ตอนที่ 318 รักษากระดูกหักกระดูกร้าวอะไรไม่ถนัดเลย (1)
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยกระซิบ
ใบหน้าของหนานกงมั่วแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อบ่ายตนเองทำเรื่องใดไว้ ไม่ใช่ว่าเขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งบ่ายหรอกกระมัง หนานกงมั่วรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายแปลกตา
“นั่นอะไร…ระ รอ รอก่อนได้ไหม”
“รอไม่ไหวแล้ว” ผ้าคาดเอวไหมสีทองถูกดึงออกไป ใบหน้าหล่อเหลาลดระยะห่างจากนางเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากทั้งสองประกบเข้าด้วยกัน
“จวินมั่ว…อย่า…” หนานกงมั่วรู้สึกถึงความร้อนที่ออกมาจากหัวใจแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง รับมือไม่ถูก
ริมฝีปากเย็นเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อนขึ้นมา คลอเคลียจูบหญิงสาวตรงหน้าไม่อาจถอนตัว “อู๋สยา อย่ากลัว…เชื่อใจข้า”
เชื่อท่านข้าอาจจะตายได้ ความรู้สึกหวาดกลัวราวกับจะถูกกลืนกินได้ทุกเมื่อทำให้นางต้องหลับตาลง ไม่ได้ยินคำพูดของเว่ยจวินมั่วอีก แต่จูบนั้นก็ยังตามคลอเคลียนางเป็นเงาไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หนานกงมั่วกัดฟัน อดทนไม่ไหว เช่นนั้นก็ไม่ต้องทนแล้ว
เพียงพลิกตัว ตำแหน่งของทั้งคู่พลันเปลี่ยนไป หนานกงมั่วมองลงมายังใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ยิ้มหวานประคองใบหน้าหล่อเหลาของเขา “ให้จวิ้นจู่เช่นข้าได้ทะนุถนอมท่านเถิด คุณชายผู้หล่อเหลา ยิ้มให้จวิ้นจู่สักหน่อยดีหรือไม่”
ดวงตาสีม่วงมีรอยยิ้มบางๆ พาดผ่าน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นถึงความตื่นเต้นของใครบางคน
“อู๋สยา เจ้ากล้าจริงหรือ” ในที่สุดก็มีพัฒนาการ ครั้งนี้ไม่ได้ต่อยหมัดออกมาในทันที
“ข้ากล้าไม่กล้า ท่านลองดูก็รู้แล้ว” หนานกงมั่วยังคงยิ้ม ก้มลมจุมพิตริมฝีปากของใบหน้างดงาม ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ยกมือขึ้นประคองเอวบางของหญิงสาวเอาไว้ “อู๋สยา…”
ขณะที่กำลังลุ่มหลงอยู่กับการจุมพิตนั้น ไม่มีใครสนใจว่ามีการเปลี่ยนตำแหน่งตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงหนานกงมั่วที่นึกขึ้นได้แล้วพยายามแย่งกลับคืนมา จากนั้นก็กลับหลงมัวเมาไปในความร้อนแรงของเขาอีกครั้ง ผ้าม่านสีทองร่วงหล่นลงไปตอนไหนไม่มีใครรู้ เสื้อผ้าค่อยๆ หล่นซ้อนทับอยู่ด้วยกัน ราวกับคนสองคนที่กำหนดไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต
ด้านนอกหน้าต่าง ทางช้างเผือกล้อมจันทรา สรรพสิ่งเงียบสงัด
ด้านในห้อง แสงเทียนส่องประกาย ความอบอุ่นอบอวล
รุ่งสาง แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านลายฉลุบนหน้าต่างเข้ามาในห้อง แม้จะมีฉากกันลมกั้นเอาไว้ ทว่าก็มีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาได้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นผ่านผ้าม่านออกไป ปัดผ้าม่านสีทองไปอีกฝั่งหนึ่ง
บนเตียงใหญ่ คู่แต่งงานหนึ่งคู่กำลังนอนกอดกันกลม ใบหน้าสวยของหญิงสาวขึ้นสีแดงเล็กน้อยกำลังหลับสบายโดยหนุนไหล่ของชายหนุ่มเอาไว้ เพราะชายหนุ่มขยับตัว ทำให้ผ้าห่มที่ปกปิดบนร่างกายเผยอเลื่อนลง เผยให้เห็นไหล่เปลือยเปล่า
เพียงแต่ผู้ที่ทำให้คนอื่นต้องใจเต้นแรงกลับหลับสนิทโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ดวงตาของชายหนุ่มเข้มขึ้น ยกมือขึ้นไปดึงผ้าห่มคลุมส่วนเปลือยเปล่าที่โผล่ออกมา
“อืม…” หนานกงมั่วลืมตาขึ้นอย่างมึนงง พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน ดวงตาฉายแววสีดำขึ้นมา ท่าทางการนอนของนางแย่มากถึงขั้นนี้แล้วหรือ นางจำได้ว่า…จำได้ว่า ไม่ใช่สิ เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ประสานเข้ากับดวงตาสีม่วงงดงามราวกับอัญมณีคู่นั้น
“ตื่นแล้วหรือ”
ความร้อนปะทุขึ้นมาบนใบหน้าทันใด ใบหน้าเล็กที่เดิมก็แดงอยู่แล้วยามนี้ยิ่งแดงก่ำขึ้นมา ความปวดร้าวลุกลามไปทั่วทั้งตัว นางพึ่งรู้สึกว่าร่างทั้งร่างราวกับถูกรถชน นึกถึงเรื่องที่ใครบางคนทำไปเมื่อคืน ไฟร้อนแรงที่เกาะเกี่ยว ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำสาดซัดเข้ามาไม่หยุด ภาพปรากฏขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ
“เว่ยจวินมั่ว” หนานกงมั่วกัดฟัน ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าทั้งส่วนบนและส่วนล่างของตนเองนั้นกำลังไม่สบาย ก้มลงไปกัดคนที่ควรได้รับโทษอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มดึงนางเข้าสู่อ้อมอก เปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา “อู๋สยา…”
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ ก้มลงไปมองลำคอของใครบางคนที่โดนตนเองกัด ในใจรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
“เดี๋ยว…เดี๋ยวค่อยหาโอกาสคิดบัญชีกับท่าน”
หนานกงมั่วลุกขึ้นนั่ง คิดจะเดินออกไปก่อน น่าเสียดายที่ชายหนุ่มด้านหลังไม่คิดจะเปิดโอกาสให้นางได้ทำเช่นนั้น เพียงลุกขึ้นออกแรงเบาๆ หนานกงมั่วก็รู้สึกราวกับโลกหมุน ได้สติกลับมาอีกทีก็พบว่าตนเองนอนลงไปบนเตียงอีกครั้งแล้ว เว่ยจวินมั่วมองลงมา ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเจ้าเล่ห์และมีความสุข “อู๋สยา เป็นเจ้าเองนะที่ยั่วยวนข้า”
“ห๊า”
ยังคิดหาวิธีเอาตัวรอดไม่ได้ หนานกงมั่วก็ถูกดึงเข้าไปในวังวนร้อนแรงอีกครั้ง
“เว่ย…เว่ยจวินมั่ว…เจ้าบ้า…”
ด้านนอก จือซูและหมิงฉินพาสาวใช้ยกน้ำมายืนรออยู่หน้าประตูสักพักแล้ว จือซูโบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “ออกไปก่อน รอซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อเรียกใช้ก่อนค่อยเข้าไปปรนนิบัติ”
เรื่องที่ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อยังไม่เข้าหอนั้นโกหกคนนอกได้ โกหกองค์หญิงฉังผิงได้ แต่จะโกหกสาวใช้เคียงกายเช่นพวกนางได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อเห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะปิดบัง แม้พวกนางจะร้อนใจแทนคุณหนูอยู่ในใจ แต่ทุกคนล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน เรื่องแบบนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของคุณหนู หากไม่ยินยอมด้วยตนเอง คนรอบข้างจะโน้มน้าวอย่างไรก็คงไม่เป็นผล ยามนี้สำเร็จแล้ว พวกนางจึงลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
หมิงฉินและจือซูต่างหันมาสบตาและยิ้มให้กัน ทั้งสองพาสาวใช้เดินออกไปด้านนอก
หนานกงมั่วตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ลืมตาขึ้นมามองเห็นเว่ยจวินมั่วสวมชุดกลาง[1]นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง ความงามของเว่ยซื่อจื่อนั้น แม้จะอยู่ในชุดกลางก็ยังทำให้คนแทบหยุดหายใจ ผมสีดำยังไม่ถูกมัดขึ้นเช่นปกติ เพียงใช้ที่คาดผมปักไว้ง่ายๆ ปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง แตกต่างจากใบหน้าเย็นชายามปกติยิ่งนัก มีความสบายและเกียจคร้านมากขึ้น
เมื่อรับรู้ได้ว่านางตื่นแล้ว เว่ยจวินมั่วจึงวางหนังสือลงและหันมาเอ่ยเสียงเบากับนาง “ตื่นแล้วหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หนานกงมั่วกลอกตา นางไม่สบายไปทั่วทุกที่ ไม่ใช่เพราะคนบ้าผู้นี้หรอกหรือ
เว่ยจวินมั่วเองก็ไม่สนใจ ขยับเข้าไปประคองนางขึ้นมา “เที่ยงแล้ว เดี๋ยวข้าจะให้คนมาช่วยแต่งตัวให้เจ้า แล้วมากินมื้อเที่ยงเถิด สองวันนี้พักผ่อนเสียหน่อย ต่อไป…ก็ไม่เป็นไรแล้ว” หนานกงมั่วรู้สึกว่าตนเองนั้นอยากจะต่อยหน้าเขาสักหมัด “ไม่ใช่ร่างกายของท่าน ท่านไม่รู้ถึงความเจ็บปวดหรอกคนบ้า ก็บอกแล้วว่า…” มองดูใบหน้าใสซื่อของชายหนุ่ม หนานกงมั่วกัดฟันอยู่เงียบๆ
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ใครว่า ข้าก็เจ็บเหมือนกัน”
หนานกงมั่วกลอกตาใส่เขา ไม่เคยเห็นบุรุษที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังไร้ยางอายจนได้โล่เกียรติยศเช่นนี้ เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว หันกลับมาถอดชุดกลางของตนออก
“ท่านจะทำอันใด” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นอย่างระแวดระวัง สาบานกับตัวเองว่าหากเจ้าบ้านี้ทำอะไรไม่รู้เรื่องอีกนางจะต่อยให้ไม่กล้าออกจากบ้านเลย ชุดกลางสีขาวหล่นลง เผยให้เห็นแผ่นหลังตั้งตรง รูปร่างของเว่ยซื่อจื่อนั้นดีมาก ไม่ได้ผอมบางเกินไป และไม่มีไขมันเยอะจนให้ความรู้สึกหนาแน่นไป เพียงแต่แผ่นหลังที่ควรจะเรียบเนียนนั้นกลับเต็มไปด้วยร่องรอยที่ยังทิ้งคาบเลือดเอาไว้ หนานกงมั่วใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
——————–
[1] ชุดกลาง คือ ชุดที่สวมอยู่ระหว่างชุดชั้นนอกและชั้นในของเครื่องแบบจีนโบราณ