ตอนที่ 357 รนหาที่ตาย (3)
เมื่อหร่วนอวี้จือถูกเตะล้มลงกับพื้น ผ่านไปสักพักก็ยังไม่อาจลุกขึ้นมาได้ ทำได้เพียงแค่คว้าหญ้าแห้งบนพื้นแล้วจ้องไปยังหนานกงมั่วอย่างโกรธเคือง น่าเสียดายที่ดวงตาที่เขาคิดว่าชั่วร้ายนั้นหนานกงมั่วไม่ได้รู้สึกว่ามีพิษภัยเลยแม้แต่น้อย นางยักไหล่แล้วหันหลังกลับส่งยิ้มให้ฉินซี “รีบเข้าไปกัน เวลาเข้าออกให้คนไปด้วยจะดีกว่า เพื่อไม่ให้ใครมาเกาะแกะได้อีก”
ฉินซีผงะไปครู่หนึ่ง หันกลับไปมองแล้วจึงพยักหน้าลง และพาคนของตนเดินไป
คนในตระกูลฉินพากันกล่าวขอบคุณหนานกงมั่วแล้วจึงเดินตามเข้าไปในเรือนพำนักและปิดประตูอย่างแน่นหนา
เพียงไม่นาน นอกประตูก็เหลือเพียงหร่วนอวี้จือ หนานกงมั่ว และเว่ยจวินมั่วที่เพิ่งลงจากหลังม้าและกำลังเดินตรงไปหาทั้งสองเท่านั้น
หนานกงมั่วเดินไปยืนข้างๆ เว่ยจวินมั่วพลางยิ้มอย่างมีความสุข “คงรอนานเลย เราเองก็ไปกันเถิด”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มไปมองหร่วนอวี้จือซึ่งนอนอยู่บนพื้น นัยน์ตาสีม่วงของเขาแผ่จิตสังหารเยือกเย็นออกมา หร่วนอวี้จือรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายของเว่ยจวินมั่วได้ไม่ยาก เขารีบถอยหลังหนีไปอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “ท่านจะทำสิ่งใด”
เว่ยจวินมั่วเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่ายหัว เพียงเอ่ยกับหนานกงมั่ว “ไปกันเถอะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า นางไม่สนใจจะตีหมาที่ตกน้ำต่อ หร่วนอวี้จือตกต่ำถึงเพียงนี้เป็นเพราะความผิดของเขาเอง ต่อให้นึกแค้นเคืองอย่างไรก็เป็นเรื่องของฉินซีและจื่อเยียนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง
หนานกงมั่วหันหลังไปจูงม้าของตน ทางด้านหลัง เว่ยจวินมั่วเหลือบมองไปทางหร่วนอวี้จืออย่างเย็นชา เขากระทำบางสิ่งจากมุมที่หนานกงมั่วและหร่วนอวี้จือไม่สามารถมองเห็นได้ คนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเข้าใจในทันทีว่าคุณชายของเขาหมายถึงสิ่งใด “หาโอกาส ฆ่าทิ้งเสีย!”
เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่กลายเป็นขอทานจะตายไปโดยที่ไม่มีใครนึกสงสัย หร่วนอวี้จือทำลายชีวิตของเขาด้วยตัวเอง คนอย่างหร่วนอวี้จือนั้นเว่ยจวินมั่วรำคาญเกินกว่าจะมองเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเลยที่จะฆ่าเขา ความจริงหร่วนอวี้จือไม่ควรแสดงเจตนามุ่งร้ายกับหนานกงมั่วต่อหน้าเว่ยจวินมั่วเลย เว่ยจวินมั่วถือได้ว่าเป็นยอดมือสังหารแถวหน้า คนเช่นใดที่โอ้อวด คนเช่นใดที่เกลียดเข้ากระดูกดำและอาจก่อปัญหาได้ในวันข้างหน้า เว่ยจวินมั่วมองได้ออกได้ชัดกว่าคนทั่วไปมาก ฉะนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ การขุดรากถอนโคนเท่านั้นคือทางเลือกเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตได้
ในเรื่องนี้หนานกงมั่วเทียบเว่ยจวินมั่วไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นยอดมือสังหารเช่นเดียวกัน แต่หนานกงมั่วนั้นเติบโตมาในโลกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ไม่อาจดูถูกอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมและมุมมองต่อโลกและผู้คนตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยเติบโตไปได้ ซึ่งทำให้อย่างน้อยหนานกงมั่วไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์เลย แม้ว่าเว่ยจวินมั่วเองก็จะไม่ทำเช่นนี้ในสถานการณ์ปกติ แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องต้องห้ามที่เขาจะไม่ทำแต่อย่างใด
ฉีอ๋องช่างร่ำรวยนัก พื้นที่เรือนพำนักทั้งหมดใหญ่กว่าจวนเยี่ยนอ๋องในจินหลิงเสียอีก แค่ในเรือนพำนักนี้พื้นที่ก็กว้างใหญ่มากแล้ว หากมองดูจากภายนอกย่อมรู้ได้ทันทีว่าเรือนนี้ตกแต่งโอ่อ่าสวยงามมาก แม้เว่ยจวินมั่วจะไม่ได้รับความรักจากบิดา แต่ลุงทั้งสองก็รักหลานชายอย่างมาก เอ่ยอย่างไม่น่าฟังสักหน่อย หากว่าฉีอ๋องและเยี่ยนอ๋องไม่ได้ปกครองอยู่ต่างเมืองมาเป็นเวลานาน ท่านลุงทั้งสองย่อมมีประโยชน์มากกว่าเว่ยหงเฟยบิดาของเขามากทีเดียว
ยังไม่ทันก้าวเข้าประตูก็มีคนกล่าวต้อนรับขึ้นมา “คารวะซื่อจื่อ คารวะพระชายาซื่อจื่อ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนของเสด็จลุงฉีอ๋องหรือ”
พ่อบ้านส่ายหัว ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าน้อยเป็นพ่อบ้านของเรือนนี้ ฉีอ๋องได้มอบเรือนพำนักนี้ให้กับซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อแล้ว ฉะนั้นข้าน้อยเป็นบ่าวของซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้มเบาๆ นางชอบคนฉลาด
“องค์หญิงส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า เรือนพำนักทั้งหมดจึงได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ เชิญขอรับ” พ่อบ้านยิ้ม “ข้าน้อยยังมิได้แสดงความยินดีกับซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อสำหรับงานแต่งงานเลยขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “เจ้านี่ช่างพูดนัก ข้ารับคำอวยพร” เดือนนี้คนทั้งเรือนรับเงินเดือนสองเท่า ดีหรือไม่”
“ขอบคุณขอรับ พระชายาซื่อจื่อ” พ่อบ้านเอ่ยตอบอย่างยินดี บ่าวในเรือนเหล่านี้มิได้แตกต่างจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างเจ้านาย แม้ว่าจะมีภาระน้อยกว่าแต่พวกเขาก็ได้สิ่งตอบแทนน้อยกว่าเช่นกัน โอกาสเลื่อนตำแหน่งจึงยิ่งน้อยลงไปอีก เพียงแค่เอ่ยคำเดียว ทุกคนในเรือนก็ได้รับรางวัลทั้งหมด ไม่แปลกที่พ่อบ้านจะดีใจยิ่งนัก
เขาพาทั้งสองคนเข้าไปในเรือน แน่นอนว่ามีคนในเรือนกำลังรอต้อนรับอยู่เช่นกัน เพราะต้องการอยู่กันเพียงสองคน หนานกงมั่วจึงมิได้พาสาวใช้เคียงกายมาด้วย พ่อบ้านเข้าใจเจตนาของคู่บ่าวสาวดีจึงไม่ได้จัดเตรียมบ่าวรับใช้ตามปรนนิบัติข้างกายเช่นกัน แล้วพาทั้งสองคนไปยังเรือนหลักสำหรับใช้พักผ่อนหลังจากเสร็จสิ้นการต้อนรับ
ขณะเดินเล่นในลานบ้านอันเงียบสงบ หนานกงมั่วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ละแวกนี้เป็นเรือนของผู้ใดกัน”
ละแวกนี้ล้วนเป็นพื้นที่ของตระกูลมีอำนาจ เมื่อเจ้านายไม่อยู่เรือนบ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้ทำสิ่งใด ชีวิตแสนสุขสบายจึงไม่อาจขาดการนินทาไปได้เป็นธรรมดา พ่อบ้านผู้นี้คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตใกล้เขาจื่ออวิ๋นเป็นอย่างดี เขายิ้มพลางเอ่ยตอบ “พระชายาซื่อจื่อ ด้านซ้ายมือของเราเป็นเรือนของตระกูลมารดาพระชายาหนิงอ๋องฉีซานโหว และทางด้านขวาคือเรือนขององค์หญิงหลิงอี๋ ข้าน้อยจำได้ว่าองค์หญิงฉังผิงยังมีเรือนอีกแห่งไม่ไกลจากที่นี่ นอกจากนี้ยังมีเรือนของตระกูลฉิน เรือนเอ้อกั๋วกง รวมถึงเรือนเฉิงจวิ้นอ๋องอยู่ใกล้ๆ อีกด้วยขอรับ ปกติช่วงนี้จะมิมีผู้ใดมา แต่ไม่กี่วันมานี้คุณหนูตระกูลฉินก็เพิ่งมาที่นี่…”
ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ยังเหลืออีกสองเดือนก่อนขึ้นปีใหม่ เมืองจินหลิงอาจกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยเรื่องมากมาย ฉะนั้นคนที่ยังมีเวลาว่างออกมาพักผ่อนนอกเมืองจึงยังมีไม่มากนัก อีกอย่างทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของเขาจื่ออวิ๋นคือช่วงเดือนสามถึงเดือนหกของทุกปี ณ เวลานี้ นอกจากดอกกุหลาบฝ้ายตามชายฝั่งแล้วก็ไม่มีทิวทัศน์สวยงามอื่นใด
หนานกงมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสืบมาละเอียดนัก”
พ่อบ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยฟังบ่าวคุยกันบ่อยๆ ตัวข้าน้อยเองก็ฟังหูไว้หูเท่านั้น”
หนานกงมั่วพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความทรงจำเป็นเลิศก็เป็นข้อได้เปรียบเช่นกัน” ระหว่างคุยกันทั้งสามก็เดินมาจนถึงหน้าเรือนหลักแล้ว เป็นเรือนสองชั้นที่สวยงามตระการตา อาจมิใช่เรือนที่มีคานและภาพวาดแกะสลักสวยงามหรูหรามากมาย แต่กลับให้ความรู้สึกสะอาดตายิ่งกว่า
“เรือนนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่น่าเสียดายที่ฉีอ๋องเสด็จมาเยือนไม่มากนัก และไม่เคยมาอาศัยอยู่เลย ยามนี้ซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อได้มาที่นี่ ทำให้เหล่าข้าน้อยมีความสุขมากจริงๆ ขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้ม โบกมือพลางเอ่ยตอบ “ดียิ่งนัก ข้ากับซื่อจื่อชอบมาก เจ้าไปเถิด”
“ขอรับ พระชายาซื่อจื่อ” พ่อบ้านไม่ลังเล เอ่ยตอบอย่างเคารพ “หากซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อต้องการสิ่งใดก็ให้คนไปเรียกข้าน้อยได้ทุกเมื่อขอรับ”
เมื่อเห็นพ่อบ้านจากไป เว่ยจวินมั่วก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วลากหนานกงมั่วเข้าไปด้านใน “เจ้ามัวแต่คุยจุกจิกกับเขาอยู่ได้” เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชาของเขาแล้ว หนานกงมั่วก็หัวเราะคิกคัก “ไยเรียกว่าคุยจุกจิกเล่า พวกเขาอยู่ที่นี่มานานปี แทบไม่มีใครมาพักเลย มีเรื่องให้คุยมากก็คงหลีกเลี่ยงมิได้ อีกอย่างฟังดูก็ไม่เห็นเสียหายอันใด”
จากนั้นจึงหันตัวไปข้างหลังเว่ยจวินมั่ว กระโดดขึ้นบนหลังเขาเบาๆ “ขี่ม้าเหนื่อยเหลือเกิน เดินต่อไม่ไหวแล้ว”