ตอนที่ 378 เป้าหมายคือยั่วโมโหฮ่องเต้! (3)
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ บางคนจึงเอ่ยถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะเป็นผู้ไปหาเย่ว์จวิ้นอ๋อง”
ทุกคนต่างเงียบกันหมด แม้ตอนนี้คนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าจะเป็นราชวงศ์ แต่พวกเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายเย่ว์จวิ้นอ๋องอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะการกระทำที่บุ่มบ่ามของเย่ว์จวิ้นอ๋อง สถานการณ์คงไม่มาถึงขั้นนี้ ยามนี้ฮ่องเต้ทรงเข้มแข็ง ไม่ทำอันใดประมาท นอกจากนี้ทางฝั่งเย่ว์จวิ้นอ๋องยังมีตระกูลจูอยู่ด้วย ทุกคนในที่แห่งนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าระหว่างตระกูลจูหรือเย่ว์จวิ้นอ๋องจะเกลียดใครมากกว่ากัน เดิมตระกูลจูถีบตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในสิบตระกูลขุนนางใหญ่ได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ชอบใจนัก ตระกูลพวกเขาล้วนแต่เป็นปัญญาชน มีชีวิตสุขสบาย ใครอยากจะอยู่ระดับเดียวกันกับตระกูลพ่อค้าเล่า ตอนนี้ตระกูลจูช่วยราชวงศ์รับมือกับพวกเขาอีก ยิ่งทำให้น่าขยะแขยงเข้าไปใหญ่
ในวันนี้มีเพียงแปดตระกูลเท่านั้นที่มาที่นี่ ตระกูลจูและตระกูลเซี่ยต่างไม่ได้ส่งใครมาเลย ตระกูลเซี่ยไม่มาเป็นเนื่องจากเดิมทีตระกูลเซี่ยก็ไม่สนใจเรื่องการเมืองมานานแล้ว ลูกหลานของตระกูลเซี่ยมีจำนวนเพียงหยิบมือที่เป็นข้าราชการในราชสำนัก แม้จะมีอยู่บ้างทว่าส่วนใหญ่ก็เป็นที่ปรึกษาหรือทำงานเอกสารเท่านั้น แทบไม่อยู่ในสายตาฮ่องเต้ คิดว่าฮ่องเต้เองก็คงจะไว้หน้าบัณฑิต ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยไม่รนหาที่ตาย ฮ่องเต้เองก็คงไม่เล่นงานตระกูลเซี่ยเช่นกัน แม้ครั้งนี้ลูกหลานตระกูลเซี่ยบางคนจะถูกจับกุมไปด้วยทว่าที่ตระกูลเซี่ยไม่ร้อนใจก็เพราะนายท่านตระกูลเซี่ยรู้ดีว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นอันตรายถึงรากเหง้าของตระกูล ส่วนทางตระกูลจูนั้นไม่ได้เดินเส้นทางเดียวกันกับพวกเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางมาที่นี่
“ท่านลุงทั้งหลาย พวกเราก็มิได้อยากไปพึ่งพิงเย่ว์จวิ้นอ๋องจริงๆ เสียหน่อย ไยต้องทำเช่นนี้” ฉินจื่อซวี่อดหัวเราะไม่ได้
ชายวัยกลางคนร่างผอมถอนหายใจเอ่ย “เช่นนั้นแล้ว จวนตระกูลฉินของท่านจะเป็นผู้ไปหรือ”
ฉินจื่อซวี่คลำจมูกตัวเอง เอ่ย “เรื่องนี้…เมื่อครู่ท่านพี่เหลียนมิได้เอ่ยไปแล้วหรือ ข้ากับน้องสาวมีความสัมพันธ์อันดีกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ เรื่องนี้…ทุกท่านคงทราบ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่ค่อยลงรอยกับจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องนัก” ทุกคนย่อมเข้าใจดีว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับคุณหนูรองจวนฉู่กั๋วกง เป็นเหตุให้ซิงเฉิงจวิ้นจู่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้สืบทอดแห่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาระหว่างซิงเฉิงจวิ้นจู่และเว่ยซื่อจื่อจะดีมากในยามนี้และทั้งสองคนดูเป็นดั่งคู่ที่สมบูรณ์แบบ ทว่าก็มิได้หมายความว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะไม่มีอคติใดต่อเย่ว์จวิ้นอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต่างก็มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่รู้เหตุใดหนานกงไหวที่เมื่อก่อนพยายามเลี่ยงทุกวิถีทาง แม้บุตรีของเขาจะแต่งงานไปแล้วก็ยังยืนกรานที่จะรักษาระยะห่างกับเย่ว์จวิ้นอ๋อง ทว่ายามนี้กลับตกลงสนับสนุนเย่ว์จวิ้นอ๋องแล้ว อีกทั้งความสัมพันธ์ของซิงเฉิงจวิ้นจู่และฉู่กั๋วกง…แทนที่จะเอ่ยว่าเป็นพ่อลูกกัน สู้เรียกว่าคู่แค้นแต่ชาติปางก่อนจะดีกว่า
ฉะนั้นท้ายที่สุดพวกเขาจึงตัดสินใจสุ่มจับ มีสี่ตระกูลไปสมานฉันท์กับเซียวเชียนเยี่ย สองตระกูลไปตีสนิทกับเซียวเชียนลั่ว และอีกสองตระกูลจะไปตีสนิทเซียวเชียนหลิง แม้คล้ายกับฝ่ายของเซียวเชียนเยี่ยจะเหนือกว่า ทว่าทั้งสี่ตระกูลที่จะไปสมานฉันท์ด้วยนั้นกลับเป็นตระกูลที่อยู่ในลำดับท้าย ขณะที่อีกสี่ตระกูลที่อยู่ในลำดับต้นต้องไปหาเซียวเชียนหลิงและเซียวเชียนลั่วแทน นอกจากนี้เซียวเชียนหลิงและเซียวเชียนลั่วเป็นโอรสที่เกิดจากนางสนม แม้ในยามปกติจะไม่เคยเห็นทั้งสองไปมาหาสู่กันนัก แต่หากทั้งสองคนร่วมมือกันขึ้นมา ผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ยังคาดเดามิได้
ฉะนั้นด้วยความจำเป็นในการปกป้องตนเองแล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงจึงไม่ลังเลที่จะผลักดันให้เกิดการต่อสู้ระหว่างอำนาจฮ่องเต้และขุนนางไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างเหล่าหลานในองค์ฮ่องเต้แทน เป้าหมายในเวลานี้คือพยายามยั่วให้ฮ่องเต้พิโรธโดยเร็วที่สุด! อย่างไรก็ตาม เดิมทีปัญหาที่เย่ว์จวิ้นอ๋องก่อขึ้นนั้นก็เป็นเรื่องขุ่นเคือง แท้จริงทั้งสี่ตระกูลต้องหาเหตุผลในการไปสมานฉันท์กับเซียวเชียนเยี่ย และอีกสองตระกูลก็จำเป็นต้องแสดงความจริงใจต่อเซียวเชียนหลิงและเซียวเชียนลั่วเช่นกัน
ในช่วงนี้ชีวิตของเซียวเชียนเยี่ยทั้งยุ่งและมีเรื่องเต็มไปหมด เพื่อจัดการตระกูลขุนนางในจินหลิงแล้ว จวิ้นอ๋องทั้งสามเรียกได้ว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจยิ่ง ราวกับแข่งขันในการแข่งขันอย่างไรอย่างนั้น วันนี้เซียวเชียนเยี่ยจับคนของตระกูลจ้าวได้ พรุ่งนี้เซียวเชียนหลิงก็สามารถจับคนของตระกูลซูได้ ตอนเช้าเซียวเชียนลั่วพบหลักฐานการกรรโชกทรัพย์หญิงชาวบ้านของตระกูลหลี่ ตอนบ่ายเซียวเชียนเยี่ยก็พบหลักฐานการซ่องสุมหาผลประโยชน์ของตระกูลลิ่น ทำให้บรรดาตระกูลใหญ่ๆ หรือแม้แต่ชนชั้นสูงที่เกิดใหม่ลำบากกันหมด จึงไม่น่าแปลกที่สิบตระกูลขุนนางใหญ่ซึ่งมีปัญหากันมาโดยตลอดจะทนไม่ไหวจึงต้องร่วมมือกันต่อสู้
ไม่นาน เซียวเชียนเยี่ยก็ถูกข่าวร้ายเล่นงานกะทันหัน ผู้ตรวจการได้กล่าวหาในท้องพระโรงว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องว่ารับสินบน ซื้อขายตำแหน่ง เป็นเหตุให้ในฤดูร้อนนี้คันกั้นน้ำพังทลาย ราษฎรล้มตายและได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน สิ่งสำคัญที่สุดคือมิใช่ว่าผู้ตรวจการได้ฟังข่าวลือเรื่องนี้แล้วนำความเท็จมาเผยแพร่ ทว่าหลักฐานได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นจริง ถึงอุทกภัยจะเกิดขึ้นมาสองถึงสามเดือนแล้ว แต่ขณะนั้นกลับเกิดสงครามขึ้นด้วยจึงไม่มีผู้ใดสนใจ ทว่ายามนี้เมื่อมีเวลาตรวจสอบ แม้จะผ่านมาสองสามเดือนแล้วแต่ก็ยังพบหลักฐานจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นผู้ถวายฎีกาทีละคนๆ ในการเข้าเฝ้าช่วงเช้า ใบหน้าสง่างามและท่าทางฮึกเหิมของเซียวเชียนเยี่ยก็พลันซีดเผือดไร้เรี่ยวแรง
เส้นทางน้ำเป็นปัญหามาตั้งแต่สมัยโบราณ ซ่อมคันกันน้ำทุกปีคันกั้นน้ำก็พังทลายทุกปี อย่างไรก็ตาม คันกั้นน้ำพังทลายหนนี้มีสาเหตุมาจากหวงจั่งซุน ย่อมแตกต่างจากการที่คันกั้นน้ำพังทลายในยามปกติอย่างมาก
ฮ่องเต้ประทับบนราชบัลลังก์ ทอดพระเนตรหลักฐานที่เรียงรายอยู่ด้านหน้า กวาดมองเซียวเชียนเยี่ยที่ดูสับสน รวมถึงเซียวเชียนลั่วกับเซียวเชียนหลิงที่มีท่าทางสะใจ ดวงตาปรากฏร่องรอยความผิดหวังและไร้หนทางขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่ถูกกลั่นแกล้ง และคนที่กลั่นแกล้งเขา… ฮ่องเต้เหลือบมองเหล่าขุนนางที่ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำและสีหน้าท่าทางห่อเหี่ยว
หนานกงมั่วนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรรอฮ่องเต้เสด็จกลับมาอย่างเบื่อหน่าย ฮ่องเต้นั้นมักจะเรียกนางเข้าวังมาเพื่อตรวจชีพจรและให้จัดยา ทว่าฮ่องเต้เคยทานยาตามที่นางจัดให้หรือไม่ นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน นางไม่เคยเห็นพระองค์ทานยาของนางก็เท่านั้น ถึงอย่างไรหนานกงมั่วก็มิได้ใส่ใจ นางจัดยาให้อย่างจริงจังแล้ว คนไข้จะกินหรือไม่นั้นนางไม่สามารถบังคับให้ยัดเข้าปากได้ เว่ยจวินมั่วต้องเข้าวังไปทำหน้าที่ทุกวัน ฉะนั้นหนานกงมั่วจึงมิได้คิดว่าการเข้าวังบ่อยๆ จะมีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งยังรอกลับจวนพร้อมกับเว่ยจวินมั่วได้อีกด้วย บางคราวก็สามารถไปเดินเล่นที่สำนักแพทย์หลวง พูดคุยปรึกษากับเหล่าหมอหลวงได้ เช่น ‘วิธีรักษาโรคเรื้อรังควรจะมีวิธี ข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม’ เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น แม้ฮ่องเต้เฒ่าผู้นี้จะเข้าหาไม่ง่ายนัก แต่ตราบใดที่ตรวจชีพจรได้แม่นยำและไม่ล่วงเกินเขา บางครั้งเขาก็มีอารมณ์ขันไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านนอก หนานกงมั่วก็วางม้วนหนังสือในมือลง เมื่อลุกขึ้นยืนก็เห็นฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ด้านหลังตามมาด้วยเซียวเชียนเยี่ยซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีพอกัน พร้อมทั้งเว่ยจวินมั่วที่สีหน้าเรียบเฉยดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนานกงมั่วที่กำลังคิดว่าจะหลบออกไปจำต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเว่ยจวินมั่ว รอให้ทั้งสามเข้ามาในห้อง
แม้แต่จะเหลือบมองหนานกงมั่วยังไม่มี ฮ่องเต้เตะขันทีที่เปิดประตู เดินเข้าไปในห้องทรงอักษรแล้วจึงนั่งลง เซียวเชียนเยี่ยเดินตามหลังไป ดูท่าทางตัวสั่นเล็กน้อย หนานกงมั่วทำได้เพียงมองไปยังเว่ยจวินมั่ว เกิดเรื่องขึ้นกับเซียวเชียนเยี่ยอีกแล้วหรือ
เว่ยจวินมั่วท่าทางไม่ใส่ใจนัก ถูกใครบางคนกลั่นแกล้ง
หนานกงมั่วเบะปาก ถูกกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง นางสงสัยว่าเซียวเชียนเยี่ยจะเป็นดอกบัวขาวที่โผล่ออกมาจากโคลนและไม่แปดเปื้อนจริงหรือไม่
ฮ่องเต้ตบโต๊ะด้านหน้าอย่างหนักหน่วง ทั้งสามคนในห้องทรงอักษรต่างตกใจ… ทว่าแท้จริงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สะดุ้งโหยง
“บอกเรามา! เจ้าต้องการเงินเหล่านี้ไปเพื่อสิ่งใด เงินเดือนที่ข้าให้ไม่พอหรือเยี่ยงไร” ฮ่องเต้จ้องไปที่เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงเข้ม แม้เงินเดือนของจวิ้นอ๋องจะไม่มากเท่าชินอ๋อง ทว่าก็สูงถึงแปดพันตำลึงต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเชียนเยี่ยมียศเป็นจวิ้นอ๋อง ทั้งยังมีที่ดิน แม้ว่าจะไม่ได้รับศักดินา แต่รายรับจากที่ดินที่ต้องให้เขาทุกปีก็มอบให้เขาไปหมดแล้ว ฮ่องเต้ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไยเขาจึงไปเอาเงินที่เขาไม่สมควรจะได้