“มีคนลอบสังหาร” เสียงองครักษ์ดังขึ้น ผู้คนต่างพากันหันไปมองชายบนหลังคาโดยพร้อมเพรียง ประชาชนตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ชิงตัวเจ้าสาวหรือ กล้ามากที่มาชิงตัวเจ้าสาวในจินหลิง เมืองใต้เท้าของโอรสสวรรค์เช่นนี้ ทว่าไม่นานก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา บุรุษบนหลังคานั้นอยู่ในอาภรณ์สีฟ้า ดูท่าทางราวกับเทพเซียน แต่ว่า…ดูแล้วคล้ายจะมีอายุสามสิบสี่สิบปีได้ ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่จวนหนานกงพึ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น ชั่วครู่สายตาสนับสนุนของทุกคนก็มองตรงไปยังเว่ยซื่อจื่อ เว่ยซื่อจื่อผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไร้ผู้ใดเปรียบได้ถึงจะคู่ควรกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ต่างหากเล่า
“เหอๆ” เสียนเกอลอบขำอยู่ในใจ สามสิบสี่สิบปีอย่างนั้นหรือ ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว
เว่ยจวินมั่วหรี่ตาแคบลง ก้าวไปข้างหน้า มองไปยังชายบนหลังคา เอ่ยตอบ “ข้าคือเว่ยจวินมั่ว ท่านมีสิ่งใดชี้แนะหรือไม่”
ฟิ้ว! แสงสีเงินวาดผ่าน กระบี่รักของชายผู้นั้นบินออกจากฝักพุ่งตรงเข้าหาเว่ยจวินมั่ว เอ่ยเสียงดัง “ได้ยินว่าเว่ยซื่อจื่อวรยุทธ์สูงส่ง ข้าอยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้ง”
เสียงผู้คนดังขึ้นอื้ออึง เขาจะแต่งงานเจ้าจะมาต่อสู้ นี่เป็นการหาเรื่องกันหรือไม่
เว่ยจวินมั่วยังคงนิ่ง “เว่ยจวินมั่วคล้ายกับไม่เคยมีปัญหาอันใดกับท่านมาก่อน”
ชายผู้นั้นยิ้มหยัน กล่าว “ผู้น้อยพูดมากไปแล้ว สู้ไม่สู้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น วาจาเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน หากเจ้าเอาชนะกระบี่ในมือของข้าไม่ได้ เจ้าสาวก็คงต้องไปกับข้าแล้ว” ดวงตาของเว่ยจวินมั่วพลันเปลี่ยน เอ่ยเสียงเข้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้โปรดชี้แนะด้วย” วันพิธีแต่งงาน แน่นอนว่าเว่ยจวินมั่วไม่สามารถพกอาวุธใดๆ ติดตัวมาด้วย แต่ถึงแม้เขาจะไม่มีก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มี รับกระบี่จากองครักษ์ พุ่งปลายแหลมเข้าหาชายวัยกลางคน
“เชิญ”
“ซื่อจื่อ ไตร่ตรองด้วยขอรับ” เสียงองครักษ์ข้างกายเอ่ยเตือน “ไม่รู้จอมยุทธ์ที่ไหน ข้าน้อยนำคนไล่กลับไปก็พอแล้วขอรับ” มาท้าทายในวันพิธีแต่งงาน ช่างกล้าหาญเสียจริง
“พวกเจ้าไม่ใช่คู่ปรับของเขา” เว่ยจวินมั่วกวาดตามองคุณชายเสียนเกอที่ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง กระโดดลอยขึ้นไปบนหลังคาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ว้าว” ประชาชนชาวเมืองหลวงยามนี้ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนต่างตื่นเต้นกับการต่อสู้ของทั้งสองที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ
ต่อสู้กันไปไม่กี่กระบวนท่า เว่ยจวินมั่วรู้สึกว่าชายวัยกลางคนที่คล้ายเทพเซียนผู้นี้เป็นหนึ่งในศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยประมือมา แม้แต่กงอวี้เฉินยังไม่เคยทำให้เขารู้สึกกดดันเช่นนี้มาก่อน ทุกการเคลื่อนไหวของชายวัยกลางคนผู้นั้นเหมือนจะไม่โดดเด่น มิได้มีเพลงดาบที่ล้ำเลิศเช่นเว่ยจวินมั่ว ไม่ได้ทีท่วงท่างดงามในแต่ละกระบวนท่า แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่าต้องใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกันกระบี่นั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโต้กลับใดๆ เลย
“อายุยังน้อยแต่ฝึกมาได้ดีถึงเพียงนี้ นับว่าไม่เลวนัก ดีกว่าศิษย์ไม่ได้เรื่องของข้ามากทีเดียว” เว่ยจวินมั่วรู้สึกไม่พอใจกับความสามารถของตน แต่ชายวัยกลางคนกลับชื่นชมเขา พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เว่ยจวินมั่วเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด แม้จะอ่อนวัยกว่าอีกฝ่ายทว่ากลับตวัดกระบี่ใส่ไม่หยุดมือ ถึงในแต่ละครั้งนั้นจะถูกชายวัยกลางคนปัดป้องได้เสมอ เขาก็ไม่ได้รู้สึกท้อถอย
ชั่วพริบตาทั้งสองก็ผ่านไปแล้วกว่าสี่ห้าร้อยกระบวนท่า การกวัดแกว่งกระบี่ของเว่ยจวินมั่วค่อยๆ หนักแล้วช้าลง ประชาชนที่ร่วมรับชมนั้นดูไม่ออก รู้เพียงว่าฝีมือการกวัดแกว่งกระบี่ของเว่ยจวินมั่วช่างร้ายกาจไม่เบา ทว่ากลับไม่เห็นหัวของชายวัยกลางคนเลย ส่วนคนที่รู้วรยุทธ์ย่อมรู้ดีว่าเว่ยจวินมั่วต่อสู้จนถึงขีดสุดแล้ว
“คุณชายเสียนเกอ…เว่ยซื่อจื่อจะชนะได้หรือไม่” หนานกงฮุยยืนอยู่ด้านข้างเสียนเกอ เอ่ยกระซิบถามเสียงเบาด้วยความกังวล
คุณชายเสียนเกอโบกพัดในมือไปมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าล้อเล่นเลย ต่อให้เว่ยจวินมั่วจะร้ายกาจเพียงใด อย่างไรเขาก็พึ่งอายุยี่สิบสอง” เว่ยจวินมั่วร้ายกาจนั่นไม่ผิด แต่ตัวเขานั้นยังมิได้เป็นปีศาจ หากเขาสามารถเอาชนะได้ ผู้ฝึกวรยุทธ์ในใต้หล้าคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
“เช่นนั้นแล้วจะทำเช่นไร” หนานกงฮุยขมวดคิ้ว ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ว่าหากเว่ยจวินมั่วแพ้ ค่อยสั่งให้องครักษ์นำพลธนูเข้าล้อมยิงลงมา แม้งานมงคลไม่ควรมีเลือด แต่หากเป็นไปตามที่คนผู้นั้นบอกว่าหากเว่ยจวินมั่วแพ้เขาจะเอาตัวมั่วเอ๋อร์ไปเช่นนั้นคงไม่เป็นการดีแน่
คุณชายเสียนเกอยิ้มแล้วมองไปยังเกี้ยวเจ้าสาวด้านข้าง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เห็นเพียงร่างสีแดงจากเกี้ยวผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนยังไม่ทันได้สติก็เห็นร่างในอาภรณ์สีแดงลอยละล่องราวกับนกถลาไปหาสองคนที่กำลังพัวพันต่อสู้กันอยู่ ภายใต้แสงแดดอบอุ่น หงส์สีทองบนชุดนั้นเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ในขณะที่ร่างสีแดงพุ่งผ่านผู้คนไปนั้นได้หยิบกระบี่ยาวของใครบางคนติดมือไปด้วย ดวงตาตกตะลึงของทุกคนยังคงมองขึ้นไปบนหลังคา
เว่ยจวินมั่วหลบหลีกจากกระบี่ของชายวัยกลางคนที่พุ่งเข้าหาด้วยท่าทีซมซาน หลายปีมานี้เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน แม้แต่การต่อสู้กับกงอวี้เฉินที่ได้รับบาดเจ็บหนักเขายังไม่เคยรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์คับขันลำบากถึงเพียงนี้ พึ่งจะยืนได้มั่นคง ลมกระบี่เย็นบางเบาก็พุ่งเข้าหาอีกครั้ง ดวงตาทะมึน มือที่ถือกระบี่อยู่นั้นตกลง ตอนนั้นเองที่ร่างสีแดงพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ปัดพันกระบี่ของชายวัยกลางคนที่พุ่งเข้ามาออกได้ทันเวลา ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว ยกมือชี้นิ้วออกไปพลางก้าวถอยหลัง หนานกงมั่วก้าวขึ้นด้านหน้าไปพยุงเว่ยจวินมั่ว
“เจ้าเด็กไม่ดี ยังไม่ทันแต่งงานก็ช่วยคนอื่นแล้ว สตรีเข้าข้างสามีเสียจริง” ขณะมองไปยังหนานกงมั่ว ชายวัยกลางคนก็เอ่ยพลางถอนหายใจ
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “อาจารย์อา รังแกคนที่เด็กกว่าไม่ใช่แนวทางของท่านเลยนะเจ้าคะ เขายังบาดเจ็บอยู่”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงหยัน “ฝีมือนับว่าไม่เลว ดีกว่าศิษย์พี่ของเจ้าเยอะ เรื่องนี้เจ้าอย่ามาโทษข้า ข้ามิใช่คนน่าเบื่อเพียงนั้น เป็นอาจารย์ของเจ้าต่างหากที่บอกว่าตอนนั้นยังไม่ทันได้ตีเด็กคนนี้สักที”
“…” อาจารย์ ท่านช่วยไว้ใจสักครั้งได้หรือไม่ นอกจากนี้ อาจารย์อาที่รับปากข้อเสนอของอาจารย์ทันที ท่านเป็นคนไม่น่าเบื่อจริงหรือ
มองผู้คนด้านล่างที่มองมา หนานกงมั่วจึงเอ่ย “อาจารย์อา ท่านพอเถิดเจ้าค่ะ”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า ชี้ไปที่ทั้งสองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “รับมือข้าให้ได้หนึ่งพันกระบวนท่า ข้าจะยอมเชื่อว่าเจ้าดีพอที่จะแต่งกับเด็กมั่วเอ๋อร์” หนานกงมั่วกุมขมับ “อาจารย์อา…ข้ายังอยากกราบไหว้ฟ้าดิน” ชายวัยกลางคนกลอกตา เอ่ยต่อ “กลัวอะไรหากเขาขยับไม่ได้แล้ว อาจารย์อาจะให้ศิษย์พี่ของเจ้าไปแทนเขาก็ได้”
ดวงตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่วเกิดดวงไฟลุกโชน ยกกระบี่ขึ้น “ผู้อาวุโส เชิญ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าลงด้วยความพึงพอใจ “ให้มันได้อย่างนี้สิ เมื่อสักครู่ผ่านไปกี่กระบวนท่าแล้ว หากเจ้าจำไม่ได้เรามาเริ่มต้นกันใหม่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “เจ็ดร้อยยี่สิบสามกระบวนท่า”
“เอ๋” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว มองไปยังเว่ยจวินมั่วด้วยความตกใจ สถานการณ์เช่นนี้ยังมีอารมณ์มานับกระบวนท่า ที่สำคัญก็คือ เด็กคนนี้ไม่ถือโอกาสเพิ่มกระบวนท่าอีก นับว่าเป็นคนใช้ได้ สมองก็ไม่นับว่าโง่ มองหนานกงมั่วที่ยืนทำหน้าไม่เห็นด้วยอยู่ด้านหลังเว่ยจวินมั่ว ชายวัยกลางคนก็โบกมือไปมา “ช่างเถิด โตแล้วให้แม่ตัดสินใจไม่ได้ พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”