“ขอรับ นายท่าน”
มองหนานกงไหวที่สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ เจิ้งซื่อยืนนิ่งอยู่นาน สุดท้ายจึงทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเสียงดัง ทว่าเสียงนั่นราวกับเสียงร้องโหยหวนชวนขนลุก ทำให้คนในเรือนไฉ่อู๋ต้องหนาวสะท้านอย่างห้ามไม่ได้
พรุ่งนี้ก็ถึงวันพิธีแต่งงานแล้ว หนานกงมั่วนั่งอยู่ในห้องหนังสือเรือนจี้ชั่ง เพลิดเพลินกับความเงียบสงบในวันว่างๆ ที่หาได้ยากยิ่ง แม้นางจะไม่ได้อยู่กว่าสามวัน ทว่าผู้คนในเรือนจี้ชั่งกลับไม่ได้อยู่นิ่ง แม่นมหลานและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ต่างยุ่งกันจ้าละหวั่น ไม่เพียงสินเจ้าสาวที่ต้องนำไปด้วย ยังมีกิจการที่เป็นของหนานกงมั่วเองซึ่งก็ต้องจัดสรรชัดเจน เรื่องพวกนี้แม่นมหลานยุ่งมาหลายเดือนแล้ว ยามนี้ใกล้ถึงวันพิธีแต่งงานเข้าไปทุกทียิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก เกรงว่าหากเกิดข้อผิดพลาดจุดใดจุดหนึ่งแล้วทำให้งานพิธีแต่งงานของคุณหนูของตนนั้นไม่สมบูรณ์แบบ รวมไปถึงบ่าวรับใช้ในเรือนจี้ชั่ง เรือนจี้ชั่งเป็นเรือนที่เมิ่งซื่อเก็บไว้ให้หนานกงมั่ว แต่หนานกงมั่วนั้นเป็นสตรีที่ต้องแต่งออกเรือน ทว่าเรือนจี้ชั่งนั้นตั้งอยู่ในจวนฉู่กั๋วกง สุดท้ายจึงตัดสินใจนำทรัพย์สินทุกอย่างร่วมไปถึงห้องหนังสือย้ายไปด้วยทั้งหมด ส่วนเรือนแห่งนี้ ตราบใดที่หนานกงมั่วยังมีชีวิตอยู่หากไม่ได้รับอนุญาตจากนางแล้ว ห้ามใครเหยียบย่างเข้ามาเป็นอันขาด แน่นอนหากหนานกงมั่วต้องการมอบให้ผู้ใดในตระกูลหนานกงนั่นก็เป็นสิทธิ์ของนาง รอจนหนานกงมั่วไม่อยู่แล้ว เรือนแห่งนี้จะตกไปถึงลูกหลานเชื้อสายหลักของตระกูลหนานกง การจัดการที่สมเหตุสมผลนี้ แน่นอนว่าหนานกงมั่วย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง
อีกด้านคือบ่าวรับใช้ เรือนจี้ชั่งไม่มีเจ้านายแล้วแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องมีบ่าวรับใช้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูใหญ่จวนฉู่กั๋วกงออกเรือนใช่ว่าจะมีเพียงแม่นมและสาวใช้เคียงกายติดตามไปเป็นสินเจ้าสาวแล้วจะเพียงพอ นางเป็นถึงจวิ้นจู่ สินเจ้าสาวนั้นนอกจากสาวใช้เคียงกายและแม่นม คนคอยดูแลและจัดการกิจการก็ต้องติดตามไปด้วย บ่าวในเรือนแม้จะติดตามหนานกงมั่วได้ไม่กี่เดือน ถึงแม้คุณหนูใหญ่จะมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับบ่าวรับใช้ทว่ากลับใจกว้างมีเมตตา รางวัลของนางก็ใจกว้างเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่ามีคนยินดีติดตามคุณหนูใหญ่ไปมากเพียงใด แน่นอนว่าย่อมมีผู้คนไม่น้อยที่ต้องการติดตามคุณหนูใหญ่ไปมีความสุขอยู่ที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง คุณหนูใหญ่เป็นถึงจวิ้นจู่ เมื่อเข้าไปแล้วก็ได้เป็นพระชายาซื่อจื่อ สบายใจกว่าต้องอยู่ในสงครามระหว่างเจ้านายที่จวนฉู่กั๋วกงยามนี้เสียอีก
ส่วนแม่นมหลาน จือซูและสาวใช้เคียงกายคนอื่นๆ พลันยุ่งวุ่นวายทันทีที่กลับมา หลายคนเข้ามาคิดจะแย่งตำแหน่งสินเจ้าสาว แต่ความจริงแล้วตำแหน่งเหล่านั้นถูกเลือกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไหนเลยจะเหลือพื้นที่ให้พวกเขามาแย่ง ทว่าในรายชื่อนั้น เพราะมีการแก่งแย่งมากเกินไปจึงถูกตัดรายชื่อออก
หนานกงมั่วคลี่กระดาษออกหนึ่งแผ่น หยิบพู่กันขึ้นมาฝึกเขียนตัวอักษร พิธีแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที เรือนจี้ชั่งครึกครื้นไม่น้อย แม้แต่หนานกงมั่วเองยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ
“พี่สาวเจ้าคะ พี่สาว” น้ำเสียงหวานดังขึ้น เงยหน้าขึ้นยังไม่ทันได้วางพู่กันก็มองเห็นร่างในชุดสีชมพูพุ่งเข้ามา หนานกงมั่วขมวดคิ้ว มองหนานกงเจียวที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยถาม “เจียวเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดกันหรือ” นางไม่สนิทสนมกับหนานกงเจียว กลับมาไม่กี่เดือนก็ออกนอกจวนไปอีกกว่าสองเดือน อีกอย่าง ก็ไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน เพียงได้เจอกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่หนานกงเจียวกลับแสดงออกมาราวกับว่าพวกนางเป็นพี่น้องที่สนิทสนมนอนร่วมเตียงเดียวกัน สวมเสื้อผ้าร่วมกันเช่นนั้น เป็นราวกับพี่น้องที่ไม่มีช่องว่างระหว่างกัน
หนานกงเจียวยิ้มเริงร่าราวกับดอกไม้บาน กล่าว “พรุ่งนี้พี่สาวจะออกเรือนแล้ว เจียวเอ๋อร์มายินดีกับพี่สาว ท่านลุงเชิญท่านแม่ของข้ามาช่วย เห็นบอกว่าท่านป้าร่างกายไม่แข็งแรงพรุ่งนี้คงออกไปร่วมงานไม่ได้”
หนานกงมั่ววางพู่กันลง พยักหน้าเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ลำบากท่านอาสะใภ้แล้ว”
หนานกงเจียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลังจากพรุ่งนี้ต้องเรียกพี่สาวว่าพระชายาซื่อจื่อแล้ว อิจฉาพี่สาวจังเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “ข้ากับน้องรองล้วนแต่งงานแล้ว ต่อไปก็คงเป็นเจียวเอ๋อร์แล้ว อีกเดี๋ยวท่านอากับอาสะใภ้คงเลือกเจ้าบ่าวที่เหมาะสมให้เจียวเอ๋อร์” รอยยิ้มของหนานกงเจียวแข็งค้าง ปากเล็กยู่ขึ้น “ฐานะเช่นข้า จะมีครอบครัวที่ดีได้เช่นไรเจ้าคะ” หนานกงมั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยตอบใดๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยพึมพำ
เจิ้งซื่อออกหน้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ดีเลย นางก็ไม่อยากเห็นหน้าของเจิ้งซื่อ ส่วนเจิ้งซื่อจะเป็นอะไรนั้น…นางยังไม่รีบร้อนอยากรู้
“มั่วเอ๋อร์ อยู่หรือไม่” เสียงร่าเริงของเสียนเกอดังมาจากด้านนอก รอยยิ้มของหนานกงมั่วเบิกบานขึ้น “ศิษย์พี่ ข้าอยู่ที่นี่ เข้ามาเถิดเจ้าคะ”
เสียนเกอถือกล่องเดินเข้ามา เห็นหนานกงเจียวที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงหันไปเลิกคิ้วให้หนานกงมั่ว หนานกงมั่วเอ่ย “นี่คือน้องสาวบุตรีของท่านอา หนานกงเจียวเจ้าค่ะ”
หนานกงเจียวมองเห็นเสียนเกอพลันตกตะลึง ใบหน้าเล็กมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา หลบอยู่ด้านหลังหนานกงมั่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจียวเอ๋อร์คารวะ…คุณชายท่านนี้”
หนานกงมั่วไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกับนาง ทำเพียงเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ท่านถืออะไรมาหรือเจ้าคะ”
เสียนเกอเอ่ยตอบ “พึ่งได้ของเล่นมาใหม่ ข้าเก็บไว้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรจึงนำมันมาให้เจ้าเพื่อเป็นสินเจ้าสาว” หนานกงมั่วเอ่ยอย่างจนปัญญา “สินสมรสข้ามีมากแล้ว ศิษย์พี่เก็บเอาไว้ อนาคตหาพี่สะใภ้ดีๆ ให้ข้าสักคนจะดีกว่านะเจ้าคะ” คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้ว “คุณชายเช่นข้ามีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้” หนานกงมั่วยิ้มหวาน กล่าวไม่ผิดเลย บนโลกใบนี้ผู้คนมากมายล้วนอ้อนวอนขอร้องให้เขารับของล้ำค่าที่มามอบให้เอาไว้ ยังไม่มีสิ่งใดที่คุณชายเสียนเกออยากได้แล้วไม่ได้
“ขอข้าดูสักหน่อยว่ามันคืออันใด” เสียนเกอตั้งใจเอามามอบให้ด้วยตนเองแน่นอนว่าคงไม่ธรรมดาเป็นแน่ เมื่อเปิดกล่องออก หนึ่งร้อนหนึ่งเย็นเปล่งประกายออกมา หนานกงมั่วมองสิ่งของสองสิ่งตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ นี่คือ…”
“รู้จักหรือ”
หนานกงมั่วตั้งสติ เอ่ย “นี่คือ..โคมปทุมเหมันต์คิมหันต์หรือ นี่ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าประจำสกุลเจี่ยงหรือเจ้าคะ ท่านปล้นตระกูลเจี่ยงหรือ” แม้เดิมทีนางจะไม่เชื่อว่าศิษย์พี่จะทำเรื่องเช่นนี้ แต่หลังจากเกิดเรื่องสมบัติที่เมืองจิ่นโจว นางจึงไม่คิดสงสัยว่าศิษย์พี่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือไม่ เสียนเกอเหลือบมองนาง ส่งเสียงหยัน “หรือว่าคนสกุลเจี่ยงไม่ได้มีเลือดเนื้อเหมือนคนทั่วไป ป่วยไม่ได้หรือ”
“ผู้นำสกุลเจี่ยงป่วยแล้วอย่างนั้นหรือ”
เสียนเกอส่งเสียงหยัน “สมบัติที่ดีเพียงใดก็เทียบกับชีวิตตนเองไม่ได้หรอกใช่หรือไม่ ของเล่นชิ้นนี้ ข้าเก็บไว้ก็คงไม่มีประโยชน์ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ เจ้าเก็บเอาไว้เล่นเถิด”
“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ” หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ รับของขวัญชิ้นนี้มาด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปลูบเบาๆ ที่ใจกลางดอกบัวของโคมปทุมหยกขาว ในส่วนใจกลางดอกบัวมีลูกแก้วสีฟ้าและสีแดงวางอยู่สองลูก ทำให้โคมปทุมนั้นมีแสงสีฟ้าหนึ่งด้านและอีกด้านเป็นแสงสีส้มแดง เพียงสัมผัสกลไกด้านล่าง ลูกแก้วหนึ่งในนั้นจะตกลงไปด้านล่างสุด จากนั้นโคมก็จะกลายเป็นสีฟ้าเย็นหรือสีส้มแดงทั้งใบ เย็นสบายในฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว ช่างเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีประโยชน์เสียจริง
เสียนเกอมองนางเล่นลูกแก้วสองลูกอย่างสนุกสนาน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ข้าดูแล้ว โคมชิ้นนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ที่น่าสนใจก็มีเพียงลูกแก้วสองลูกนั่นและฐานด้านล่างก็เท่านั้น”
แน่นอนว่าหนานกงมั่วเองก็ดูออก แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับความชอบของนาง
“พี่มั่วเอ๋อร์ นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ แปลกจังเลย เจียวเอ๋อร์ไม่เคยเห็นมาก่อน” หนานกงเจียวมองโคมปทุมนั่นด้วยความอิจฉา แม้ไม่เคยเห็นมาก่อนก็รู้ได้ว่าสิ่งนี้ต้องเป็นของล้ำค่าเป็นแน่ ทว่าเสียนเกอกลับมอบให้หนานกงมั่วได้ง่ายๆ จึงอดอิจฉาและริษยาในใจไม่ได้ ยื่นมือออกไปอยากสัมผัสโคมปทุมนั่นเหมือนหนานกงมั่ว ทว่าหนานกงมั่วกลับจับข้อมือนางเอาไว้เสียก่อน หนานกงเจียวชะงัก มองหนานกงมั่วด้วยท่าทางน้อยใจ “พี่สาว ข้า…ข้าเพียงอยากสัมผัสมันเท่านั้น”