ตอนที่ 330 ไม่รับผิดชอบ (2)
ฉินจื่อซวี่ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยซื่อจื่อ คุณชายฉังเฟิง ข้าคงต้องขอลาแล้ว”
“ไม่ส่ง” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
ยิ้มส่งทั้งสองเดินห่างออกไป ลิ่นฉังเฟิงก็ยกมือขึ้นลูบปลายคาง “หร่วนอวี้จือช่างน่าสงสาร”
“เช่นไรหรือ” หนานกงมั่วแปลกใจ ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยตอบ “เจ้าอย่าได้มองเพียงว่าฉินจื่อซวี่นั้นอ่อนโยนสง่างาม ในเมืองหลวงนี้มีคุณชายสูงศักดิ์ร้ายกว่าเขาอยู่ไม่มากหรอก เมื่อครั้งที่เราต่อยตีกันเจ้าคนนี้เอาแต่ชักใยอยู่ในความมืดไม่มีทางลงมือเอง เป็นเขาจัดการแทนเช่นนี้ไม่แน่อาจต้องขอบคุณเขาก็ได้” คุณชายตระกูลสูงศักดิ์มิใช่เกิดมาก็อ่อนโยนสง่างามเท่านั้น เมื่อยังเด็กก็เคยมีช่วงเวลาที่ต่อยตี เพียงแต่บางคนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ยังมีอีกบางส่วนที่เปลี่ยนมาเป็นเหมือนลิ่นฉังเฟิง
หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ตระกูลเซี่ยไม่สนใจการเมือง ตระกูลฉินก็นับว่าเป็นใหญ่แล้ว คุณชายใหญ่ฉินจะเป็นคนธรรมดาได้เยี่ยงไร เพียงแต่…ตระกูลฉินจะไม่มีปัญหากับ…อือหึ เพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้หรอกใช่หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วลูบถ้วยชาในมือ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่หรอก หากจัดการเพียงหร่วนอวี้จือคนเดียวคงไม่เป็นไร เกรงแต่ว่า…”
หนานกงมั่วเข้าใจ คนในวังผู้นั้นคงกำลังครุ่นคิดหาโอกาสหาเรื่องตระกูลขุนนางอยู่ เพียงตระกูลฉินแตะต้องหร่วนอวี้จือเกรงว่าคนผู้นั้นก็คงไม่เกรงใจเหมือนกัน ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าหร่วนอวี้จือคงจะเป็นคนที่คนผู้นั้นเตรียมไว้ให้องค์รัชทายาทหรือหวงจั่งซุน เมื่อจัดการเขาแล้วต่อให้คนผู้นั้นไม่เอ่ยอันใดทว่าเกรงว่าคงดีใจไม่ออก”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก” การต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้และตระกูลขุนนางคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ร่างกายของพระองค์นับวันยิ่งแย่ลง จะถ่วงเวลาอีกไม่ได้แล้ว
เมื่อนึกถึงคนที่อยู่ในวังผู้นั้น หนานกงมั่วก็อดไม่ได้ถอนหายใจออกมา อายุมากแล้ว ใครก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จวนตระกูลฉิน
หร่วนอวี้จือเดินตามหลังฉินจื่อซวี่ในช่องทางที่คดเคี้ยว สาวใช้คอยคาวระและทักทายมาตลอดทาง วันนี้หร่วนอวี้จือกลับไม่มีรอยยิ้มเบิกบานทั่วใบหน้าดั่งเช่นที่ผ่านมา เพียงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าอ่อนโยน บางครั้งยังดูเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้กระทั่งฉินจื่อซวี่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าของเขายังสัมผัสได้ ฉินจื่อซวี่หันกลับมาปรายตามองเขาเล็กน้อย นัยน์ตามีความเยือกเย็นพาดผ่าน
หร่วนอวี้จือขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเรื่องของเหยียนลัวอี คนที่ส่งไปกลับมารายงานว่าเหยียนลัวอีตายไปแล้ว ทั้งยังนำชิ้นส่วนเสื้อผ้าบางส่วนของนางมาให้ด้วย แล้วไยเหยียนลัวอีจึงไปอยู่ที่หอชุนเฟิงได้เล่า ยังมีเด็กหนุ่มแซ่มั่วผู้นั้นอีก เขารู้สิ่งใดกันแน่หรือเพียงได้ยินคนอื่นพูดมา เหยียนลัวอี…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เรื่องราวสกปรกพวกนี้กดดันอยู่ในหัวใจของเขาจนแทบยากจะหายใจ ชั่วครู่เขาจึงไม่สามารถแสดงท่าทีเป็นผู้มีการศึกษาอ่อนโยนและสง่างามได้
“คุณชายใหญ่ คุณชายหร่วน” สาวใช้ทั้งสองเอ่ยทักทายเสียงใส หร่วนอวี้จือได้สติกลับมาพบว่ามาถึงเรือนซีอวี้เซวียนที่อยู่ของฉินซีแล้ว ฉินจื่อซวี่พยักหน้าพร้อมเอ่ยถาม “วันนี้อาการของคุณหนูสี่เป็นอย่างไร”
สาวใช้พยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “รายงานคุณชายใหญ่ คุณหนูสบายดีเจ้าค่ะ เมื่อบ่ายยังกินข้าวต้มไปกว่าครึ่งชาม บอกว่า…วันนี้คุณชายหร่วนจะมา”
ความสัมพันธ์ของฉินซีและหร่วนอวี้จือนั้นเรียกว่าดีทีเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินซีภาพลักษณ์ของหร่วนอวี้จือนั้นสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอาการป่วยของนาง หมอหลายคนจึงลงความเห็นว่านางอาจจะอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี ความรักที่พวกเขามีต่อฉินซีผู้นี้ทำให้พวกเขายอมคลายข้อกำหนดมากมาย และเป็นกังวลที่จะให้บุตรีแต่งงานออกเรือนเร็วเกินไป แต่ฉินซีนั้นรักหร่วนอวี้จือจริงๆ ดังนั้นนายท่านตระกูลฉินจึงยอมให้พวกเขาหมั้นหมายกันไปก่อน แม้คู่หมั้นหมายจะมีข้อห้ามพบหน้าแต่หร่วนอวี้จือที่มาเยี่ยมฉินซีวันเว้นวันแบบนี้หาได้ยาก หากหร่วนอวี้จือไม่พักอาศัยอยู่ในจวนของตนเกรงว่าคนอื่นคงคิดว่าเขาย้ายเขามาอยู่ในจวนตระกูลฉินแล้ว
แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะหร่วนอวี้จือดีกับฉินซี สามารถทำให้ฉินซีมีความสุขได้ เพียงหร่วนอวี้จืออะไรให้ฉินซีต้องเสียใจ ตระกูลฉินย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่
ได้ยินคำของสาวใช้ ฉินจื่อซวี่ดวงตาทะมึนลงไม่เอ่ยสิ่งใด เดินตรงเข้าไปด้านใน
ฉินซีเป็นสาวงามที่หาได้ยาก ทว่าแตกต่างจากหนานกงมั่ว จูชูอวี้ รวมไปถึงคณิกาอันดับหนึ่งอย่างโหลวซินเย่ว์ ความงามของฉินซีนั้นแฝงไปด้วยความซีดเซียวเพราะร่างกายอันอ่อนแอ แต่ก็แตกต่างจากเฉียวเฟยเยียนที่ดูบอบบางจนราวกับเพียงลมพัดก็ล้มไปได้ ฉินซีผอมบางสีหน้าซีดเซียว ใบหน้างดงามไร้สีเลือดแม้เพียงนิด ราวกับเพียงลมพัดก็สามารถปลิวไปกับสายลมได้ เพราะในท้องนั้นมีอาการป่วย ร่างกายของนางจึงอ่อนแอ อีกทั้งนางยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงด้วยซ้ำ แม้อายุสิบแปดปีแล้วแต่ก็ยังดูเหมือนเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าเท่านั้น
ยามที่ทั้งสองเดินเข้าไป ฉินซีกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้นวม ความจริงเพียงยกหนังสือมาอ่านนางก็หลับไปแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาเข้ามานางจึงลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นฉินจื่อซวี่ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มเบ่งบาน “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว อวี้จือ ท่านก็มาด้วยหรือ”
ดวงตาของฉินจื่อซวี่ฉายแววกังวล ทว่าใบหน้ากลับราบเรียบ เพียงยกมือขึ้นไปหยิบหนังสือออกจากมือของนาง เอ่ยว่า “เหนื่อยแล้วทำไมไม่ไปพักผ่อน”
ฉินซียิ้ม “ไม่เจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากอ่านหนังสือ ใครจะรู้ว่า…อ่านไปสักพักก็หลับเสียแล้ว”
“ซีเอ๋อร์ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” หร่วนอวี้จือเอ่ยถาม น้ำเสียงอ่อนโยน สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใยราวกับสตรีตรงหน้าเป็นรักเดียวของเขาชั่วชีวิตนี้
ฉินซีส่ายหน้า เอ่ยตอบ “ข้าไม่เป็นไร อาการป่วยเดิมๆ อวี้จือสองวันมานี้เจ้ายุ่งหรือ”
ฉินจื่อซวี่ยึดพื้นที่นั่งด้านข้าง หร่วนอวี้จือจึงจำต้องนั่งตรงข้ามกับฉินซี เอ่ยตอบ “ไม่มีอันใด มีแต่เรื่องที่สำนักศึกษาฮั่นหลินทั้งนั้น ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าหลายวัน ซีเอ๋อร์โกรธหรือไม่” ฉินซียิ้มบางๆ “ไยข้าต้องโกรธง่ายเพียงนั้น เจ้ามีธุระก็ไปจัดการเถิด” ฉินจื่อซวี่พยักหน้า มองไปยังหร่วนอวี้จือพลางเอ่ย “ซีเอ๋อร์พูดถูก เป็นบุรุษก็ควรทำงานเป็นหลัก ในเมื่อฝ่าบาทคิดจะย้ายเจ้าเข้ากรมขุนนาง หลายวันนี้ก็จัดการให้เรียบร้อยเถิด อย่าให้เกิดปัญหาเด็ดขาด”
หร่วนอวี้จือมองฉินจื่อซวี่อย่างแปลกใจ เมื่อก่อนฉินจื่อซวี่ไม่ชอบที่เขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากจนเกินไป มักจะเตือนให้เขาคอยอยู่กับฉินซีบ่อยๆ แม้เขาจะเอาเหตุผลว่าต่อไปไม่อยากให้ฉินซีต้องลำบากมาเป็นข้ออ้างแต่ว่าฉินจื่อซวี่มักจะไม่พอใจ เวลานี้ไยจึง…
ฉินจื่อซวี่ทำราวกับไม่เห็นสายตาของเขา เอ่ยเสียงเรียบ “หากเจ้าสามารถย้ายเข้ากรมขุนนางโดยไว ฉินซีเองก็มีหน้ามีตาไปด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น ความสงสัยในใจของหร่วนอวี้จือพลันมลายหายไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จื่อซวี่เจ้าวางใจ ข้าจะดูแลซีเอ๋อร์อย่างดี”
ฉินซีจับมือฉินจื่อซวี่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ท่านวางใจเถิด อวี้จือดีและขยันมาก ข้าไม่มีทางต้องลำบาก”