ตอนที่ 312 การประลองผูกมิตร (3)
เซี่ยเพ่ยหวนพยักหน้า เอ่ย “ฉินสี่ปีนี้อายุสิบเจ็ด มากกว่าเจ้าหนึ่งปี แต่ว่าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด ได้ยินมาว่าอยู่ได้ไม่ถึงยี่สิบ คนตระกูลฉินจึงรักและทะนุถนอมนางมาก มิเช่นนั้นด้วยสถานะของคุณหนูตระกูลฉิน ต่อให้หร่วนอวี้จือมีความสามารถโดดเด่นเพียงใดก็ไม่อาจแต่งงานกับนางได้ เพียงเพราะนางชอบ คนตระกูลฉินจึงไม่อาจปฏิเสธได้”
“มั่วเอ๋อร์ดูจะประหลาดใจต่อ…หร่วนอวี้จือผู้นี้” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยท่าทีแปลกใจ แม้หร่วนอวี้จือจะโดดเด่นนั่นไม่ผิดเลย แต่ว่าเว่ยซื่อจื่อไม่ว่าอย่างไรรูปร่างหน้าตาหรืออำนาจก็ดีกว่าอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่เอ่ยถึงเว่ยซื่อจื่อ คนอื่นๆ ตรงนั้นแน่นอนว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าหร่วนอวี้จือ หนึ่งในนั้นยังมีพี่เจ็ดของเซี่ยเพ่ยหวน พี่ชายตนเองถูกเพื่อนรักมองข้าม คุณหนูเซี่ยสามจึงแสดงความไม่พอใจออกมา
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ คุณชายจนๆ ผู้หนึ่งถูกองค์หญิงแนะนำเทียบชั้นกับบรรดาคุณชายเหล่านั้นได้ ยังไม่เพียงพอให้คนรู้สึกประหลาดใจได้หรือ” เซี่ยเพ่ยหวนส่ายหน้า แสดงออกว่าไม่มีความสนใจต่อหร่วนอวี้จือ “หากไม่บังเอิญได้หมั้นหมายกับคุณหนูสี่ฉิน เขาก็คงไม่เป็นที่สนใจของใครหลายคนหรอกใช่หรือไม่ บนโลกนี้คนมีความสามารถนั้นมีไม่น้อย คุณชายหร่วนผู้นี้เพียงมาได้ถูกเวลาก็เท่านั้น”
“ดูเหมือนว่าเพ่ยหวนจะไม่ชอบคุณชายท่านนี้หรือ” หนานกงมั่วหันหน้ามาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเพ่ยหวนขมวดคิ้วใช้ความคิด ไม่ยอมรับไม่ได้เลยว่าหนานกงมั่วเอ่ยไม่ผิดเลย แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้รู้สึกไม่ดีต่อหร่วนอวี้จือเพียงผู้เดียว ว่ากันตามตรงนางเองยังไม่เคยรู้จักกับหร่วนอวี้จือมาก่อน หร่วนอวี้จือเองก็ไม่เคยทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจ ใบหน้างดงามในยามนี้ขมวดมุ่นด้วยความสงสัยและงุนงง หนานกงมั่วยกมือขึ้นบีบใบหน้าเล็กของนางเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษของคุณหนูเซี่ยสามเพียงเท่านั้น คนผู้นี้…อยู่ห่างไกลก็ยังกระจายกลิ่นที่ทำให้คนไม่ชอบออกมาได้”
“หืม” กลิ่นอันใด ไกลเพียงนี้ยังได้กลิ่น
ดวงตาของหนานกงมั่ววาววับ เอ่ยเสียงกระซิบ “กลิ่นคนเลว”
ประโยคสุดท้ายนั้นเซี่ยเพ่ยหวนได้ยินไม่ชัด ทว่าไม่ได้เอ่ยถามอันใดต่อ ในเมื่อไม่ชอบก็ไม่ต้องเอ่ยถึงคนผู้นี้ อย่างไรก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว
“มั่วเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นั่นคือพี่เจ็ดของข้า” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“คุณชายเซี่ยเจ็ด ช่างงามสง่าเหนือผู้ใด” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม มองท่าทางโอ้อวดที่หาได้ยากยิ่ง เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ แม้พี่เจ็ดจะมิใช่พี่ชายร่วมมารดาของข้า แต่เป็นบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลเซี่ยเราแล้ว” ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลเซี่ย แน่นอนเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง แต่ลูกหลานในตระกูลล้วนอยู่ในกฎ ตระกูลเซี่ยไม่ยุ่งการเมือง ส่วนใหญ่หากสอบจอหงวนผ่านก็ไปเป็นผู้เรียบเรียงเขียนประวัติศาสตร์ ไม่เช่นนั้นก็กลับมาสอนที่สำนักศึกษา เพราะเหตุนี้จึงมิได้มีชื่อเสียงมากมายในจินหลิง คุณชายเซี่ยเจ็ดผู้นี้ปีนี้อายุได้สิบเก้าปีและเป็นคนฉลาดเฉลียวโดดเด่นที่สุดของตระกูลเซี่ย น่าเสียดาย คนเช่นนี้ต่อให้ในอนาคตจะสูงส่ง ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอนาคตในราชการ
องค์หญิงหลิงอี๋ที่อยู่ด้านข้างรับชมการแสดงอยู่ด้านนอกพลางเงี่ยหูฟังทั้งสองคุยกัน ได้ยินถึงตรงนี้จึงหันกลับมายิ้มตาหยี เอ่ย “หนุ่มสาวเช่นพวกเจ้ามองเพียงบุรุษหล่อเหลาเท่านั้น ข้ากลับรู้สึกว่าฉินจื่อซวี่และลู่เจิงดูโดดเด่นยิ่งกว่า”
ฉินจื่อซวี่เป็นบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักของตระกูลฉิน จะต้องเป็นผู้นำตระกูลฉินในยุคถัดไป ส่วนลู่เจิงเกิดในตระกูลแม่ทัพ ดูสง่างามอ่อนโยนมากกว่าหร่วนอวี้จือ และสุขุมมีอำนาจเสียยิ่งกว่าคุณชายเซี่ยเจ็ดหลายเท่า
หนานกงมั่วมองสบตากับเซี่ยเพ่ยหวนด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วเอ่ย “เสด็จน้ากล่าวได้ถูกแล้วเพคะ ความจริงหม่อมฉันก็คิดว่าคุณชายฉินและคุณชายลู่ดียิ่งกว่า แต่คงไม่ดีหากขายหน้าเซี่ยสาม” เซี่ยเพ่ยหวนแค่นยิ้ม “พี่เจ็ดดีที่สุดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามเนี่ยนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ดูสิ”
ซังเนี่ยนเอ๋อร์และซุนเหยียนเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังพวกนางอดไม่ได้ยกมือขึ้นปิดปากลอบยิ้ม ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา “พวกเขาใครจะดีก็คงต้องให้ซั่นจยาเซี่ยนจู่เป็นคนตัดสินใจ”
ได้ยินเช่นนั้น หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ จะว่าไป…วันนี้ตระกูลจูตั้งใจจะเลือกบุตรเขยมิใช่หรือ เซี่ยเพ่ยหวนหันใบหน้ากลับมาด้วยท่าทางแข็งทื่อ ลอบมองมารดาที่นั่งอยู่ด้านข้างองค์หญิงหลิงอี๋ เอ่ยกับหนานกงมั่วทื่อๆ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว คุณชายฉินและคุณชายลู่นั้นดียิ่งกว่า” นางไม่ต้องการให้พี่เจ็ดของนางแต่งกับจูชูอวี้ผู้นี้เลยสักนิด
หนานกงมั่วยักไหล่ “เหยียนเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว พวกเรามิใช่คนตัดสินใจ”
ในยามที่สตรีทั้งสองกำลังถกเถียงว่าชายหนุ่มรูปงามคนใดดีกว่าอย่างเป็นจริงเป็นจัง การแสดงด้านนอกศาลาริมน้ำก็ค่อยๆ เริ่มครึกครื้นขึ้นมา ช่วงแรกเริ่มนั้นเป็นคุณหนูจากตระกูลเล็กๆ ความจริงเพียงต้องการเข้าร่วมก็เท่านั้น แต่เมื่อจูชูอวี้เริ่มแสดงบรรยากาศก็เปลี่ยนไป
จูชูอวี้เลือกวาดภาพ ขณะที่นางวาดภาพก็มีบุรุษรูปงามนั่งดีดฉินอยู่ตรงหน้าจึงไม่ได้น่าเบื่อแต่อย่างใด แต่เมื่อเสียงบรรเลงฉินจบลง มีสตรีสองคนลงมายังแท่นประลองการแสดง หนึ่งในนั้นดีดฉินก็ไม่แปลกแต่อย่างใด ทว่าอีกคนกลับเลือกวาดภาพเหมือนจูชูอวี้
อีกฝ่ายเห็นบรรดาคุณหนูกำลังแสดงความสามารถในการวาดภาพก็ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน ไม่นานก็มีบรรดาชายหนุ่มรูปงามออกมาวาดภาพด้วยเช่นกัน แม่นางที่ดีดฉินผู้นั้นจึงถูกเมินไปเสียแล้ว
“สองคนนั้น คนที่ดีดฉินคือลิ่นอู๋ซวงจากตระกูลลิ่น คนที่วาดภาพก็คือหยางฮุ่ยถิงจากตระกูลหยาง ภาพวาดของหยางฮุ่ยถิงนั้นมีชื่อเสียงในจินหลิง อีกทั้งยังเคยได้รับคำชื่นชมจากขุนนางสำนักศึกษาไท่เสวีย[1]” ซุนเหยียนเอ๋อร์เลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเบา หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยตอบเสียงเรียบ “แต่ว่า…หากไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะล่ะก็ จูชูอวี้คงไม่มีทางเลือกวาดภาพหรอก”
“ซั่นจยาเซี่ยนจู่เป็นสตรีมีความสามารถ แต่ไม่เคยได้ยินว่านางเก่งเรื่องวาดภาพเลยนะ” ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ย
หนานกงมั่วมองสบตากันกับเซี่ยเพ่ยหวน ดวงตาฉายแววประหลาดใจ พวกนางรู้จักจูชูอวี้มากกว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง รู้ดีว่าจูชูอวี้ไม่มีทางให้ตนเองขายหน้าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นแน่ เช่นนั้นจะบอกว่าความจริงแล้วจูชูอวี้มีความสามารถในการวาดภาพไม่ธรรมดาทว่าปกปิดเอาไว้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วเพราะอะไรเล่า จูชูอวี้ไม่ใช่คนถ่อมเนื้อถ่อมตนสักหน่อย
เวลาผ่านไปเมื่อไม่มีใครอยู่ในแท่นประลองแล้ว ทุกคนต่างก็เฝ้ารอคนที่วาดภาพเพียงไม่กี่คน ผู้ที่ดีดฉินก็พักมือของตนไปนานแล้ว แม้ฝีมือการดีดฉินของนางจะไม่เลว แต่ก็ไม่นับว่าดีที่สุด
เวลาผ่านไปอีกสองเค่อ ผู้ที่วาดภาพจึงหยุดมือลง ดวงตาหยางฮุ่ยถิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจมองไปยังจูชูอวี้ จูชูอวี้ยิ้มบางอย่างไม่สะทกสะท้าน
องค์หญิงหลิงอี๋ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นั่งตั้งนานเริ่มเหนื่อยแล้ว พวกเราไปดูรูปสุดท้ายเหล่านั้นกันเถิด อู๋สยา ไปกับข้า” หนานกงมั่วน้อมรับคำสั่ง นางเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อจูชูอวี้
“ถวายพระพรองค์หญิงหลิงอี๋ คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่” ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี ไต้ซือเนี่ยนหย่วน ยินดีที่ได้พบ”
เนี่ยนหย่วนยกมือขึ้นคารวะ ยิ้มบางๆ “ถวายพระพรองค์หญิง คารวะจวิ้นจู่”
นับตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ถูกศิษย์พี่ทำให้สลบและพากลับวัดต้ากวงหมิง นี่เป็นครั้งแรกที่หนานกงมั่วได้เจอกับเนี่ยนหย่วน รู้สึกละอายต่อพระที่ตนทำให้ต้องเดือดร้อนไปด้วยไม่น้อย หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “คารวะไต้ซือ” องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชื่อเสียงเรื่องการวาดภาพของคุณหนูหยางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งจินหลิง ซั่นจยาเซี่ยนจู่เองก็เป็นสตรีมีความสามารถชื่อเสียงโด่งดัง ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว ได้ข่าวว่าไต้ซือมีความสามารถรอบด้านไม่ว่าจะเป็น ฉิน หมาก ตัวอักษร วาดภาพ จึงขอเชิญไต้ซือไปช่วยตัดสินด้วยกันเถิด”
—————
[1] ไท่เสวีย เป็นสถานศึกษาที่อยู่สูงที่สุดในสมัยจีนโบราณ