ตอนที่ 364 มรดกสติปัญญา (1)
เหอเหวินลี่ยิ้มเจื่อนๆ ยืนพิงกำแพงแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้า…” มองไปยังหนานกงมั่วที่กำลังยิ้มอยู่ นึกขึ้นได้ว่าเขากำลังเสียมารยาทต่อหน้าซิงเฉิงจวิ้นจู่จึงรีบกุมมือ เอ่ย “เป็นครั้งแรกที่ข้าประสบเรื่องเช่นนี้ ข้าลืมตัวเสียมารยาทไปหน่อย ขอจวิ้นจู่อย่าได้ถือโทษ” หนานกงมั่วเอ่ย “อย่าได้กังวล หากใต้เท้าเหอไม่ไหวก็นั่งพักสักครู่ก่อนเถิด” เหอเหวินลี่มองดูเลือดที่เปรอะไปทั่วร่าง สีหน้าปรากฏแววขมขื่นเล็กน้อย เหมือนว่าเขาจะไม่ไหวจริงๆ แล้ว
เมื่อมองดูไปรอบๆ เรือนภายในวัดต้ากวงหมิงแห่งนี้เรียบง่ายมาก มีเพียงเตียง โต๊ะและตู้อย่างละหนึ่งตัวเท่านั้น สิ่งของบนเตียงและในตู้ดูระเกะระกะ เห็นได้ชัดว่าคนร้ายต้องการค้นหาของบางอย่าง หนานกงมั่วจ้องไปที่รอยเลือดบนพื้นแล้วจึงขมวดคิ้ว “ใต้เท้าเหอ คนที่หลบหนีไปมีลักษณะเช่นไรหรือ”
เหอเหวินลี่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยตอบ “คนผู้นั้นแต่งตัวเหมือนลูกศิษย์ทั่วไป ไต้ซือรูปนี้…ก็ดูเหมือนจะรู้จักเขาด้วย แต่ข้าเดินตามหลังมาจึงไม่เห็นหน้า ได้ยินเพียงเสียงที่พวกเขาคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น แล้วชายผู้นั้นก็…ฆ่าไต้ซือรูปนี้แล้วรีบหนีออกไปทันที”
“ท่านไม่เห็นหน้าเขาเลยแม้แต่น้อยหรือ”
เหอเหวินลี่พยักหน้าอย่างกลัดกลุ้ม หนานกงมั่วย่อตัวลงแล้วก้มมองดูรอยเลือดบนพื้น นางยื่นมือไปแตะเลือดมาดมกลิ่น เอ่ยว่า “ลองนึกดูสักหน่อย คนผู้นั้น…อาจจะบาดเจ็บอยู่หรือไม่”
“หืม” เหอเหวินลี่ตะลึง เลิกคิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ย “จริงด้วย ตอนที่เขาวิ่งผ่านไป เขาชนข้าด้วย เหมือนว่าข้าจะเห็นรอยบนแขนซ้ายของเขา น่าจะเป็นคราบเลือด ท่านดูสิ!” เหอเหวินลี่ชี้ไปที่ไหล่ของตน มีรอยนิ้วมือเปื้อนเลือดจางๆ อยู่ “ตอนแรกข้าคิดว่าคงเป็นเลือดของเหยื่อ พอมาคิดดูให้ดีแล้ว…พระภิกษุรูปนั้นไร้ซึ่งบาดแผล กริชที่ใช้สังหารไต้ซือเล่มนั้น…ตอนแรกก็เหมือนจะไม่มีรอยเลือด เพียงเลอะเลือดของไต้ซือในตอนที่ถูกโยนลงกับพื้น” เหอเหวินลี่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เอ่ย “จริงสิ คนผู้นั้นน่าจะเตี้ยกว่าข้าประมาณ…สองชุ่น รูปร่างผอมมาก น่าจะมีรอยแผลที่แขนซ้าย…ตราบใดที่คนร้ายยังไม่หนีออกไปจากวัดต้ากวงหมิง น่าจะหาตัวได้ไม่ยาก ข้าจะไปหาซื่อจื่อ!”
“ข้าได้ยินแล้ว” เว่ยจวินมั่วเดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยด้วยท่าทีนิ่งๆ “ข้าสั่งให้คนไปค้นหาแล้ว”
เหอเหวินลี่ถูจมูก แล้วเอ่ยถามว่า “จวิ้นจู่ ท่านรู้ได้เช่นไรว่าคนร้ายบาดเจ็บ”
หนานกงมั่วชี้ให้ดูรอยเลือดบนพื้น เอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าคนร้ายแทงไต้ซือเพียงครั้งเดียว หากมองตามทิศทางที่เลือดกระเด็นแล้ว…คราบเลือดเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อคนร้ายหลงเหลืออาวุธสังหารไว้ในที่เกิดเหตุ เช่นนั้นแล้ว…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยดมาจากอาวุธสังหาร แล้วก็…” หนานกงมั่วเดินไปยังศพที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพลิกมือเขาออก “เขาไม่มีบาดแผลภายนอกเลย แต่กลับมีคราบเลือดติดอยู่บนนิ้ว แสดงว่ามันต้องมิใช่เลือดเขาแน่”
เว่ยจวินมั่วเข้าไปดูแล้วจึงเอ่ยว่า “คนผู้นี้ฝึกวิชาดรรชนีโพธิสัตว์ของพุทธ คนที่หนีไปน่าจะมีบาดแผลบนแขนสามที่ หากอาการหนัก กระดูกแขนของเขาอาจหักได้ สาเหตุการตาย…น่าจะมาจากวิชาฝ่ามือบุปผาเหินของพุทธอีกเช่นกัน ภายนอกเหมือนมิได้บาดเจ็บ แต่…อวัยวะภายในทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยง” หนานกงมั่วเอามือลูบปลายผมโดยมิได้เอ่ยอันใด ชื่อวิชาวรยุทธ์แต่ละอย่างช่างไพเราะนัก ทั้งๆ ที่โลกนี้มีศิลปะการต่อสู้หลากหลาย แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ถึงอย่างไรการที่เว่ยซื่อจื่อสามารถดูออกได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดจากวิชาวรยุทธ์ใดนับว่าน่าทึ่งยิ่งนัก เรียกได้ว่าคนในยุทธภพช่างว่างกันเสียจริง
เหอเหวินลี่ขมวดคิ้ว เอ่ย “หมายความว่า ศิษย์ภายในวัดต้ากวงหมิงเป็นคนลงมือเองใช่หรือไม่” คนพวกนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ ด้วยอารมณ์ของฮ่องเต้แล้วสามารถรับสั่งให้สังหารหมู่คนในวัดต้ากวงหมิงได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อมองไปยังไต้ซือที่นอนตายอยู่บนพื้น เหอเหวินลี่ก็รู้สึกว่าวัดต้ากวงหมิงสถานการณ์ย่ำแย่ทีเดียว เขาต้องทำสิ่งใดสักอย่างตอบแทนไต้ซือที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หากมิใช่เพราะไต้ซือเดินอยู่ข้างหน้า เขาอาจจะเป็นคนที่ต้องตาย
“ซื่อจื่อ จวิ้นจู่ นี่…”
“เกิดอันใดขึ้น!” เซียวเชียนเยี่ยผู้เพิ่งรู้ข่าวรีบเข้ามาพร้อมกับเจ้าอาวาสและคนอื่นๆ ทันที เมื่อเขาเดินมาถึงประตูทางเข้าก็ตกใจกับสภาพนองเลือดภายในห้องจนสะดุ้ง
“ศิษย์น้อง!” เจ้าอาวาสตกใจหน้าซีด “เอ่อ…ใต้เท้าเหอ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เหอเหวินลี่ถอนหายใจ มองไปยังเจ้าอาวาส เอ่ยว่า “ไต้ซือ ศิษย์ในวัดของท่าน…”
“ตามหาคนในวัดต้ากวงหมิงที่เคยฝึกวิชาฝ่ามือบุปผาเหินมาให้หมด!” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขัดจังหวะเหอเหวินลี่อย่างเย็นชาและเคร่งขรึม
เจ้าอาวาสจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แม้ว่าจะบรรลุหลักธรรมขั้นสูงก็อดหน้าซีดไม่ได้ ร่างกายก็สั่นเทาไปหมด หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจ ประสานมือแล้วท่องบทสวดบทหนึ่ง “ใช่ หากเป็นสิ่งที่ศิษย์ของเราทำจริงๆ…อาตมาก็ยินดีรับโทษ”
“อมิตาภพุทธ!” เหล่าศิษย์เอ่ยรับพร้อมกัน คนทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้นและบนเตียงก็ท่องบทสวดส่งวิญญาณอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยซีดเผือด เขาเหลือบมองทุกคน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเข้ม “จวินมั่ว เกิดอันใดขึ้น”
เหอเหวินลี่รีบเข้ามาเล่าเรื่องราวให้ฟัง “ข้าน้อยตกใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงร้องออกมา โจรจึงรู้ว่ามีคนเข้ามาด้วยจึงรีบหนีไป” เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “เป็นเช่นนี้แล้ว แน่ใจหรือว่าเป็นคนของวัดต้ากวงหมิง”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเย็นชา “แม้ว่าวิชาฝ่ามือบุปผาเหินจะเป็นวรยุทธ์แบบพุทธ แต่ก็เป็นศิลปะการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานและมิได้มีเฉพาะในวัดต้ากวงหมิงเท่านั้น คนในยุทธภพที่มีวรยุทธ์นี้ก็นับว่าไม่น้อยทีเดียว”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยความอดกลั้น “แล้วจวินมั่วคิดเห็นเช่นไร”
“หากตามหาตัวเจอก็ย่อมรู้แล้ว” เว่ยจวินมั่วกล่าว
“…” เซียวเชียนเยี่ย
วัดต้ากวงหมิงมีพระภิกษุจำนวนไม่น้อย แต่เนื่องจากเน้นศึกษาธรรมะและไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพ ฉะนั้นพระภิกษุที่ฝึกวรยุทธ์ในวัดต้ากวงหมิงจึงมีอยู่ไม่มากนัก ยิ่งผู้ที่ฝึกวิชาฝ่ามือบุปผาเหินยิ่งน้อยเข้าไปอีก แน่นอนว่าต้องแยกกรณีที่บางคนอาจปิดบังไว้ ส่วนเรื่องที่ฮ่องเต้รับสั่งให้ตรวจสอบโดยพระองค์เองนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการระดมกำลังเลย พระภิกษุทั้งหมดถูกนำตัวไปยังลานด้านหน้าอุโบสถเพื่อตรวจสอบทีละรูป เคยฝึกวรยุทธ์หรือไม่ ความสูงเท่าใด มีบาดแผลตามร่างกายหรือไม่ ผู้ที่น่าสงสัยจะถูกคุมตัวไว้
ไต้ซือเนี่ยนหย่วนยอมให้องครักษ์ตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจนัก มองไปที่เซียวเชียนเยี่ยและเหอเหวินลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลและคอยสั่งให้ทุกคนตรวจสอบอย่างรอบคอบ มองไปยังเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วซึ่งอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยถามว่า “พวกท่านคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะเจอตัวคนร้ายจริงหรือ”
เว่ยจวินมั่วหน้านิ่งเอ่ยถาม “ท่านมีวิธีอื่นหรือไม่”
เนี่ยนหย่วนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ไม่มี”
“อู๋สยากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” เว่ยจวินมั่วมองไปยังหนานกงมั่วซึ่งเอนหลังครุ่นคิดอยู่แล้วจึงเอ่ยถาม หนานกงมั่วขมวดคิ้วพลางเอ่ยตอบ “ท่านคิดว่า…เหตุใดคนร้ายถึงต้องการสังหารพระภิกษุกับไต้ซือคงหมิงด้วย”
เนี่ยนหย่วนกล่าวว่า “การสังหารตู้หงน่าจะเป็นการปิดปาก ส่วนคงหมิง…น่าจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าคนร้ายต้องเป็นคนที่คงหมิงรู้จัก”
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ไต้ซือเนี่ยนหย่วนคุ้นเคยกับลูกศิษย์ในวัดหรือไม่เจ้าคะ”
เนี่ยนหย่วนส่ายหัว เอ่ยว่า “อาตมาฝึกกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่อาจารย์จากไปก็อาศัยอยู่บนเขาด้านหลังวัดต้ากวงหมิง ลูกศิษย์ในวัดที่คุ้นเคยก็มีแต่ท่านอา ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองสามคน แล้วก็หลานชายเท่านั้น” ความอาวุโสของเนี่ยนหย่วนในวัดต้ากวงหมิงนั้นสูงเกินไป แม้แต่เจ้าอาวาสคนปัจจุบันไต้ซือคงหรูก็ห่างจากเขาถึงสองรุ่น แน่นอนว่ายิ่งศิษย์ที่อายุน้อยลงไปอีกย่อมมิได้สนิทสนมกันเลย