “ฝีมือต่ำต้อย น่าอายต่อท่านทั้งสองแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มน้อยๆ ตอบ “เสียงแห่งธรรมชาติ ได้ฟังการบรรเลงฉินของไต้ซือ นับเป็นวาสนาทุกชาติไป”
เนี่ยนหย่วนส่ายศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหนานกงโกหกแล้ว แม่นางไม่ได้ชื่นชอบเพลงฉินของข้าเลยสักนิด”
เมื่อถูกมองออก หนานกงมั่วกลับมิได้รู้สึกละอาย ยังคงเอ่ยว่า “มิใช่เพลงฉินของไต้ซือไม่ไพเราะ เพียงแต่เพราะหนานกงมั่วนั้นไม่รู้ซึ้งในรสพระธรรม ยากที่จะเข้าใจยิ่งนัก”
เนี่ยนหย่วนโบกมือ ไม่สนใจว่าเพลงฉินของตนนั้นไม่เป็นที่ชื่นชม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นคำพูดที่เหมือนกับเว่ยซื่อจื่อเหลือเกิน จากท่าทางของแม่นางแล้ว คิดว่าแม่นางคงเคยได้ฟังเพลงฉินที่ไพเราะมากกว่าเนี่ยนหย่วนมาก่อนใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วไม่ปิดบัง พยักหน้าตอบ “ไม่เอ่ยเช่นนั้นดีกว่า เพียงแต่ถูกใจก็เท่านั้น”
“ใช่…คุณชายเสียนเกอที่ถูกขนานนามว่าหมอเทวดาอันดับหนึ่งใช่หรือไม่” เนี่ยนหย่วนเอ่ยถาม
หนานกงมั่วแปลกใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ตกใจมากแต่อย่างใด อย่างไรเสียศิษย์พี่ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ของเขาที่โดดเด่น ยังมีเพลงฉินของเขาอีกด้วย ได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการแพทย์และเพลงฉินไร้ผู้ใดเปรียบได้ หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ไม่คิดว่าไต้ซือก็รู้จักคุณชายเสียนเกอด้วย” เนี่ยนหย่วนเอ่ย “อาตมาออกเดินทางไปกราบไหว้วัดและภูเขาที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง เคยมีวาสนาพบกับคุณชายเสียนเกออยู่หนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของคุณชายเสียนเกอใครบ้างจะไม่รู้จัก”
ชื่อเสียงของคุณชายเสียนเกอนั้นโด่งดังไปทั่ว ทว่ารอบเมืองจินหลิงนั้นมีผู้รู้จักอยู่น้อยมาก อย่างไรเสียตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมาคุณชายเสียนเกอก็ไม่เคยมาปรากฏตัวที่จินหลิงเลยแม้สักครั้ง อย่างมากก็มีนักเขียนที่เขียนเรื่องคุณชายเสียนเกอเอามาเล่าขานต่อกันในโรงน้ำชา คนบางคนยังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นก็เท่านั้น
มิใช่ว่าจะชื่นชมตนเอง ทว่าหนานกงมั่วนั้นรู้สึกดีใจ ทั้งยังทำให้ถูกชะตากับพระนักบวชตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
แม้เนี่ยนหย่วนจะเป็นพระ ทว่าเขากลับไม่ใช่พระที่จะเอาแต่ท่องบทสวดและอยู่ในหลักศาสนาเพียงอย่างเดียว เขามีความรู้รอบด้าน ร่ำเรียนมาก็มาก วาจาสุภาพมีความเป็นคนแบบในสมัยเว่ย จิ้น[1]อยู่มาก คนเช่นนี้ หากไม่ได้เป็นพระ ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นชายในฝันของสตรีจำนวนล้นหลามมากเพียงใด ทั้งสามไม่ใช่คนร่าเริงและรักสนุก การนั่งพูดคุยกันอยู่ริมแอ่งน้ำจึงหาได้มีความครื้นเครงใดๆ ไม่ หนานกงมั่วนั่งฟังทั้งสองพูดคุยกัน พบว่ามิใช่เพียงเนี่ยนหย่วนเพียงเท่านั้น เว่ยจวินมั่วเองก็มีความรู้เป็นอย่างดีเช่นกัน ไม่ว่าจะพูดคุยเรื่องพระธรรมคำสอน หรือเรื่องอื่นทั่วไป ล้วนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาด้านข้าง ช่างไม่เหมือนยามปกติที่ดูเคร่งขรึมพูดน้อย เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินมั่วและเนี่ยนหย่วนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แม้จะไม่ได้สนิทเหมือนลิ่นฉังเฟิง แต่ก็ยังดีกว่าคนในเมืองจินหลิงหลายเท่า
“เซียวหลาง” เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งสามคนต่างชะงัก จากนั้นเว่ยจวินมั่วจึงคว้าหนานกงมั่วลากเข้าไปซ่อนตัวเหนือแอ่งน้ำ แม้เนี่ยนหย่วนไม่ได้เร็วอย่างเว่ยจวินมั่ว ทว่าคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อเขาลุกขึ้นยังมีเวลาโค้งตัวท่าทางนอบน้อมเพื่อบอกลา จากนั้นอุ้มฉินไว้ในอ้อมแขนและหมุนตัวเดินจากไป เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็เบี่ยงตัวหลบมายังถนนเส้นเล็กด้านหลังที่ที่หนานกงมั่วซ่อนตัวอยู่ ในตอนนั้นเองก็มองเห็นชายหญิงเดินตามกันมาจากทางตีนเขาไม่ไกล
ฝั่งหญิงสาว แน่นอนว่าคือหนานกงซู วันนี้หนานกงซูดูตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวเป็นพิเศษ วันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงอ่อน มีผ้าไหมสีม่วงอ่อนคลุมอยู่ที่ไหล่ ปักปิ่นงดงาม มีผีเสื้อสี่ตัวประดับอยู่รอบข้างคอยขยับส่ายไปมายามขยับตัว ทำให้นางดูน่ารักมากยิ่งขึ้น ใบหน้าสวยก็ตั้งใจแต่งมาเป็นพิเศษ บางทีอาจเป็นเพราะความงดงามของดอกโบตั๋น นางจึงเลือกละทิ้งการแต่งกายในแบบอ่อนหวานอย่างที่เคยแต่งมาตลอด วันนี้เลือกวาดดวงตาออกมาให้ดูสดใส คิ้วสวยถูกวาดเป็นดอกโบตั๋นด้วยสีทองสง่างาม ริมฝีปากบางที่เคยเป็นสีชมพูยังแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ดูสวยหยาดเยิ้มกว่าที่เคยเป็น แม้แต่หนานกงมั่วเองยังต้องยอมรับ หนานกงซูอาจจะไม่ใช่สตรีที่สวยที่สุด แต่เป็นหนึ่งในสตรีที่แต่งตัวเก่งทีเดียว สตรีเช่นนี้นั้นย่อมสามารถดึงดูดความสนใจจากบุรุษเพศได้เป็นอย่างดี เมื่อนางมองเจ้าราวกับชีวิตนี้มีเพียงเจ้าคนเดียว เช่นนั้นแล้ว แม้แต่เซียวเชียนเยี่ยที่เดิมเดินนำมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดและแข็งกระด้างยังต้องอ่อนลง
“ซูเอ๋อร์ ฉู่กั๋วกงบอกไปแล้วว่าช่วงนี้ไม่ให้เราพบกันมิใช่หรือ” เซียวเชียนเยี่ยมองหญิงสาวสวยตรงหน้า เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา บุรุษรักหญิงงาม แน่นอนว่าเซียวเชียนเยี่ยเองก็ไม่แตกต่าง เพียงแต่การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายโดยเฉพาะเชื้อสายหลักนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าตาอยู่แล้ว ต่อให้งดงามเพียงใดก็สู้ผู้ที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีอยู่แล้วมิได้ ดังนั้นชายาเอกของเซียวเชียนเยี่ยจึงเป็นเชื้อสายหลักจากจวนเอ้อกั๋วกงที่หน้าตาธรรมดา ไม่ใช่หญิงงามที่เป็นเชื้อสายรองจากจวนฉู่กั๋วกง บุรุษเพียงมีอำนาจ มีหรือจะหาหญิงงามมาครอบครองมิได้ ความงามของหนานกงซูนั้นถูกใจเขา แต่ย่อมปฏิเสธมิได้เช่นกันว่าหากหนานกงซูมิใช่บุตรีของหนานกงไหวมีหรือเขาจะสนใจ เมื่อคิดถึงหนานกงไหวขึ้นมา ในหัวของเซียวเชียนเยี่ยพลันมีใบหน้าสวยปรากฏขึ้นมา ดูอ่อนโยนสง่างามและเงียบสงบ แต่ดวงตากลับฉายแววฉลาดรู้เท่าทัน รู้สึกเสียดายอยู่ในใจ เซียวเชียนเยี่ยส่ายหน้าปัดความคิดนั้นทิ้งไป คนงามนั้นสำคัญก็จริง แต่เขาไม่ต้องการหมางใจกับเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง อีกทั้งยังมีเสด็จอาฉังผิง ย่อมมิอาจหมางใจเพียงเพราะสตรีนางเดียวได้
หนานกงซูดวงตาแดงก่ำ ท่าทีน้อยอกน้อยใจ “เซียวหลาง ท่านไม่คิดถึงซูเอ๋อร์สักนิดเลยหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน “หญิงโง่ ข้าไม่คิดถึงเจ้าแล้วจะคิดถึงใครได้ รออยู่บ้านเถิด รอพี่สาวเจ้าแต่งออกเรือนแล้วข้าจะสู่ขอเจ้าไปอยู่ที่จวน”
หนานกงซูอยู่ในอ้อมกอดของเซียวเชียนเยี่ยเงียบๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เซียวเชียนเยี่ยลูบหลังนางเบาๆ “ทำไม ใครทำให้เจ้าเสียใจงั้นหรือ”
หนานกงซูเอ่ยด้วยความโกรธแค้น “ตั้งแต่พี่สาวกลับมา ท่านพ่อก็ไม่มีข้าอยู่ในสายตาแล้ว เกรงว่ายามที่ข้าออกเรือนคงเตรียมสินเดิมเจ้าสาวได้ไม่ถึงสองส่วนของพี่สาวเสียด้วยซ้ำ ซูเอ๋อร์…ซูเอ๋อร์เกรงว่าจะทำให้พระองค์ต้องขายหน้า หากเป็นเช่นนี้…ซูเอ๋อร์ไหนเลยจะมีหน้าแต่งกับพระองค์…”
—————————————————————————————
[1] สมัยเว่ย จิ้น สมัยหนึ่งของจีนที่มีการสู้รบระหว่างชาติพันธุ์ทำให้มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย