ตอนที่ 211 พระประสงค์ของฝ่าบาท (2)
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เอ่ย “เจ้าสำนักกง ท่านช่วยเลือกคำเรียกขานที่ปกติสักนิดจะได้หรือไม่”
กงอวี้เฉินไม่เข้าใจ “คำเรียกขานเช่นใดจึงจะเรียกว่าปกติเล่า”
“หากเป็นไปได้ โปรดเรียกข้าว่าแม่นางหนานกงก็พอแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยตอบ กงอวี้เฉินนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงส่ายหน้า “ข้ายังคงคิดว่าเสี่ยวมั่วเอ๋อร์น่าฟังกว่า หรือไม่…เสี่ยวมั่วมั่ว”
มั่วมั่วบ้านเจ้าสิ!
“เจ้าสำนักกง ท่านอยากให้คนเรียกท่านว่าเฉินเฉินอะไรแบบนั้นใช่หรือไม่” หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง เอ่ยถาม กงอวี้เฉินเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หากเสี่ยวมั่วเอ๋อร์ชอบ แน่นอนว่าย่อมได้อยู่แล้ว” หนานกงมั่วกวาดตาขึ้นลงมองเขา เนิ่นนานจากนั้นจึงพยักหน้าพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ตอนยังเด็กเจ้าสำนักกงขาดความรักหรือ แต่ว่า…ข้าอายุยังน้อย และไม่ใช่มารดาของท่าน การออดอ้อนเช่นนี้ ให้ดีทำกับคนอายุมากกว่าจะดีกว่า”
กงอวี้เฉินไม่โกรธ ทำเพียงมองหนานกงมั่วนิ่ง เนิ่นนานจึงยิ้มขำออกมาเบาๆ ยิ่งหัวเราะยิ่งรู้สึกขำขึ้นไปอีก หัวเราะจนเกือบหมอบลงไปกับโต๊ะแล้ว มองหน้าหนานกงมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสนใจเสียจริง…ข้าไม่เจอคนที่น่าสนใจเช่นเจ้ามานานแล้ว ทำเยี่ยงไรดี ข้าชักอยากพาเจ้ากลับไปด้วยและซ่อนเอาไว้เสียจริง”
หนานกงมั่วมองเขา ยิ้มเย็น “งั้นหรือ เจ้าสำนักกงกล้าจริงหรือ”
เสียงหัวเราะของกงอวี้เฉินเงียบลงทันใด จ้องมองหนานกงมั่ว “มั่วเอ๋อร์หมายความเช่นไร”
หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่มีอันใด เพียงแค่…หากข้าคิดจะทำอันใดและไม่อยากให้ใครอื่นรู้ ก็คงไม่มีทางพาศัตรูกลับบ้านตัวเอง”
“ศัตรูหรือ” กงอวี้เฉินถอนหายใจ เอ่ยแย้ง “ข้าไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเสี่ยวมั่วเอ๋อร์เลยสักนิด” หนานกงมั่วใช้สายตาเหยียดหยันมองเขา ตั้งแต่ต้นจนจบดูไม่ออกเลยว่าเมื่อไรกันที่กงอวี้เฉินแสดงออกว่าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตนเอง หนานกงมั่วหลุบตาลง มองน้ำชาบนโต๊ะตรงหน้า กล่าว “เจ้าสำนักกง มีอะไรก็เอ่ยมาตามตรงเถิด ถ่วงเวลาเช่นนี้มิใช่นิสัยของเจ้าสำนักเลย”
กงอวี้เฉินถอนหายใจ “ข้าเพียงไม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเว่ยจวินมั่ว เจ้าเชื่อหรือไม่”
“เชื่อ” หนานกงมั่วพยักหน้า “เจ้าสำนักมีใจเป็นศัตรูต่อจวินมั่วมาตลอดมิใช่หรือ”
“จวินมั่วหรือ” ได้ยินคำที่นางใช้เรียกขาน กงอวี้เฉินจึงเอ่ยย้ำขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงขำขัน “ข้าเป็นศัตรูกับเขา หรือว่าเขาไม่เป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วมองเขาด้วยความแปลกใจ “เจ้าสำนักกง หากท่านมีแผนอันใดต่อเว่ยจวินมั่ว นั่นเป็นเรื่องระหว่างท่านกับเขา อย่าได้มายุ่งกับข้า”
“…” ไยจึงรู้สึกว่าประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ ใบหน้าแปลกประหลาดของกงอวี้เฉินมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วมองเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในขณะที่ทั้งสองกำลังนิ่งเงียบ เสียงก้าวเดินหนักๆ ดังขึ้นมาจากทางบันได มองผ่านผู้คนมากมายกลับไป ไม่นานก็เห็นเว่ยจวินมั่วในอาภรณ์สีฟ้าครามมายืนอยู่ริมบันได
กงอวี้เฉินขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “ตามติดเป็นเงาจริงๆ”
หนานกงมั่วจนปัญญา เจ้าสำนักกง ที่ว่านั่นไม่ใช่ท่านหรอกหรือ ใครกันแน่ที่ตามติดเป็นเงา
กงอวี้เฉินไม่รอให้เว่ยจวินมั่วเอ่ยปาก กระโดดออกไปทางหน้าต่าง ไม่แม้แต่จะทักทายก็หายลับไปเสียแล้ว
เว่ยจวินมั่วเดินเข้ามาแล้วมองไปยังหนานกงมั่ว “อู๋สยาไม่เป็นไรใช่หรือไม่” หนานกงมั่วยิ้ม “ข้าจะเป็นอันใดได้เล่า เพียงแต่ท่านไปมีเรื่องกับตัววุ่นวายเช่นนี้ที่ไหนกัน” ไม่ว่าจะมองมุมใดหนานกงมั่วก็ไม่ชอบกงอวี้เฉินผู้นี้เลยสักนิด คนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนจนน่ารำคาญ
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า “ใครจะรู้ว่าเขาเป็นบ้าอันใด” กงอวี้เฉินติดตามเอาคืนเขาไม่เพียงเพราะความแค้นของหอธาราและวังจื่อเซียวเป็นแน่ แต่เนิ่นนานถึงเพียงนี้เขาก็ยังสืบที่มาที่ไปของกงอวี้เฉินไม่ได้ หอธาราลึกลับมาแต่ไหนแต่ไร คิดสืบหาความลับของหอธารานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เว่ยจวินมั่วนั่งลงตรงหน้านาง มองหนานกงมั่ว เอ่ยออกมาเสียงเบา “อู๋สยาไม่ชอบของขวัญที่ข้าให้ลิ่นฉังเฟิงเตรียมไว้ให้หรือ”
หนานกงมั่วชะงัก ไม่นานจึงเข้าใจ ยิ้มเอ่ย “ท่านหมายถึงเซียนซิ่วสุ่ยหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า คิ้วคมขมวดมุ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ตระกูลจูเข้าหารัชทายาท โน้มน้าวจนเสด็จลุงออกปากตักเตือนข้า ยามนี้ไม่ไว้หน้าเสด็จลุงคงไม่ได้” แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่อย่างไรเว่ยซื่อจื่อก็ต้องสั่งสอนตระกูลจูสักครั้ง แน่นอนเรื่องนี้ไม่ต้องบอกกับอู๋สยา เกรงว่าหากรัชทายาทรู้เข้าจะคิดว่าเขาเห็นแก่อู๋สยาจนไม่ไว้หน้าตน
หนานกงมั่วเองก็ไม่ใส่ใจ ยิ้มพลางเอ่ย “ความจริงข้าก็มิได้พ่ายแพ้ อีกทั้งคุณหนูใหญ่ตระกูลจูก็ขอโทษแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล”
“ถูกแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล” เว่ยจวินมั่วพยักหน้าหนักๆ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการถูกกักขังอยู่ในเมืองหลวงยามนี้ เขาไม่มีความสนใจต่อตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ไม่ต้องเอ่ยถึงโยวโจวที่อยู่ห่างไกล แม้ให้เข้าไปอยู่ในยุทธภพ ปกครองอยู่แต่ในวังจื่อเซียวก็ยังเป็นอิสระกว่าอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างจินหลิง
“ได้ยินว่าเกาอี้ปั๋วส่งบุตรีเชื้อสายรองเข้าไปเป็นอนุภรรยาในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องหรือ” หนานกงมั่วถามอย่างแปลกใจ จะว่าไป…โชคเรื่องสตรีของเซียวเชียนเยี่ยก็ไม่ธรรมดาเลย เพียงเห็นหน้าตาของจูชูอวี้ ขอเพียงมารดาของนางมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ตัวนางก็คงงดงามไม่เบา พึ่งจะรับหนานกงซูเข้าไป ยามนี้ยังมีเชื้อสายรองของเกาอี้ปั๋วอีก สมแล้วที่เป็นหวงจั่งซุน เทียบกันแล้ว คุณชายเว่ยที่อยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง รูปงาม ความสามารถวรยุทธก็มิได้ด้อยกว่าทว่ากลับมีโชคชะตาที่น่าสงสาร
“ข้ามีอู๋สยาก็เพียงพอแล้ว” เข้าใจสายตาของหนานกงมั่ว เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบๆ ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “คนเราต้องรีบใช้เวลาวัยหนุ่มสาวให้คุ้มค่า ข้าไม่ว่าท่านหรอก”
“ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าหากข้าทำเช่นนั้นเจ้าจะฆ่าข้า” เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นลูบลำคอเบาๆ ตอบกลับคำโกหกที่ไม่ตรงกับใจของนาง นึกถึงเรื่องที่ตนเองไปกัดคอใครบางคนเข้าสองสามครั้งติด ใบหน้าของคุณหนูใหญ่หนานกงก็แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ส่งเสียง หึ เบาๆ “ไม่ใช่เพราะข้ากลัวซื่อจื่อจะน้อยใจหรอกหรือ”
“ไม่น้อยใจ ข้าเต็มใจ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านพูดเองนะ” หนานกงมั่วเอ่ย ดังนั้นต่อไปหากมีรักแท้อะไรขึ้นมา อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีก็แล้วกัน
“อืม” เว่ยซื่อจื่อพยักหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ทว่าความกดดันกลับมีไม่มากนัก บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสบายใจ ทั้งสองนั่งดื่มชา ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุข
คืนเทศกาลในเมืองหลวงไม่ได้ครึกครื้นอย่างที่หนานกงมั่วจินตนาการเอาไว้ ความเป็นจริงแล้วหลังจากฮองเฮาองค์ก่อนจากไป ฝ่าบาทไม่แต่งตั้งองค์ใหม่ วังหลังถูกควบคุมโดยกุ้ยเฟย ทว่าอย่างไรเสียกุ้ยเฟยก็ไม่ใช่ฮองเฮา ยศตำแหน่งไม่สูงพอคำสั่งก็ไม่ราบรื่น เพราะเหตุนี้หลังจากที่ฮองเฮาจากไปพิธีเข้าถวายพระพรของบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในแต่ละเดือนจึงถูกยกเลิกไป หากสตรีสูงศักดิ์ผู้ใดต้องการเข้าวังไปพบสนมองค์ใดจึงต้องแจ้งล่วงหน้าและรอการตอบรับจากบรรดาสนมจึงสามารถเข้าวังได้ การแย่งชิงในวังหลังมีไม่หยุดหย่อน เช่นนี้เมื่อเข้าวังไปแล้วยังจะเอ่ยสิ่งใดได้อีกเล่า ดังนั้นการเข้าวังไปถวายพระพรนางสนมของบรรดาสตรีสูงศักดิ์จึงหยุดลง การติดต่อสื่อสารจากในและนอกวังลดน้อยลงไป ผู้คนส่วนใหญ่จะสามารถเข้าวังได้ก็ต่อเมื่อต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่นานๆ จัดขึ้นเท่านั้น