ตอนที่ 433 โฉมหน้าที่แท้จริงของเซียวฉุน (2)
ความจริงแล้ว เว่ยซื่อจื่อไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้เพียงนึกถึงยาที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่เขาก็แทบอยากอาเจียนออกมา นึกถึงยา เว่ยซื่อจื่อจึงกระดกถ้วยชาในมือขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว หนานกงมั่วขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไปแย่งถ้วยชาในมือของเขาออกมา เอ่ย “เพิ่งดื่มยาเข้าไป ไม่ควรดื่มชา อีกทั้งยังเป็นชาที่เย็นแล้ว เหลียนซิง ให้คนต้มโจ๊กบำรุงเลือดมาให้เถิด”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่”
อาหารที่ชวีเหลียนซิงจัดเตรียมนั้นไม่เลว แต่ไม่เหมาะให้เว่ยจวินมั่วที่มีบาดแผลกิน ดังนั้นคุณชายเสียนเกอจึงนั่งลงและกินมันเอง หนานกงมั่วนั่งอยู่ข้างเตียง มองคุณชายเสียนเกอกินข้าว หันกลับมาถามเว่ยจวินมั่วที่เอนหลังพิงหัวเตียงอยู่ “สถานการณ์บนเขาลั่วหยางเป็นอย่างไร”
คุณชายเสียนเกอที่กำลังกินข้าวเงยหน้าขึ้นมา วางตะเกียบลง เอ่ยเสียงทุ้ม “ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วขมวดเล็กน้อย ทำให้คุณชายเสียนเกอบอกว่าไม่ค่อยดีออกมาได้ เช่นนั้นหมายความว่ามันคงไม่ดีแล้วจริงๆ คุณชายเสียนเกอเอ่ย “เหมืองทองในนั้นมีปัญหา ในเหมืองยังมีอากาศที่เป็นพิษอีกด้วย อยู่นานไปจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ สุดท้ายก็จะค่อยๆ ตายจากไป ดังนั้นอัตราการตายของคนในเหมืองทองบนเขาลั่วหยางจึงมีมากกว่าเหมืองทองทั่วไปกว่าสิบเท่า” เหมืองทั่วไปนอกจากตายจากอุบัติเหตุและเหนื่อยจนตายแล้ว ความจริงก็ไม่มีเรื่องอันใดมากนัก แต่เหมืองทองบนเขาลั่วหยาง เพียงอาศัยอยู่มากกว่าครึ่งปี ทุกคนจะเจ็บป่วยโดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นจึงต้องส่งคนขึ้นไปชดเชยบนเขาลั่วหยาง ทว่าอาการป่วยเหล่านี้ไม่มีการระบาด ดังนั้นแม้จะมีคนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่สนใจ อย่างไรพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาคนงาน สำหรับคนที่เข้าไป เข้าไปง่ายทว่าออกมานั้นคงเป็นเรื่องยากแล้ว
หนานกงมั่วย่นคิ้ว เอ่ย “เช่นนั้นตอนนี้เกิดอันใดขึ้น”
คุณชายเสียนเกอเอ่ย “หลายเดือนก่อน ยามที่เกิดน้ำท่วมกะทันหันอากาศกลับร้อนขึ้น เกิดโรคระบาดไม่ร้ายแรงขึ้นมาในสถานที่เล็กๆ เพราะว่ามันไม่ร้ายแรง ดังนั้นจึงจัดการได้โดยไว แต่ว่า…อาศัยจังหวะที่ด้านนอกเกิดน้ำท่วมหลายคนในเหมืองจึงหนีออกไปได้ จำต้องเพิ่มคนงานเข้ามาใหม่ ในนั้น…มีคนที่ติดโรคระบาดไม่ได้รับการรักษา พวกเขาเข้ามาในเหมืองเพียงไม่กี่วันก็ล้มตาย การตายในเหมืองทองเขาลั่วหยางนั้นเป็นเรื่องปกติจึงไม่มีใครสนใจ ส่วนศพก็โยนทิ้งง่ายๆ ลงไปในหลุมฝังศพ นั่นหมายความว่า…เพื่อนผู้นั้นของข้าก็ได้สัมผัสไปแล้วหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเขาลั่งหยางที่มีคนป่วยอยู่บ่อยครั้งก็กลายเป็นเจ็บป่วยขึ้นมาพร้อมกันมากมาย ตอนที่เราเข้าไป เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งเท่านั้นที่ยังไม่ป่วย”
“ศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่าเป็นพิษอะไร ป่วยเป็นโรคอันใด”
คุณชายเสียนเกอวางหินสีดำลงบนโต๊ะ เอ่ย “นี่คือหินแร่ที่อยู่ในเหมือง แต่มันจะเป็นสิ่งใดนั้นข้าต้องดูให้ละเอียดก่อนจึงจะบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่บอกได้ว่าการป่วยของคนงานในเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับของเล่นชิ้นนี้เป็นแน่ เพียงแต่สิ่งนี้คล้ายกับเป็นตัวควบคุมโรคระบาด ดังนั้นผู้ป่วยในเขาลั่วหยาง เมื่อออกมาจะตายเร็วขึ้น เพียงแต่…พวกเรายังมีข่าวที่ไม่ดีนักอยากบอกกับเจ้า”
หนานกงมั่วหลุบตาลงไปชั่วครู่ หัวใจกระตุก “มีคนหนีออกมาแล้ว”
คุณชายเสียนเกอพยักหน้า “คนงานเหมืองแร่นั้นถูกควบคุมเข้มงวด หนีออกมาไม่ได้ไม่ผิดเลย แต่ว่า…ผู้ที่ควบคุมอยู่ที่นั่นใช่ว่าจะซื่อสัตย์จนไม่สนชีวิต อีกทั้งพวกเขาอยู่ห่างจากเหมืองออกมาไกล ได้รับผลกระทบน้อยมาก ว่ากันว่าเมื่อสถานการณ์ไม่ปกติก็มีคนหนีออกไปแล้ว เพียงแต่พวกเขามุ่งหน้าหนีไปทางผิงโจว ไม่ใช่หลิงโจว ภูมิประเทศของหลิงโจวนั้นเป็นที่ราบ เพื่อไม่ให้ข่าวหลุดลอดออกไป เซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนจึงวางกำลังหนาแน่น แต่ฝั่งผิงโจวเป็นเส้นทางขรุขระแสนอันตราย อยากหนีออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงมิได้วางกำลังเอาไว้มาก”
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ยถาม “ตอนนี้ควรทำเช่นไร” หากคนเหล่านั้นหนีออกไปไม่ได้ก็ยังดี แต่หากหนีออกไปได้แล้ว…ยากที่จะจินตนาการถึงผลที่ตามมา
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมาตบไหล่นางเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “รายงานต่อฝ่าบาท…ไม่ใช่เรื่องที่เราจะจัดการได้แล้ว”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ท่านเขียนรายงานได้หรือไม่ คืนนี้ให้ม้าเร็วส่งกลับจินหลิง” บางเรื่องนางไม่สามารถทำแทนเว่ยจวินมั่วได้ อย่างเช่นการเขียนรายงานถวายฝ่าบาท นอกเสียจากเว่ยจวินมั่วเองจะเขียนไม่ไหว จดหมายลับที่นางเขียนส่งให้ฝ่าบาทนั่นเป็นเพียงการกระทำส่วนตัว แต่เรื่องในยามนี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ให้เวยส่งจดหมายไปให้ลิ่นฉังเฟิงด้วยตนเอง จากนั้นคุ้มกันลิ่นฉังเฟิงส่งจดหมายไปยังเมืองหลวง”
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
คุณชายเสียนเกอ เอ่ย “ช่วงนี้อย่าพึ่งมากวนข้า ข้าต้องใช้เวลาศึกษากับสิ่งนี้สักหน่อย นอกจากนั้น…เชิญอาจารย์มาหรือไม่” หนานกงมั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ตอนนี้…คงไม่จำเป็นหรือไม่ ศิษย์พี่ได้รับวิชาจากอาจารย์มาแล้ว…” แม้อาจารย์จะเก่งกาจแต่ว่าอายุไม่น้อยแล้ว ร่างกายคงเทียบกับวัยหนุ่มสาวเช่นพวกเขาไม่ได้ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น…ไม่ว่าอย่างไรคนก็มักจะมีใจที่เห็นแก่ตัว ไม่ว่าอย่างไรหนานกงมั่วก็ไม่อยากให้เกิดอันใดขึ้นกับอาจารย์
คุณชายเสียนเกอครุ่นคิด เอ่ย “ก็ดี อย่างไรก็ส่งจดหมายไปแจ้งอาจารย์อาสักหน่อยเถิด ให้เขาระวังเอาไว้ ตานหยางมิได้อยู่ห่างจากผิงโจวและหลิงโจวเท่าใดนัก”
หนานกงมั่วพยักหน้าตอบรับ
ในเรือนเล็ก เซียวเชียนเยี่ยจ้องมองอยู่มุมมุมหนึ่ง เซียวฉุนเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องโถงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด มองเซียวเชียนเยี่ยที่กำลังนั่งเหม่อลอยจึงอดไม่ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา เอ่ย “เชียนเยี่ย เจ้ามีแผนการเช่นไร” เซียวเชียนเยี่ยได้สติ นัยน์ตานั้นมีความตื่นตระหนกซ่อนอยู่ “เสด็จปู่ผิงชวนจวิ้นอ๋อง พวกเรา…มิสู้เขียนจดหมายขออภัยโทษต่อเสด็จปู่ดีหรือไม่”
“ขออภัยโทษหรือ” เซียวฉุนเลิกคิ้ว ยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจ เอ่ยถาม “ข้ามีความผิดอันใด”
“เอ่อ…” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “แต่ว่า เรื่องราวที่นี่เห็นได้ชัดแล้วว่าคงปิดบังเอาไว้ไม่ได้ หากเว่ยจวินมั่วรายงานเรื่องนี้ มิสู้เรารีบขออภัยโทษจากเสด็จปู่ก่อนไม่ดีกว่าหรือ เสด็จปู่…อาจจะลดโทษลงมาบ้าง”
“ลดโทษอย่างนั้นหรือ” สายตาของเซียวฉุนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เชียนเยี่ย เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ ต่อให้พี่ชายคนนั้นของข้าลงโทษเบาจริงๆ เจ้าคิดว่า…สองพี่น้องของเจ้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ ผู้มีอำนาจในราชสำนักเหล่านั้นจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ”
“เช่น…เช่นนั้นควรทำเช่นไร” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยถาม
เซียวฉุนยิ้มเย็น “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หนึ่งไม่ทำสองไม่หยุด…”
“แต่ว่า ทหารหลิงโจวในมือเว่ยจวินมั่ว ต่อให้พวกเราร่วมมือกัน ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะสู้เว่ยจวินมั่วได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยใจสั่นระริก เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “อีกทั้ง หากสังหารเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วจริงๆ เสด็จอาฉังผิงและหนานกงไหวจะไม่เอาความได้เช่นไร”
เซียวฉุนแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็วุ่นวาย แน่นอนก่อนอื่นต้องทำให้พวกเขาหุบปาก หากปล่อยให้พวกเขากลับถึงจินหลิงและรายงานเหลวไหลต่อเสด็จพี่ เจ้าคิดว่าเสด็จพี่จะจัดการเยี่ยงไร ตอนนี้เจ้าแตกหักกับเว่ยจวินมั่วไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยากทำอันใดเขา เขาก็ไม่มีวันสนับสนุนเจ้า เกรงว่าคงมีแต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของเจ้าด้วย ไม่ว่าเจ้าคิดเยี่ยงไร ก็เป็นศัตรูของเขาอย่างแน่นอนไปเสียแล้ว”