ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นต้อนรับ คนจวนเอ้อกั๋วกงก็เดินเข้ามาถึงก่อนพร้อมด้วยอารมณ์โกรธ คนที่เดินนำเข้ามานั้นจะเป็นใครไปมิได้นอกจากเอ้อกั๋วกงผู้มีอายุเกือบหกสิบปี ด้านหลังคือผู้สืบทอดเอ้อกั๋วกงที่เดินตามเข้ามาและกวาดตามองพวกเขาด้วยท่าทีไม่พอใจ เมื่อเห็นดังนั้น หัวใจของหนานกงไหวก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาในทันใด
เอ้อกั๋วกงกวาดตามองผู้คนที่อยู่ตรงนั้น สายตาหยุดอยู่ที่เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเล็กน้อย สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นบ้าง “เว่ยซื่อจื่อก็อยู่ด้วยหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าช้าๆ เอ่ยตอบ “คารวะเอ้อกั๋วกง”
เอ้อกั๋วกงเอ่ย “ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี หม่อมฉันมาโดยกะทันหัน รบกวนซื่อจื่อหรือไม่” เอ้อกั๋วกงเองก็รู้ว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและจวนฉู่กั๋วกงกำลังจะเชื่อมสัมพันธ์เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเจอเว่ยจวินมั่วที่จวนฉู่กั๋วกงในเวลานี้ เช่นนี้คงจะยุ่งยากแล้ว หากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยืนอยู่ข้างจวนฉู่กั๋วกง… เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาที่มองไปยังเว่ยจวินมั่วจึงไม่ดีนัก
“เอ้อกั๋วกงมาถึงที่นี่ ตระกูลหนานกงเป็นเกียรติอย่างยิ่ง จะรบกวนได้เยี่ยงไร” เว่ยจวินมั่วไม่ทันเอ่ยตอบ หนานกงมั่วก็รีบเอ่ยขึ้น เมื่อหนานกงมั่วเอ่ยออกไปแล้ว หนานกงไหวจึงได้สติ หนานกงไหวยิ้มพลางเอ่ย “มั่วเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว เอ้อกั๋วกงเชิญนั่งก่อน”
เอ้อกั๋วกงมองหนานกงมั่ว หันกลับมาถาม “นี่คือบุตรีคนโตของท่านหรือ”
หนานกงไหวพยักหน้า “ถูกแล้ว มั่วเอ๋อร์ ยังไม่คารวะเอ้อกั๋วกงอีก”
หนานกงมั่วลุกขึ้น ยกมือขึ้นประสานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนานกงมั่วคารวะเอ้อกั๋วกง”
เอ้อกั๋วกงมองสำรวจหนานกงมั่วอย่างแปลกใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กผู้นี้น่าสนใจ” ชั่วครู่ จึงหันกลับไปหาหนานกงไหว “ดีกว่าคุณหนูรองของเจ้ามากทีเดียว” หนานกงไหวหัวใจหนักอึ้ง ที่แท้ก็เพราะซูเอ๋อร์ กวาดตามองเจิ้งซื่อด้วยสายตาเย็นเยียบ เจิ้งซื่อก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยอันใดมากความ
เมื่อแขกนั่งลงเรียบร้อย หนานกงไหวมองสังเกตสีหน้าของเอ้อกั๋วกง เอ่ยอย่างระแวดระวัง “เอ้อกั๋วกงไยจึงมีเวลามาถึงที่นี่ได้”
ใบหน้าของเอ้อกั๋วกงเข้มขึ้น ส่งเสียงหยัน “เจ้ายังกล้าถาม มิใช่เพราะบุตรีตัวดีของเจ้าหรอกหรือ” เดิมเอ้อกั๋วกงก็อายุมากกว่าหนานกงไหวอยู่แล้ว ทั้งสองยังมีตำแหน่งเท่าเทียมกัน ด้วยนิสัยของอีกฝ่ายเมื่อเอ่ยขึ้นจึงมิได้มีความเกรงใจต่อหนานกงไหว เอ่ยออกมาต่อหน้าเว่ยจวินมั่วผู้เป็นว่าที่บุตรเขยเช่นนี้ นับว่าตั้งใจไม่ไว้หน้าหนานกงไหวเลยแม้แต่น้อย
หนานกงไหวใบหน้าแข็งกระด้าง สูดหายใจเข้าลึก “กั๋วกงมีเรื่องใดโปรดนั่งลงคุยกันก่อนเถิด ไม่รู้ว่าบุตรีไปล่วงเกินให้เอ้อกั๋วกงไม่พอใจสิ่งใดหรือ”
เอ้อกั๋วกงเย้ยหยัน “ข้าเองคงมิกล้าเอ่ยออกมา คุณชายใหญ่ เจ้าเอ่ยมันออกมาเสีย”
ผู้สืบทอดเอ้อกั๋วกงที่ยืนอยู่ด้านหลังบิดาไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงน้องสาวของตนที่ต้องเสียใจ ภายใต้ดวงตานั้นเผยไฟแห่งโทสะแผดเผาออกมา เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดต้ากวงหมิงไปหนึ่งรอบ สุดท้ายยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “สถานที่แห่งพระพุทธศาสนาอันใสสะอาด ได้แปดเปื้อนเพราะสตรีเช่นนี้”
เพล้ง! ใบหน้าของหนานกงไหวเขียวขึ้น “ลูกเนรคุณ ชวี่เอ๋อร์ ไปเอาตัวลูกเนรคุณนั่นกลับมาให้ข้า”
หนานกงชวี่ใบหน้าเคร่งขรึม ลุกขึ้นเงียบๆ เอ่ยตอบ “ขอรับ ท่านพ่อ” หนานกงฮุยมองพี่ชายจากนั้นมองไปยังบิดาที่กำลังสูดหายใจแรงด้วยความโกรธ ตัดสินใจว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ หันไปส่งสายตาให้หนานกงมั่ว เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ข้าจะไปกับพี่ใหญ่ด้วยขอรับ”
สองพี่น้องไม่ชักช้าให้เสียเวลา เดินออกประตูไปทันใด
ในห้องโถงใหญ่ เอ้อกั๋วกงมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของหนานกงไหวอย่างเหยียดหยาม คนที่ควรโกรธคือเขาต่างหากเล่า เมื่อได้ยินเรื่องบุตรีออกไปจุดธูปทว่าถูกหามกลับจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง เอ้อกั๋วกงก็เกือบจะพังจวนเอ้อกั๋วกงไปแล้วด้วยซ้ำ กับเรื่องนี้หนานกงไหวจะอธิบายเยี่ยงไร คิดให้บุตรีไปล่อลวงเย่ว์จวิ้นอ๋องในสถานที่เช่นนั้น ต้องการให้บุตรีของเขาโกรธจนตายแล้วขึ้นเป็นชายาแทนงั้นหรือ ฝันเอาเถิด
ในห้องโถงเงียบสงบ เว่ยจวินมั่วนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากความโกรธรวมถึงความกระอักกระอ่วนของหนานกงไหวเลยสักนิด หนานกงมั่วเองก็เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ใบหน้าเรียบนิ่งดูไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่ เอ้อกั๋วกงที่ระเบิดอารมณ์ไปเมื่อครู่นั้นจึงรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย มองสำรวจหนานกงมั่วอย่างพิจารณา “เจ้าเด็กหนานกง เมื่อก่อนเจ้าอยู่ตานหยางหรือ”
หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง พยักหน้าเบาๆ เอ่ยตอบ “ตอบกั๋วกง ใช่เจ้าค่ะ”
เอ้อกั๋วกงพยักหน้า “ใจกว้างและเคร่งขรึม ดูแล้วไม่เลวเลย เห็นได้ชัดว่าการเลี้ยงดูสั่งสอนนั้นสำคัญ เด็กๆ ในจวนข้ามอบให้จัวจิง[1]คอยสั่งสอน แม้จะไม่ได้เก่งมาก แต่ก็ยังอยู่ในกรอบ” ในโลกใบนี้ มีทั้งการทอดทิ้งและทำลายภรรยา แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมต้องมีความรักมั่นคงไม่แยกจาก เอ้อกั๋วกงและฮูหยินของเขาแต่งงานเมื่อครั้งยังไม่รุ่งเรือง แม้จะไม่ได้มีความรักลึกซึ้ง ทว่าเอ้อกั๋วกงนั้นหนักแน่น แม้ในยามที่เขาเจริญรุ่งเรืองแล้วก็ยังให้เกียรติภรรยา แม้ในจวนจะมีสองบ้าน ทว่าบรรดาอนุเหล่านั้นย่อมให้เกียรติและเคารพต่อกั๋วกงฮูหยิน
หนานกงมั่วยิ้ม “กั๋วกงกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยมีวาสนาได้พบกับพระชายาครั้งหนึ่ง พระชายาเป็นสตรีที่สง่างาม ผู้น้อยไหนเลยจะเทียบได้”
คำชื่นชมที่มิได้เกินไปนี้เป็นที่น่าพอใจต่อเอ้อกั๋วกงเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเขารู้ว่าบุตรีของเขานั้นมิได้มีหน้าตาที่โดดเด่น ทว่าคนเป็นบิดาแน่นอนว่าย่อมชื่นชอบเมื่อมีผู้อื่นกล่าวชมบุตรี ไม่ว่าเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้จะจริงใจหรือไม่ แต่การแสดงออกของนางนั้นทำให้เขาดูไม่ออกถึงการเสแสร้ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ชายตามองหนานกงไหวเล็กน้อย มีบุตรีที่ดีเพียงนี้ กลับไปรักทะนุถนอมบุตรีน่าไม่อายจากเชื้อสายรอง สมองของหนานกงไหวคงถูกชาวเป่ยหยวนเอาก้อนอิฐฟาดตอนไปออกรบหมดแล้วหรือไม่
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนานกงชวี่และหนานกงฮุยออกไปตามหาคนได้อย่างราบรื่นเหลือเกิน พวกเขาเปลี่ยนน้ำชาไปหนึ่งชุดแล้ว หนานกงซูพึ่งจะกลับมาถึง เพียงแต่ผู้ที่กลับมาพร้อมหนานกงซูคือหวงจั่งซุน เซียวเชียนเยี่ย เพียงเห็นหวงจั่งซุนปรากฏตัว หนานกงไหวก็ตะโกนร้องอยู่ในใจว่า แย่แล้ว หนานกงไหวยังไม่ทันได้ตอบสนอง เอ้อกั๋วกงก็รีบลุกขึ้น จ้องเซียวเชียนเยี่ยเขม็ง เอ่ยเสียงเรียบ “เย่ว์จวิ้นอ๋อง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
สีหน้าเซียวเชียนเยี่ยเปลี่ยนไปในฉับพลัน หันกลับมามองหนานกงชวี่ที่อยู่ด้านข้าง หนานกงชวี่ก้มหน้า ราวกับมองไม่เห็นสายตาของเขา หนานกงฮุยเคาะจมูกเบาๆ แล้วกล่าวอธิบาย “เอ่อ… เวลาเร่งรีบเลยลืมบอก เอ้อกั๋วกงและซื่อจื่อเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
รีบบ้าอันใดกัน หวงจั่งซุนผู้สุภาพเรียบร้อยอดก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ เขาถูกหนานกงชวี่และหนานกงฮุยสองพี่น้องวางกับดักเสียแล้ว ทว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่คิดว่ามีเพียงหนานกงชวี่และหนานกงฮุยที่แกล้งเขา กลับคิดว่าเป็นคำสั่งของหนานกงไหว เพื่อบีบให้เขาแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อหน้าเอ้อกั๋วกง เมื่อคิดเช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยก็รู้สึกอึดอัดใจ เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่อีกฝั่ง สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยยิ่งย่ำแย่ลงอีก
“คารวะท่านพ่อตา” เซียวเชียนเยี่ยก้าวเข้าไปทำความเคารพอย่างจริงใจ แม้เขาจะเป็นหวงจั่งซุน เป็นเย่ว์จวิ้นอ๋อง แต่เมื่อมองอำนาจของตนเมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จปู่แล้ว เขาหรือจะสู้เอ้อกั๋วกงได้ เขี่ยจมูกเบาๆ อดทนต่อความกระอักกระอ่วน เซียวเชียนเยี่ยจำต้องเอ่ยรับ “ข้ามาส่งคุณหนูหนานกง”
……………………………………………………………………………..
[1] จัวจิง เป็นคำเรียกของสามีที่ใช้เรียกแทนภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานาน