“หนักเพียงนั้นเลยหรือ” จังติ้งฟังตกใจ “กองทัพมีหมอเก่งๆ มากมาย ให้ช่วยตรวจท่านดีหรือไม่ หรือว่า…ได้ยินมาว่าคุณชายเสียนเกอหมออันดับหนึ่งในใต้หล้ายามนี้ก็อยู่ที่หูก่วงเช่นกัน เชิญเขามารักษาได้หรือไม่”
กงอวี้เฉินยังคงนิ่ง เห็นได้ชัดว่ามิได้ตื่นเต้นกับข้อเสนอนั้น เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเพียงนั้น ข้าเป็นเช่นนี้บ่อยแล้ว ยามนี้ท่านแม่ทัพเอาเวลามาคิดว่าจะต่อกรกับหนานกงไหวเช่นไรดีกว่า เอ่ยตามตรง…หากยังคงยื้อเวลาต่อไปคงไม่เป็นการดีกับเราแน่ อย่างไรเสบียงก็เป็นปัญหาใหญ่ เพียงแต่หนานกงไหวเองก็คงมองเห็นในจุดนี้จึงได้รีรออยู่สินะ”
จังติ้งฟังกลับไม่รีบร้อน เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านกงโปรดวางใจ กิจการตลอดสิบปีมานี้ของข้าก็มิได้เสียเปล่าหรอก หากหนานกงไหวต้องการทำให้ข้าอ่อนแอ เกรงว่าคงไม่ง่ายเสียแล้ว”
กงอวี้เฉินเลิกคิ้ว “โอ้ หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงวางใจได้แล้ว”
จังติ้งฟังยิ้ม “เช่นนี้ คงต้องรบกวนท่านกงแล้ว”
“ท่านแม่ทัพเกรงใจแล้ว”
เป็นดังที่กงอวี้เฉินคาดเดาเอาไว้ ไม่กี่วันต่อมาจินผิงอี้ก็ทำได้เพียงทอดถอนหายใจและยินยอมร่วมมือกับจังติ้งฟังในที่สุด เมื่อจินผิงอี้ยอมเข้าร่วมแล้วจึงต้องย้ายเข้ามาอยู่ร่วมในจวนแม่ทัพ ดังนั้นหนานกงมั่วที่อยู่ในฐานะ ‘แขก’ ของสำนักกลเจ็ดดาวจึงต้องตามติดมาด้วย จังติ้งฟังจัดเตรียมเรือนที่มีขนาดไม่เล็กนักให้ทุกคนได้เข้าพัก แม้ว่าจะมิได้กว้างขวางมากแต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนเข้าพักแล้วนับว่าเงียบสงบไม่น้อย
หลายวันมานี้แม้หนานกงมั่วจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกงอวี้เฉิน ทว่ากลับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเฉินโจวไม่น้อย เช่นจำนวนทหารที่อยู่ในเฉินโจว เช่นจุดประสงค์ของจังติ้งฟังและกงเฉินอวี้ และอย่างเช่น…จังติ้งฟังรวบรวมกำลังทหารและเสบียงมาจากที่ใด แม้ว่าจินผิงอี้จะถามจากปากกงอวี้เฉินถึงบทสรุปไม่ได้ ตามที่นางได้ตรวจสอบและตามสืบจังติ้งฟังตลอดหลายวันมานี้ จังติ้งฟังเองไม่น่าจะมีเงินมากมายเพียงนั้น เช่นนั้นแล้ว หาไม่ก็คงมีคนคอยสนับสนุนอยู่ลับๆ หรือไม่ก็จังติ้งฟังได้รับลาภลอยมาก้อนใหญ่ ว่ากันว่าหลังจากกษัตริย์ฮั่นพ่ายแพ้ในครั้งนั้น เขาได้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปฝังเอาไว้ กระทั่งกษัตริย์องค์ปัจจุบันชนะสงครามแล้วเข้าค้นเมืองหลวงของกษัตริย์ฮั่น กลับไม่พบสมบัติเลยสักชิ้นจึงต้องจากไปพร้อมกับความผิดหวัง หากจังติ้งฟังได้สมบัติเหล่านั้นมาครอบครอง… ดังนั้นการคิดก่อกบฏก็ย่อมมิใช่เรื่องยาก
เมื่อสืบได้เรื่องแล้ว หนานกงมั่วคิดว่าตนเองนั้นควรเตรียมตัวไปจากที่นี่ได้แล้ว มีกงอวี้เฉินอยู่ที่นี่ นางไม่คิดว่าหากตนเองรั้งรออยู่ต่อแล้วจะทำสิ่งใดไปได้มากกว่านี้ และอาจถูกจับได้อยู่ทุกเมื่อ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็นับว่าโชคดีที่นางบรรลุวัตถุประสงค์ของการมาในครั้งนี้แล้ว สุดท้ายนางจึงตัดสินใจจัดการอีกหนึ่งเรื่องให้สำเร็จก่อนจะลาจากไป
หนานกงมั่วลุกขึ้นยืน หยิบกระบี่ชิงหมิงที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เตรียมเดินออกจากประตูไป
“พี่เมิ่ง ท่านอยู่หรือไม่” ด้านนอก เสียงของจังอู๋ซินดังขึ้น หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เดินเข้าไปเปิดประตู
“คุณหนูจัง ดึกดื่นป่านนี้…มีเรื่องใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
จังอู๋ซินส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ เพียงแต่…ข้าว่าง ไม่มีอันใดทำเลยมาหาพี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” หนานกงมั่วเบี่ยงตัวหลบ สาวใช้เคียงกายและเด็กรับใช้ของจังอู๋ซินไม่ได้ติดตามเข้ามาด้วย ทว่ายืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู จังอู๋ซินเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ ห้อง เอ่ยด้วยท่าทีละอาย “ห้องทรุดโทรมทีเดียว ลำบากพี่เมิ่งแล้ว”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ รินน้ำให้นางแก้วหนึ่ง “ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกตลอด ชินเสียแล้วล่ะ อีกอย่างจวนแม่ทัพไหนเลยจะทรุดโทรมได้ คุณหนูจังเชิญนั่ง มีสิ่งใดอยากจะเอ่ยหรือไม่”
จังอู๋ซินมองนาง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ท่านพ่อเชิญเจ้าสำนักจินเข้ามา…พี่สาวคงรู้ถึงเจตนาของเขาแล้วใช่หรือไม่” หนานกงมั่วยังคงเงียบ จังอู๋ซินเป็นคนฉลาด จังติ้งฟังเชิญเจ้าสำนักจินเข้ามานั้นถือว่าเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนในหลายๆ เรื่อง เช่นผู้ที่จะได้รับรางวัลทั้งหมดนั่น เกรงว่าต่อให้หนานกงไหวจะตายหรือไม่ สุดท้ายจังอู๋ซินก็ต้องแต่งกับจินผิงอี้ นับเป็นสิ่งยืนยันและความเชื่อใจในความร่วมมือของคนทั้งคู่ พอดีกับที่จินผิงอี้ได้สูญเสียภรรยาของเขาไปและยามนี้พึ่งจะสูญเสียบุตรชาย หากมีหญิงงามอยู่เคียงข้างจะไม่เต็มใจได้เยี่ยงไร
จังอู๋ซินยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ปลายหางตา เอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้…ว่าข้าไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ท่านพ่อเลี้ยงข้ามาสิบกว่าปี ยามนี้ท่านพ่อต้องการความช่วยเหลือจากข้า…ข้าต้องตอบแทนเขา ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าสำนักจินก็นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากบนโลกใบนี้”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “จะว่าไป ความจริงตัวเลือกที่ดีที่สุดควรเป็นท่านกงมิใช่หรือ แม่ทัพจังไยจึง…” หรือว่าจังติ้งฟังไว้ใจกงอวี้เฉินถึงเพียงนั้นเลยหรือ ใบหน้าจังอู๋ซินแดงระเรื่อ รีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไรเล่า…ข้า สำหรับข้าแล้ว ข้าเคารพท่านกงดั่งพี่ชาย ยิ่งไปกว่านั้น…คนอย่างท่านกงมีหรือที่สตรีธรรมดาเช่นข้าจะคู่ควร”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วขมวดมุ่นไม่เอ่ยสิ่งใด นางไม่ชอบสตรีที่ทะนงว่าตนเองถูกเสมอ แต่ก็ไม่ชอบสตรีที่ดูถูกตนเองจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น จังอู๋ซินคิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับกงอวี้เฉิน ทว่ากลับชอบศิษย์พี่ หรือว่าในสายตาของจังอู๋ซิน ศิษย์พี่ไม่เก่งกาจเหมือนกงอวี้เฉินที่นางบอกว่าตนไม่คู่ควรกับเขางั้นหรือ
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ทว่าสีหน้าของหนานกงมั่วกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงจ้องมองและฟังจังอู๋ซินอย่างใจเย็นเท่านั้น
จังอู๋ซินเองก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องการจะพูดอันใดกันแน่ เพียงบ่นไม่หยุดว่าในแต่ละวันนั้นนางไม่รู้จะพูดคุยกับใคร ส่วนมากล้วนเป็นการบ่นในแบบของเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน หนานกงมั่วไม่มีความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งใดๆ ความเป็นจริงนางไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของสตรีบอบบางเช่นจังอู๋ซินได้เลย ย่อมไม่มีทางเข้าใจแม้แต่น้อย ส่วนความเห็นใจนั้นแน่นอนว่ามีให้อยู่บ้าง รอจนจังอู๋ซินเอ่ยจบ หนานกงมั่วจึงเอ่ย “หากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม่ทัพจังคิดจะเอาชนะเกรงว่าคงไม่ง่าย ไยตอนนั้นคุณหนูจังถึงไม่เกลี้ยกล่อมแม่ทัพจังกันเล่า”
จังอู๋ซินเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าหนานกงมั่วจะถามเรื่องนี้ ไม่นานจึงถอนหายใจ ก้มหน้าเอ่ย “ข้า…พ่อบุญธรรมจะฟังคำของข้าได้เช่นไรกัน เรื่องเช่นนี้…ข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก”
“ตามที่ข้ารู้ แม่ทัพจังมีเพียงคุณหนูจังเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่า…ท่านแม่ทัพอายุมากเพียงนี้แล้ว จะทำไปเพื่อสิ่งใดกัน”
จังอู๋ซินก้มหน้า นั่งกำผ้าในมือไม่เอ่ยอันใด เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่รู้ว่าพ่อบุญธรรมจะทำไปเพื่อสิ่งใด
หนานกงมั่วไม่ได้มองนาง หันไปเล่นธูปหอมที่อยู่ในกระถางด้านข้าง ควันธูปค่อยๆ ลอยคลุ้ง เอ่ยขึ้นมากะทันหัน “คุณหนูจัง เจ้ารู้หรือไม่… หลินเซี่ย อดีตปู้เจิ้งซื่อของหูก่วงตอนนี้อยู่ที่ใด”
จังอู๋ซินชะงัก มีร่องรอยความสะลึมสะลือและง่วงงุนในดวงตา ลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยตอบว่า “หลิน…ใต้เท้าหลิน อยู่ที่เรือนชิวเยี่ยในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ…”
หนานกงมั่วพยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “ดี ข้ารู้แล้ว ขอบคุณเจ้ามาก ราตรีสวัสดิ์”
ดวงตาใสซื่อของจังอู๋ซินค่อยๆ ปิดลง หนานกงมั่วหรี่ตาลง เข็มเงินเล่มหนึ่งปักเข้าที่จุดฝังเข็มของนาง ไม่นานจากนั้นจังอู๋ซินก็ฟุบหลับลงไปบนโต๊ะ