ตอนที่ 273 บังเอิญ ทำลายดอกบัวขาวนั้นก่อน (2)
น้ำแกงเห็ดรังบวบธรรมดาต้องจ่ายกว่าสองตำลึงเงิน รังบวบ เห็ด น้ำแกง อาหารดูแลสุขภาพ ยาอยู่ไหนเล่า นอกจากรสชาติดีกว่าที่อื่นแล้วก็ไม่รู้ว่ามีตรงไหนที่คุ้มค่ากับเงินสองตำลึงเงิน เงินสองตำลึงสามารถซื้อเห็ดและบวบแล้วยัดไปได้เกินครึ่งของครัวหอเทียนอีเลยก็ว่าได้ แต่ว่าคนที่ยอมจ่ายเงินก็มีจำนวนไม่น้อย ในเมืองจินหลิงนี้คนประเภทไหนเยอะที่สุด ก็คือคนมีเงินที่ชอบโอ้อวด ไม่มีเงินก็อยากโอ้อวด หรือบางทีมีเงินมากมายแต่ไม่มีอำนาจก็อยากโอ้อวดด้วยเช่นกัน พวกเขาสนใจที่ไหนว่าน้ำแกงนั่นจะคุ้มค่ากับเงินสองตำลึงหรือไม่ ไม่แน่ว่าหากราคาต่ำเกินไปเขาอาจคิดว่าไร้คุณภาพ
เว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างช้อนดวงตาขึ้นมาแล้วเหลือบไปมองภรรยาที่พึ่งแต่งงานกัน นึกถึงบทสนทนาของใครบางคนที่เอ่ยกับลิ่นฉังเฟิง… “เมืองจินหลิงนี้เต็มไปด้วยบรรดาคนรวยชั่วข้ามคืนและลูกหลานผู้ดีชนชั้นสูง คนพวกนี้ซื้อของไม่เคยสนใจว่าจะถูกต้องที่สุด แต่ต้องเป็นของที่แพงที่สุด ตั้งราคาสูงมาเถิดไม่ต้องเกรงใจ หากเจ้าคิดราคาถูกเกินไป พวกเขายังจะคิดว่าเจ้าดูถูกพวกเขาเสียอีก ดังนั้น…หอเทียนอีของเราจะเดินอยู่บนเส้นทางชั้นสูง ล่อเอาเงินคนรวยพวกนั้น”
แน่นอนว่าคุณหนูใหญ่หนานกงมิใช่ทำได้เพียงล่อเอาเงิน เปิดกิจการทำธุรกิจจะเอาแต่เอาเปรียบคงไม่ได้ ดังนั้นวัตถุดิบในการปรุงอาหารของหอเทียนอีนั้นจะใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด ตำหรับยามาจากลูกศิษย์หมอผู้มีชื่อเสียง…นั่นก็คือตัวนางเอง ส่วนพ่อครัวหอเทียนอีล้วนแล้วแต่เป็นพ่อครัวผู้โด่งดัง หรือแม้แต่พ่อครัวที่มาจากวังหลวงก็มี นอกจากนั้นยังรับสมัครหมอฝีมือดีเข้ามานั่งประจำร้านคอยตรวจร่างกายลูกค้าและจัดอาหารที่เหมาะสมให้ แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ยังต้องผ่านการฝึกฝนโดยคุณหนูหนานกง หลังจากนั้น คุณชายฉังเฟิงยิ่งมองหนานกงมั่วเปลี่ยนไป บอกตามตรงว่าหากแม่นางมั่วลงมาทำการค้าด้วยตนเอง อันดับหนึ่งในใต้หล้ายังจะเป็นตระกูลจูได้อีกหรือ
หนานกงมั่วยิ้มบาง พยักหน้า ผู้จัดการรีบเอ่ย “ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อที่ยื่นมือช่วยเหลือขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยตอบ “ผู้จัดการไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อเป็นการลงทุนร่วมกันแน่นอนว่าเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อย พวกเราก็คงต้องขอตัวก่อนแล้ว” ผู้จัดการร้านรีบตอบรับ ไปส่งทั้งสองด้วยตัวเอง
“ท่านแม่ ท่านดูสิปิ่นปักผมชิ้นนี้สวยหรือไม่” น้ำเสียงฉอเลาะของหญิงสาวดังเข้ามาจากโถงด้านนอก ทั้งสามเดินมาถึงประตูก็มองเห็นหญิงสาวในชุดสีสันสดใสกำลังหยิบปิ่นปักผมหยกสลักลายดอกบัวขาวปักลงบนศีรษะ ใบหน้าหวานประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใสยิ่งดูน่าหลงใหล เสี่ยวเอ้อร์ด้านข้างมีท่าทีร้อนใจ เอ่ยขึ้น “ต้องขอโทษแม่นางท่านนี้ด้วยขอรับ เครื่องประดับสองชิ้นนี้มีลูกค้าเลือกเอาไว้แล้วขอรับ”
“เลือกแล้วหรือ” หญิงสาวขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยท่าทางไม่พอใจ “ของยังอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ จ่ายเงินแล้วหรือไม่”
“เอ่อ…”
“เอาล่ะ อู่เอ๋อร์ ในเมื่อมีคนเลือกแล้วเราก็เลือกอย่างอื่นเถิด” สตรีท่าทางอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม แม้ม่านลูกปัดจะอยู่ห่างไปไกล แต่ยังได้ยินเสียงอ่อนโยนดังเข้าหู ทำให้คนรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นช่างรื่นหู ราวกับถูกมืออ่อนโยนลูบเบาๆ ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ผ่อนคลายขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินผู้นี้กล่าวถูกแล้วขอรับ หอหลิงซีของเราเป็นร้านค้าเครื่องประดับอันดับหนึ่งในจินหลิง แม่นางลองเลือกดูชมก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
หญิงสาวยู่ปาก ไม่ยินยอม เอ่ย “ไม่ ท่านแม่…อู่เอ๋อร์ชอบอันนี้ อีกสองวันท่านแม่บอกว่าจะไปเยี่ยมเยียนสตรีชนชั้นสูงในจินหลิงมิใช่หรือ ถึงตอนนั้นมอบสิ่งนี้ให้เหมาะสมยิ่งนัก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรามาจากชนบท ดูถูกพวกเรา”
“เอ่อ…”
“ท่านแม่ ในเมื่อน้องสาวชอบก็ซื้อเถิดขอรับ อย่างมากเราก็แค่คุยกับเจ้าของที่เลือกเอาไว้ จ่ายเงินให้สักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ของชิ้นนี้ยังไม่จ่ายเงินด้วยมิใช่หรือขอรับ” ชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ด้านข้างมองน้องสาวด้วยความรัก เอ่ยเสียงทุ้ม
“ใช่เจ้าค่ะ พี่ชายเอ่ยถูกแล้ว พวกเราไม่ได้ขาดเงินเสียหน่อย” หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“เกิดเรื่องอันใดหรือ” หนานกงมั่วยู่ปาก ยกมือขึ้นเปิดม่านลูกปัดออก
เมื่อได้ยินเสียงของนาง คนอื่นๆ จึงหันกลับมาอย่างพร้อมเพรียง สตรีวัยกลางคนในชุดสีขาวพลันหาเสียงตนเองไม่เจอ “พี่สาว”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮูหยินผู้นี้สายตาฝ้าฟางหรือไม่ ข้าพึ่งอายุสิบหกคงเป็นพี่สาวของท่านไม่ได้”
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นใบหน้าแข็งค้าง มองหนานกงมั่วด้วยสายตาขออภัย “ต้องอภัยด้วย…หญิงสาวผู้นี้…คล้ายกับคนที่ข้ารู้จักมาก ข้าเห็นครั้งแรก…” หนานกงมั่วเลิกคิ้วด้วยความสนใจ เอ่ยว่า “ท่านป้าผู้นี้คงไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อพี่สาวของตนใช่หรือไม่ มิเช่นนั้น…ไยจึงได้เลอะเลือนมองเด็กเช่นข้าเป็นพี่สาวของท่านได้ ท่านพี่ ข้าแก่แล้วหรือเจ้าคะ”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้ามองลงมา ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเบา “ในสายตาของข้า อู๋สยาไม่มีวันแก่ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋สยายังเด็กอยู่เลย ต่อให้ผ่านไปอีกสามสิบปี ก็ยังดูเด็กกว่าท่านป้าคนนั้น จะแก่ได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วก้มหน้าปิดบังรอยยิ้ม ผ่านไปอีกสามสิบปีนางก็สี่สิบหกแล้ว สตรีตรงหน้าพึ่งอายุสามสิบแปด เพียงแต่…วาจานี้นางชอบ
ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาก็สามารถเดาฐานะของคนทั้งสามได้ แต่การบังเอิญเจอกันเช่นนี้มันล้าหลังไปสักหน่อย
กล่าวด้วยจิตใจเป็นกลาง เฉียวเฟยเยียนดูแลตนเองเป็นอย่างดี แม้จะอายุใกล้สี่สิบแล้วอีกทั้งยังให้กำเนิดลูกอีกสองคนแต่ดูคล้ายกับคนที่อายุยังไม่เต็มสามสิบ ดูเหมือนกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ สวมชุดสีขาวเรียบหรู ปักลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ บริเวณคอและแขนเสื้อ ความงามของเฉียวเฟยเยียนไม่ได้ด้อยไปกว่าเมิ่งซื่อเท่าใดนัก แต่บุคลิกนั้นแตกต่าง ในความทรงจำของหนานกงมั่ว เมิ่งซื่อร่างกายอ่อนแอมาตลอด แต่บนใบหน้าของเมิ่งซื่อผู้อ่อนแอนั้นกลับไม่เคยมีความอ่อนปวกเปียกจนเพียงเป่าก็ล้มได้ออกมาให้เห็น หากมีใครมาเยี่ยมเมิ่งซื่อจะต้องลุกขึ้นมาแต่งตัวเพื่อต้อนรับ อยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่ว่าเมื่อใดแผ่นหลังของนางก็จะตั้งตรงอยู่เสมอ แม้จะนอนเอนหลังเกียจคร้านอยู่บนเตียงหรือนั่งพิงเก้าอี้นุ่ม ล้วนอยู่ในท่าทีสง่างามและสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ในความทรงจำที่นางจำได้ทั้งหมดมีเพียงสองคำนี้ที่สามารถอธิบายความเป็นเมิ่งซื่อได้ หนานกงมั่วคิดว่าชาตินี้ตนเองคงไม่สามารถสง่างามและสูงส่งได้เช่นเมิ่งซื่อ และนางยังไม่เคยเห็นสตรีผู้ใดที่จะเทียบเมิ่งซื่อได้เลย
สำหรับเฉียวเฟยเยียน ความคิดแรกในหัวหนานกงมั่วก็คือ…เอ่ยว่าอยากสวยทั้งที่ไว้ทุกข์อยู่ คนโบราณซื่อสัตย์ไม่โกหกข้า
เฉียวเฟยเยียนที่อยู่ในชุดสีขาวยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามของนาง…รอยยิ้มเมตตาและอ่อนโยน ราวกับดอกบัวขาวที่พริ้วไหวไปตามสายลม
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ นึกย้อนกลับไปถึงวันที่ตนเองเล่นละครฉากใหญ่ที่ห้องโถงฝูฮุ่ยพลันรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ ต่อให้ตนสวมชุดสีขาวก็คงไม่เหมือนดอกไม้สีขาวใช่หรือไม่ นึกไปถึงการร้องรำน้ำหูน้ำตาไหลของตนแล้ว จากนั้นหันกลับมามองคนตรงหน้า… ต่อไปข้าจะไม่แสดงบทดอกบัวขาวอีกแล้ว
“อู๋สยา เจ้าคืออู๋สยาหรือ” เฉียวเฟยเยียนเห็นได้ชัดว่าหัวใจนางนั้นด้านชาเป็นที่สุดแล้ว ราวกับไม่รับรู้ถึงวาจาเสียดสีจากทั้งสองคน ใบหน้ายินดีมองไปยังหนานกงมั่ว “เจ้าคือมั่วเอ๋อร์ของพี่สาวหรือ”