ตอนที่ 295 ซาลาเปาตีหมา (2)
ฮ่องเต้ครุ่นคิด เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อาหารในวังข้าก็เบื่อแล้ว มิสู้…เราออกไปกินข้างนอกดีหรือไม่”
“ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองด้วย” ฮ่องเต้พึ่งเอ่ยจบ บรรดานางในและขันทีต่างคุกเข่าลงบนพื้น ยามนี้ร่างกายของฮ่องเต้ไม่แข็งแรงนัก หมอหลวงกำชับแล้วว่าอาหารของฝ่าบาทต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพียงแต่ปกปิดต่อคนนอกมาตลอด หนานกงมั่วรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ฮ่องเต้ปกปิดอาการป่วยของตนเองต่อผู้อื่นมีประโยชน์อันใด หากเกิดเรื่องขึ้นมา รับมือไม่ทันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมหรือ
ฮ่องเต้ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เอ่ย “มีอันใดต้องไตร่ตรอง ข้าไม่อยากฟัง จินหลิงเมืองใต้เท้าโอรสสวรรค์เช่นนี้จะเกิดอันใดขึ้นได้ มีองครักษ์ไว้ทำไมกัน เด็กน้อย เจ้าว่าใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วลอบกระตุกมุมปาก เอ่ยเช่นนี้แล้วข้าจะทำอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้กังวลเรื่องอันตรายที่ไหนกัน แต่กังวลเรื่องอาหารของฝ่าบาทต่างหากเล่า โชคดีที่ฮ่องเต้นั้นไม่ได้ต้องการให้นางลำบากใจ ไม่รอให้นางได้ตอบก็เอ่ยขึ้น “ลุกขึ้นมาให้หมด ไปตามจวินมั่วมา ไปด้วยกัน”
หนานกงมั่วรู้สึกว่าตนเองนั้นได้กลายเป็นที่กล่าวโทษของบรรดาองครักษ์ นางใน และขันทีทั้งหลายไปแล้วจริงๆ ใครใช้ให้นางเอ่ยถึงเรื่องกินข้าว ทำให้ฮ่องเต้คิดอยากออกไปข้างนอกขึ้นมา หากเกิดสิ่งใดขึ้นนางไม่ซวยหรอกหรือ แต่เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงตัดสินใจไปแล้ว ไม่ใช่ว่าใครจะเปลี่ยนความคิดพระองค์ได้ง่ายๆ
สองเค่อ[1]ผ่านไป ฮ่องเต้มองหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วอย่างพึงพอใจ รวมทั้งหัวหน้าขันทีและองครักษ์หลายคนที่ออกจากวังมาเดินเล่นอยู่บนถนนเมืองจินหลิงในชุดธรรมดา เมืองหลวงแน่นอนว่าย่อมครึกครื้นไม่ธรรมดา ผู้คนหลั่งไหลไปมาไม่หยุด การเป็นฮ่องเต้นั้นไม่อาจออกจากวังมาได้บ่อยครั้งพระองค์จึงรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ เกิดมาก็อยู่ในยามบ้านเมืองไม่สงบอีกทั้งยังเกิดมายากจนอีกด้วย ตอนเป็นเด็กและเมื่อครั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวเขาไม่มีโอกาสได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ ในวัยหนุ่มนั้นเขาต้องอยู่ในสนามรบติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ประชาชนทุกข์ยากไม่อาจได้เห็นภาพเหล่านี้ รอจนก่อตั้งอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำในการก่อตั้งประเทศกลับสูญเสียอิสระอย่างการอยากไปไหนก็ได้ไป และจำต้องปิดบังเหล่าขุนนางแอบออกมาเดินเล่น แต่ก็ทำได้เพียงเดินวนไปมาอยู่ในตัวเมืองชั้นในเพียงเท่านั้น ยามนี้อายุมากแล้ว ร่างกายก็ไม่เด็กแล้ว โอกาสที่จะได้ออกมายิ่งน้อยลงไปอีก
มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาใช้ชีวิตสบายๆ ฮ่องเต้จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพอใจต่อความเจริญรุ่งเรืองของจินหลิงหรือว่าพอใจต่อผลงานการปกครองของตนเอง หันกลับไปเอ่ยถามหนานกงมั่ว “เจ้าว่ามาสิ เราจะไปกินข้าวที่ใดดี”
หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่านายท่านบอกว่าอยากไปที่ไหนเราก็ต้องไปที่นั่นเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ได้ยินมาว่าตอนนี้จินหลิงมีหอเทียนอีที่มีอาหารไม่เลวเลย พวกเราลองไปดูสักหน่อย”
“เชิญนายท่านเจ้าค่ะ” ที่แท้ฮ่องเต้ก็รู้ว่าหอเทียนอีเป็นกิจการของนาง สมแล้วที่เป็นฮ่องเต้ นั่งอยู่ในวังก็รู้ข่าวข้างนอกได้ดีเช่นนี้ เพียงแต่เครือข่ายข่าวกรองนี้ไม่ไปสืบลูกหลานของเขา กลับมาสืบสตรีเช่นนางที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดด้วย นับว่าฮ่องเต้ว่างเกินไปหรือไม่
หนานกงมั่วไม่ได้มายังหอเทียนอีบ่อยนัก ลิ่นฉังเฟิงมีความสามารถในการบริหารกิจการ เพียงบอกเล็กๆ น้อยๆ เขาก็สามารถจัดการมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งว่าหากให้หนานกงมั่วลงมือจัดการเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าเขา ดังนั้นหนานกงมั่วจึงเป็นเจ้าของร้านที่ทิ้งงานไปได้อย่างมีความสุข
เพียงก้าวเดินเข้าไปในหอเทียนอีพลันได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน หนานกงมั่วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หอเทียนอีไม่ได้ครึกครื้นเหมือนโรงน้ำชาทั่วไป โดยปกติบรรยากาศนั้นเงียบสงบ แขกผู้มาเยือนล้วนแล้วแต่มาซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบแตกต่างจากที่อื่น
เดินเข้าไปก็มีเสี่ยวเอ้อร์แต่งตัวสะอาดเรียบร้อยตรงเข้ามาต้อนรับทันที เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วจึงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยทักทาย “คารวะซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ คารวะท่านผู้เฒ่า ทั้งสามท่านเชิญด้านในเลยขอรับ” เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเคยมาไม่กี่ครั้ง แน่นอนเสี่ยวเอ้อร์ไม่รู้ว่าหนานกงมั่วคือเจ้าของที่แท้จริงของหอเทียนอี แต่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายฉังเฟิง
ฮ่องเต้พยักหน้า มองสำรวจการตกแต่งรอบๆ พลางเอ่ย “ที่นี่ไม่เลว เพียงแต่…ร้านของพวกเจ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์มองพวกหนานกงมั่ว เอ่ยอย่างจนปัญหา “มีเรื่องเล็กน้อยขอรับ รบกวนความสงบของท่านผู้เฒ่าแล้ว ได้โปรดอภัยด้วยขอรับ ทุกท่านเชิญด้านในขอรับ ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อชอบห้องที่มีความเป็นส่วนตัว พวกเราจึงได้เตรียมเอาไว้ให้แล้วขอรับ”
เห็นสายตาแปลกใจของฮ่องเต้ที่มองมา หนานกงมั่วจึงจำต้องเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ ฉังเฟิงอยู่หรือไม่” ลิ่นฉังเฝิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเว่ยจวินมั่วคนทั่วทั้งจินหลิงนั้นล้วนรู้ดีไม่จำเป็นต้องปิดบัง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแบบนี้ปิดบังต่อหน้าฮ่องเต้คงน่าขันเสียมากกว่า แม้กระทั่งเรื่องที่นางเป็นเจ้าของตัวจริงของหอเทียนอีฮ่องเต้ยังรู้ได้ ยังจะไม่รู้จักลิ่นฉังเฟิงได้อย่างไร
เสี่ยวเอ้อร์ถอนหายใจ เอ่ยตอบ “นายท่านลิ่นมาขอรับ หากโวยวายเช่นนี้ต่อไป หอเทียนอีเรายังจะเปิดได้อีกหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยเช่นนี้ แน่นอนหวังให้เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเห็นแก่ความสัมพันธ์กับลิ่นฉังเฟิงจึงยื่นมือเข้ามาช่วย ทว่าไม่รู้ว่าต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลิ่นฉังเฟิง หนานกงมั่วก็ไม่อาจละเลยไม่สนใจได้ เพราะนี่คือกิจการของนางเองนี่นา หากปล่อยให้นายท่านตระกูลลิ่นมาทำลาย ใครจะมาชดเชยความสูญเสียให้นางกัน
ทุกคนเดินเข้ามานั่งให้ห้องพิเศษที่หนานกงมั่วมานั่งอยู่บ่อยครั้ง แม้จะอยู่ห่างออกมาไกลทว่ายังคงได้ยินเสียงทะเลาะกันมาถึงที่นี่ ฮ่องเต้เอ่ยถาม “ทำไมหรือ นายท่านตระกูลลิ่นผู้นี้จะทำลายกิจการของบุตรชายตนเองเลยหรือ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างจนปัญญา “นั่นน่ะสิขอรับ ตระกูลลิ่นเป็นเช่นไร แน่นอนว่าดูหมิ่นเรื่องที่บุตรชายของตนทำกิจการการค้า กลิ่นเงินแปดเปื้อนกาย ตั้งแต่ตระกูลลิ่นรู้ว่าหอเทียนอีเป็นของคุณชายลิ่นก็มาก่อเรื่องอยู่บ่อยๆ ขอรับ หลายวันก่อนยังมาลากตัวคุณชายฉังเฟิงไปโบยด้วย น่าสงสารคุณชายของเราบาดแผลยังไม่หายดีก็… อีกทั้งบรรดาญาติพี่น้องตระกูลลิ่นนั้นชอบมากินดื่มที่นี่อยู่บ่อยครั้งแล้วยังติดหนี้เอาไว้ ตระกูลชนชั้นสูงอะไรกัน ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยขอรับ…”
เอ่ยถึงตระกูลลิ่น เสี่ยวเอ้อร์ก็มีคำพูดมากมายไม่จบไม่สิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรู้สึกดีต่อตระกูลลิ่นเลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน ชาและอาหารว่างก็ถูกยกเข้ามา ได้ยินเสียงดังโวยวายที่ไม่มีท่าทีจะจบสิ้นแล้ว ฮ่องเต้จึงชี้ไปยังหนานกงมั่ว เอ่ยสั่งว่า “ไป ไปดูว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่” หนานกงมั่วยิ้มบาง “ยังจะเป็นเรื่องใดได้อีกเพคะ ตระกูลลิ่นนับได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงในจินหลิง แน่นอนว่ายอมไม่ได้หากลูกหลานในตระกูลมาทำกิจการต่ำต้อยเสียชื่อเสียงของตระกูลพวกเขา” ความจริงกิจการการค้าไม่นับว่าเป็นอาชีพต่ำต้อย แม้อาชีพค้าขายจะอยู่ขั้นต่ำกว่าขุนนาง เกษตรกร งานช่างไม่น้อย แต่สำหรับตระกูลลิ่นแล้วคงไม่ต่างอะไรกับอาชีพชั้นต่ำมากนัก
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ข้าจำได้ว่า…เจ้าเด็กตระกูลลิ่นคนนั้น คือคนที่ถูกถอดสิทธิ์การเข้ารับราชการไปแล้วไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นขุนนางไม่ได้ ทำการค้าดูแลครอบครัวก็ไม่มีอันใดเสียหายนี่ ตระกูลชั้นสูงไหนบ้างไม่มีกิจการอยู่ในมือ” แม้เขาเป็นถึงฮ่องเต้แต่ก็ไม่เคยมีความคิดว่าการค้าเป็นอาชีพชั้นต่ำ ทั้งหมดนั้นมีเพียงพวกปราชญ์เล่าเรียนทั้งหลายที่พยายามแบ่งชนชั้นออกเป็นสาม หก เก้า ในสายตาของฮ่องเต้นอกจากตัวเขาเองและลูกหลาน ทุกคนทั้งหมดเป็นราษฎรล้วนเทียบเท่ามิได้สูงส่งไปกว่ากันแต่อย่างใด แต่การลดขั้นของการค้าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการปกครองก็เท่านั้น
————————-
[1] เค่อ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที