ตอนที่ 447 ฮ่องเต้สวรรคต (2)
“ฝ่าบาทมอบให้จวิ้นจู่หรือ”
หนานกงมั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้า พระสนมหลินกุ้ยเฟยไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “จวิ้นจู่ถามข้าว่าฝ่าบาทเคยประทานสิ่งใดให้ข้าหรือไม่ คิดว่าฝ่าบาทคงให้เจ้ามาหาข้า จวิ้นจู่ขอข้าลองคิดทบทวน…” พระสนมหลินกุ้ยเฟยเดินเข้ามาย่อตัวลงด้านข้างหนานกงมั่ว เปิดพลิกสิ่งของที่อยู่ในกล่องไปด้วยกัน ความจริงมีของไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครื่องเงินอีกทั้งยังไม่ใช่ของมีค่า แต่องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ฮ่องเต้ประทานสิ่งของให้ตำหนักทั้งหกก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ตำหนักของใครก็ไม่เคยขาดเครื่องเงินธรรมดาเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นองค์รัชทายาทเป็นมกุฎราชกุมารผู้ที่จะสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป แต่นางสนมวังหลังล้วนแล้วแต่เป็นมารดาเชื้อสายรอง เพียงระมัดระวังเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ไม่เคยมีกฎว่ามารดาเชื้อสายรองต้องไว้ทุกข์ให้แก่โอรสเชื้อสายหลัก ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทก็ไม่มี ดังนั้นหนานกงมั่วมั่นใจ ต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ในของที่ฝ่าบาทประทานมาให้แก่พระสนมหลินกุ้ยเฟยเป็นแน่
ทั้งสองหยิบของขึ้นมาตรวจดูทีละชิ้น
“สิ่งนี้” ในมือของพระสนมหลินกุ้ยเฟยมีแม่กุญแจเงิน หนานกงมั่วมองแม่กุญแจเงิน มีรูกุญแจอยู่จริงๆ หนานกงมั่วนำลูกกุญแจทองเสียบเข้าไปได้พอดี เสียงกริ๊กดังขึ้นเบาๆ แม่กุญแจเงินถูกเปิดออก ด้านในมีผ้าแพรไหมสีทองสลักตัวอักษรเอาไว้หนึ่งผืน
พระสนมหลินกุ้ยเฟยกุมมือหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเข้ม “จวิ้นจู่ ข้าไม่รู้ว่าไยฮ่องเต้จึงนำของสิ่งนี้มาไว้ที่นี่ แต่ว่า…นี่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจของฝ่าบาทที่มีต่อข้า ชีวิตนี้ของข้า…ไม่สูญเปล่าแล้ว ของสิ่งนี้ จวิ้นจู่รีบนำออกจากวังไปเถิด ข้าเองไม่อยากรู้ว่าด้านในมีเนื้อหาอย่างไร และจะไม่มีใครรู้ว่าจวิ้นจู่นำของสิ่งนี้ออกไปจากที่นี่”
หนานกงมั่วมองไปยังพระสนมหลินกุ้ยเฟย เอ่ยเสียงเบา “พระสนม…”
ใบหน้างดงามของพระสนมหลินกุ้ยเฟยปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมา เอ่ย “เมื่อครั้งได้มาอยู่รับใช้ฮ่องเต้ข้าอายุยังน้อย ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ฝ่าบาทเห็นว่าข้ายังเด็กจึงมีเมตตาอยู่มาก ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่าในใจของฝ่าบาทมีเพียงอดีตฮองเฮา เกิดความพะวงอยู่ในใจตลอดเวลา ยามนี้ได้รู้แล้วว่านอกจากฮองเฮา อย่างน้อยฝ่าบาทก็ยังเชื่อใจข้า อย่างน้อยข้าก็แตกต่างไปจากนางสนมอื่นๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ความจริงก็บอกไม่ได้ว่านางรักฮ่องเต้มากเพียงใด ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นสตรีงดงามอ่อนหวาน แต่อดีตฮองเฮานั้นรูปร่างหน้าตาธรรมดา เข้าสู่วัยชราและไม่ได้รับความสำคัญ ส่วนนางกลับอ่อนเยาว์ งดงามน่าหลงใหล เมื่อครั้งยังเยาว์นั้นคิดว่าตนเองแตกต่าง ตนเองนั้นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง เป็นเพราะในใจของฝ่าบาทนั้นวาจาหวานล้ำสามพันคำยังสู้ประโยคเดียวของฮองเฮาไม่ได้ นางเคยโกรธ เคยเสียใจ สุดท้ายจึงยอมแพ้ เพียงอยากเฝ้าดูโอรสของตนเองไปตลอดชีวิต แต่ไม่คิดว่าโอรสเพียงองค์เดียวของนางจะจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าอย่างไร…นอกจากโอรสแล้ว ฮ่องเต้ที่อยู่เคียงข้างมายี่สิบกว่าปีกลายมาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตตลอดช่วงอายุสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
หากนางไม่สนใจคนผู้นี้เลย ชีวิตทั้งชีวิตของนางจะเคยมีสิ่งใดกันเล่า
“รีบไปเถิด อย่าทำให้เสด็จแม่ของเจ้าต้องกังวลเลย เจ้าวางใจเถิด เรื่องราวต่อจากนี้ข้าจะจัดการเอง” พระสนมหลินกุ้ยเฟยยิ้มบาง
มองรอยยิ้มบางภายใต้แสงเทียนสะท้อน หนานกงมั่วพลันรู้สึกว่าสตรีที่ตนเองไม่เคยประทับใจมาก่อนยามนี้ช่างงดงามเพียงนี้
“พระสนม ระวังตัวด้วยเพคะ”
“จวิ้นจู่ระวังตัวด้วย”
มองร่างของหนานกงมั่วหายลับไปจากประตู มุมปากของพระสนมหลินกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉาเหลือเกิน” เทียบกับนางสตรีอ่อนแอบอบบางที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหับ อายุสิบกว่าก็ถูกส่งเข้าวังไม่เคยก้าวเท้าออกจากวังแม้เพียงครึ่งก้าว ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก มิน่าเล่า แม้แต่ฝ่าบาทยังเชื่อใจนางเพียงนี้ ฝ่าบาท…เรื่องที่ฝ่าบาทหวังให้หม่อมฉันได้ทำ หม่อมฉันจะทำให้ได้เพคะ
หนานกงมั่วออกมาจากประตูวัง ในวังพลันมีเสียงระฆังมรณะดังขึ้น ไม่ได้นับว่ามีทั้งหมดกี่ครั้ง ยามนี้เหตุผลที่ต้องลั่นระฆังมรณะก็คงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ในจวนเยี่ยนอ๋อง องค์หญิงฉังผิงยังไม่เข้านอน นั่งดื่มชาคนเดียวในห้อง ไม่รู้ทำไม เปลือกตากระตุกทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ อู๋สยาอย่าได้เกิดเรื่องเลยนะ องค์หญิงฉังผิงรู้สึกเสียใจที่ทิ้งลูกสะใภ้ไว้ในวังหลวงด้านในนั้นมีทหารองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไรดี
“เหง่ง… เหง่ง…”
ถ้วยชาในมือองค์หญิงฉังผิงหล่นกระทบพื้น เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังชัดเจน องค์หญิงฉังผิงมองมือขวาที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย น้ำตาใสไหลออกมาจากหางตาคู่สวยเป็นทางยาว
“เสด็จพ่อ”
“องค์หญิง” เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ด้านนอกเองก็ได้ยินเสียงระฆังมรณะ รีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “องค์หญิง ขอแสดงความเสียใจต่อองค์หญิงเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยายามรวบรวมสติ เอ่ยเสียงสั่นเทา “เปลี่ยนชุด ข้าจะเข้าวัง”
“องค์หญิงได้โปรดไตร่ตรองด้วยเพคะ” แม่นมขององค์หญิงรีบเอ่ยขึ้น “องค์หญิงได้โปรดไตร่ตรองด้วยเพคะ เวลานี้เป็นเวลาต้องห้าม ฝ่าบาทสวรรคต…การคุ้มกันยิ่งแน่นหนามากขึ้น เวลานี้…พวกเราคงออกไปไม่ได้แล้ว รอฟ้าสว่างเราค่อย…”
องค์หญิงฉังผิงหลับตาลง เอ่ยเสียงเข้ม “หุบปาก เสด็จพี่รัชทายาทพึ่งสิ้นพระชนม์ เสด็จพี่องค์อื่นๆ และหวงจั่งซุนยังไม่อยู่จินหลิงอีก ข้าที่เป็นองค์หญิง ไม่ออกหน้ายามนี้แล้วจะรอเมื่อใดเล่า”
“เพคะ องค์หญิง”
แม่นมขององค์หญิงเอ่ยไว้ไม่ผิด กลุ่มคนเพิ่งเดินออกมาจากจวนเยี่ยนอ๋องพลันถูกขัดขวางเอาไว้ ทั่วท้องถนนมองไกลออกไปมีองครักษ์ติดอาวุธยืนอยู่มากมาย ผู้เป็นหัวหน้าเดินเข้ามาแสดงความเคารพต่อองค์หญิงฉังผิง “องค์หญิง ทั่วทั้งเมืองตรวจตราเข้มงวด ยามนี้ขอองค์หญิงเสด็จกลับจวนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าขององค์หญิงฉังผิงเย็นยะเยือก “บังอาจ เสด็จพ่อสวรรคตข้าจะเข้าวังมิได้เลยหรือ”
คนผู้นั้น เอ่ย “เพราะฝ่าบาทสวรรคต ทั่วทั้งเมืองจึงต้องรักษาความปลอดภัยมั่นคง ขอองค์หญิงอย่าได้วู่วาม องค์หญิงโปรดวางใจ หวงจั่งซุนได้รับบัญชาให้กลับเมืองหลวงแล้ว ขอองค์หญิงกลับเข้าไปพักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าวังไปไหว้เคารพฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“หวงจั่งซุนหรือ เขากลับมาเร็วเสียจริง” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเรียบ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ฮ่องเต้เพิ่งมีพระบัญชาเรียกตัวหวงจั่งซุนกลับเมืองหลวง ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยเดินทางไม่หยุดพักก็ต้องใช้เวลากว่าจะมาถึงคงอีกสองวัน แต่ตอนนี้…แววตาองค์หญิงฉังผิงมีความเย็นเยียบวาดผ่าน เชียนเยี่ย เจ้าอย่าได้คิดทำเรื่องไม่ดีเลยนะ
กลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องอีกครั้ง องค์หญิงฉังผิงสั่งให้คนอื่นๆ ออกไป หนานกงมั่วเดินออกมาจากห้องด้านใน “เสด็จแม่”
มองเห็นหนานกงมั่ว หยาดน้ำตาขององค์หญิงฉังผิงก็ทะลักออกมาอีกครั้ง “อู๋สยา เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อเป็นอันใดไป เจ้า เจ้าได้เข้าเฝ้าพระองค์หรือไม่”
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้า องค์หญิงฉังผิงรีบเอ่ยถาม “เสด็จพ่อจากไปอย่างไร ตอนนั้น…เจ้าอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่” หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่เพคะ ตอนที่หม่อมฉันออกมาพระองค์ยังมีชีวิตอยู่” องค์หญิงฉังผิงใบหน้าซีดขาว เอ่ย “หรือว่าจะเป็น…เชียนเยี่ย”
หนานกงมั่วเอ่ยความจริง “ตอนนั้นหม่อมฉันไม่เห็นเย่ว์จวิ้นอ๋องเพคะ แต่ว่า…หม่อมฉันเห็นผิงชวนจวิ้นอ๋อง ในวังหลวงถูกเขาควบคุมเอาไว้หมดแล้ว หลายปีมานี้ผิงชวนจวิ้นอ๋องดึงคนของราชสำนักไปไม่น้อยเลยเพคะ”