ตอนที่ 358 คำสั่งล่าวิญญาณ (1)
เว่ยจวินมั่วไม่ได้เอ่ยตอบกลับ เพียงแบกนางขึ้นหลังเดินเข้าไปข้างในเงียบๆ
“อิอิ” หนานกงมั่วโอบคอพิงไหล่เขาแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เว่ยจวินมั่ว ท่านแบกข้าเช่นนี้ไปตลอดเลยได้หรือไม่”
“เจ้าอยากฟังข้าหยอดคำหวานอีกแล้วหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเบาๆ หลังจากคบหากันมาสักพัก เว่ยซื่อจื่อก็ค้นพบนิสัยเสียของใครบางคน ชอบแหย่ให้เขาเอ่ยวาจาหวานๆ ไม่ใช่ว่าคุณหนูหนานกงจะหลงใหลในวาจาหวานซึ้ง แต่เป็นเพราะนางอยากเห็นใครบางคนเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นด้วยใบหน้าเย็นชาของเขาต่างหาก
“ใช่สิ ท่านทำได้หรือไม่” บางทีการยอมรับว่าเป็นผู้หญิงซื่อบื้อที่ชอบวาจาหวานๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“หากเจ้าลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ” เว่ยซื่อจื่อกล่าว
…
หร่วนอวี้จือเดินโซซัดโซเซเข้าไปในป่ารกร้างนอกเมืองจินหลิง ท้องเขาร้องด้วยความหิวโหยเพราะไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลยตลอดทั้งวัน แม้ช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ถือว่ามีชีวิตสุขสบายนัก แต่หร่วนอวี้จือก็ไม่เคยประสบกับความยากลำบากใดๆ กระเพาะบอบบางที่เคยถูกตามใจก็เริ่มเกิดอาการปวดหนึบขึ้นมา รสชาติของความหิวโหยนั้น…ยอมรับได้ยากเสียจริง
เขาเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แต่ก็ไม่ยอมหยุดพัก เขาต้องกลับไปยังซากวิหารเยินๆ ซึ่งเคยพักค้างแรมอยู่เมื่อคืนนี้ก่อนที่ฟ้าจะมืดลงให้ได้ แม้ว่าเขาจะลังเลอย่างยิ่งที่จะกลับไปยังวิหารที่ทั้งพัง เหม็นอับ และเต็มไปด้วยขอทานแห่งนั้น แต่ถ้าเขาไม่กลับไปคืนนี้อาจจะต้องนอนอยู่ในป่ารกร้าง ตอนนี้อากาศยังไม่หนาวมาก หากต้องนอนในป่ารกร้างคงไม่เป็นไร แต่เมื่อมองฟ้าคืนนี้แล้วก็เห็นว่าฝนอาจจะตก หากฝนตกทั้งคืนคงแย่แน่ ด้วยสถานการณ์ของเขายามนี้ หากป่วยก็คงไม่มีแม้แต่เงินหาหมอ ไม่กี่วันมานี้หร่วนอวี้จือได้เห็นขอทานเจ็ดแปดคนป่วยตายไปโดยที่ไม่มีแม้แต่คนเก็บศพ
เมื่อนึกถึงเหตุผลที่ตัวเองตกต่ำถึงจุดนี้ ดวงตาหร่วนอวี้จือก็ปรากฏแววขุ่นเคืองออกมา เหยียนหลัวอี ฉินซี ฉินจื่อซวี่ ลิ่นฉังเฟิง แล้วก็เด็กที่แซ่มั่วผู้นั้น แล้วก็…ซิงเฉิงจวิ้นจู่ หนานกงมั่ว… คนเหล่านี้ทำร้ายเขา ต้องมีสักวัน…เขาจะไม่ยอมปล่อยใครไปเด็ดขาด!
“หร่วนอวี้จือ?” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นทางด้านหลังเขา หร่วนอวี้จือตกตะลึง ณ ที่แห่งนี้ในเวลานี้ไยจึงมีคนเรียกชื่อเขา
เมื่อหันหลังกลับไป เห็นเพียงหญิงชุดดำซึ่งมองเห็นหน้าไม่ชัดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แม้ว่าเขาจะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเพราะท้องฟ้ามืดสลัว แต่หร่วนอวี้จือก็สามารถรับรู้สัญญาณอันตรายจากเสียงเรียกอันแผ่วเบานั้นได้
หร่วนอวี้จือก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง เอ่ยถาม “แม่นางคือผู้ใดกัน เรียกข้าด้วยเหตุใด”
หญิงชุดดำเย้ยหยัน มีดสั้นในมือนางสะท้อนแสงในค่ำคืนเย็นเยียบมืดมิด “มีเรื่องใดน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องการชีวิตเจ้าอย่างไรล่ะ!” หญิงชุดดำไม่เอ่ยให้ยืดเยื้อ ยังมิทันเอ่ยคำสุดท้ายจบ มีดในมือก็บินออกไปแล้ว มันตรงไปที่หัวใจของหร่วนอวี้จือ
“อ้า?!” ดวงตาของหร่วนอวี้จือเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลบเลี่ยง แต่ร่างกายไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้น ราวกับว่าถูกตรึงเอาไว้ ทำได้เพียงจ้องไปที่มีดสั้นที่กำลังพุ่งใส่ตัวเอง
หร่วนอวี้จือ ลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ แล้วล้มลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ มีดสั้นไม่ได้ถูกตัวเขา แต่ถูกบางสิ่งกระทบจนเปลี่ยนทิศไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังไม่ไกลนัก หญิงชุดดำผู้นั้นไม่ได้สนใจเขาอีก แต่กลับจ้องไปที่ต้นไม้ข้างทาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคำเตือนและเจตนาร้าย
“ถอยออกไป!”
ชายชุดดำทั้งสามคนเดินออกมา หญิงชุดดำเอ่ยอย่างเย็นชา “ใครกันที่ขัดขวางงานของข้า”
หัวหน้าของชายชุดดำกล่าวตอบ “นายข้าจะคุ้มกันชีวิตของหร่วนอวี้จือ แม่นางโปรดยกมือขึ้นเถิด”
หญิงชุดดำยิ้มเยาะ “ล้อเล่นกันหรือ เพียงพวกเจ้าต้องการคุ้มกันแล้วก็จบ? แต่พอดีว่านายข้าต้องการชีวิตหร่วนอวี้จือน่ะสิ!”
ชายชุดดำทั้งสามมองหน้ากัน สองคนในนั้นก้าวไปด้านหน้าแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอโทษด้วย”
“ไร้สาระชะมัด” หญิงชุดดำดึงมีดสั้นออกมา ชายสองคนต่อสู้โรมรันรั้งหญิงชุดดำเอาไว้ได้ ชายอีกคนจึงรีบเข้าไปดึงหร่วนอวี้จือที่มีท่าทางตกใจล้มลงอยู่กับพื้นขึ้นมา
“ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยชีวิตข้า” หร่วนอวี้จือกล่าวอย่างหวาดระแวง ในฐานะบัณฑิตที่มีความประพฤติดี สิ่งอันตรายที่สุดที่หร่วนอวี้จือเคยพบเจอในชีวิตคือการมีเรื่องกับอันธพาลจนต้องถูกคุมขัง สิ่งที่แย่ที่สุดที่เคยทำคือจ้างนักเลงท้องถิ่นสองสามคนไปจัดการกับเหยียนลัวอี แต่เขายังไม่เคยพบผู้ใดที่มองปราดแรกก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพหรือแม้กระทั่งนักฆ่ามาก่อนเลย
ชายชุดดำขมวดคิ้วและเหลือบมองหร่วนอวี้จืออย่างรังเกียจ “นายท่านต้องการพบเจ้า ไปกันเถิด”
หร่วนอวี้จือลังเล เหลือบมองคนทั้งสามที่ยังต่อสู้อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านคือ… อีกอย่าง หญิงผู้นั้น…” ชายชุดดำยิ้มพลางเอ่ย “ที่มาที่ไปของนาง เจ้ายังไม่รู้น่ะดีแล้ว ถึงรู้ไปเจ้าก็ทำสิ่งใดมิได้อยู่ดี”
“ใช่…ใช่…” หร่วนอวี้จือไม่ได้คิดจะต่อกรกับหญิงผู้นั้น แค่มองดูหญิงที่ต้องรับมือกับศัตรูมากมายแต่ก็ไม่ตกเป็นรองก็รับรู้ได้ว่านางย่อมไม่ใช่คนที่ปัญญาชนอย่างเขาจะสามารถรับมือได้อย่างแน่นอน
“ไปกันเถิด” ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดอีก ชายที่คุยกับหร่วนอวี้จือฉวยโอกาสเหาะออกไปในความมืด ไม่นานก็ทิ้งคนทั้งสามที่ยังต่อสู้กันอยู่ไว้ข้างหลัง
บนหน้าผาข้างทาง กงอวี้เฉินที่ยืนเอามือไขว้หลังกำลังฟังเสียงการต่อสู้ที่ตีนเขา เอ่ยเสียงต่ำว่า “มือสังหารของวังจื่อเซียวเก่งสมคำร่ำลือจริงๆ”
จูชูอวี้ยืนนิ่ง เอ่ยอย่างรำคาญว่า “วังจื่อเซียวเกี่ยวข้องอันใดกับผู้สืบทอดของจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง” นางเป็นเพียงคนธรรมดา แม้ว่านางจะได้ยินการเคลื่อนไหวที่ตีนเขาเช่นกันแต่ย่อมไม่ได้ยินสิ่งใดชัดเจนนัก แล้วก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าในบรรดาผู้ฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นใครยอดเยี่ยมกว่ากัน จูชูอวี้ไม่เคยมองคนในยุทธภพในแง่ดี เซียนซิ่วสุ่ยที่กงอวี้เฉินพามาคราวก่อน แม้จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ผู้ที่หนานกงมั่วจะปราบไม่ได้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งใดแล้ว เป็นหรือตายก็มิอาจรู้ได้
ริมฝีปากของกงอวี้เฉินปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ แล้วจึงเอ่ย “ข้าขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง อย่ายุ่งกับเว่ยจวินมั่ว”
“เขาเป็นผู้นำของวังจื่อเซียวนั่นหรือ” จูชูอวี้เกิดคำถามในใจ
“เสี่ยวอวี้ เจ้าคงไม่ได้ต้องการให้คนของวังจื่อเซียวมาสังหารข้าหรอกใช่ไหม ขอเจ้าล้มเลิกความคิดนั้นเถิด นอกจากเว่ยจวินมั่วเป็นผู้ลงมือเอง พวกคนของวังจื่อเซียวนั้นไม่สามารถทำอันตรายข้าได้แม้แต่ปลายเล็บ”
จูชูอวี้ทำราวกับไม่ได้ยินเสียงของกงอวี้เฉิน เอ่ยเพียงว่า “ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ…” บุตรขององค์หญิงผู้สง่างาม ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงจะกลายเป็น…
กงอวี้เฉินถอนหายใจเบาๆ “ข้าว่าเจ้าเลิกคิดไปเสียดีกว่า เว่ยจวินมั่วจะเผยจุดอ่อนให้เจ้าเห็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ผู้นำของวังจื่อเซียวมิใช่เว่ยจวินมั่วหรอก” แม้ว่าลิ่นฉังเฟิงจะเป็นเจ้าสำนักเพียงแค่ในนามเท่านั้น แต่บางครั้งชื่อเจ้าสำนักก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน เจ้าสำนักวังจื่อเซียวกับเพื่อนของเจ้าสำนักวังจื่อเซียวนั้นแตกต่างกันมากทีเดียว คนแรกนั้นสามารถหาโอกาสสังหารเว่ยจวินมั่วได้ ส่วนคนหลังทำได้เพียงเฝ้ามองเว่ยจวินมั่วสร้างเรื่องแต่ยังเตร็ดเตร่สบายใจทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นย่อมไม่ได้มีเพียงเขาที่ต้องรับมือกับเว่ยจวินมั่ว แต่เว่ยจวินมั่วเองก็ต้องรับมือกับหอธาราเช่นกัน การบอบช้ำทั้งสองฝ่ายจึงมิใช่ทางออกที่ดี