ตอนที่ 469 โดนบังคับให้ติดกับดัก (2)
มองศพที่อยู่บนพื้น องค์หญิงฉังผิงใบหน้าซีดขาว “อู๋สยา เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
หนานกงมั่วรีบเดินเข้าไปหา ประคององค์หญิงฉังผิง เอ่ย “เสด็จแม่ มาได้เยี่ยงไรเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงทั้งรีบทั้งตกใจ “ฝั่งนี้เสียงดังเพียงนั้น ข้าจะไม่มาได้เยี่ยงไร บาดเจ็บหรือไม่ องครักษ์ในจวนไปอยู่ที่ใดกันหมด”
หนานกงมั่วประคององค์หญิงฉังผิงเดินเข้าไปด้านใน พร้อมบอกให้องครักษ์ในจวนจัดการกับร่างพวกนั้นให้เรียบร้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงโจรกระจอกไม่กี่คนเท่านั้น เสด็จแม่ ข้างนอกหนาวเข้าไปด้านในก่อนเถิดเพคะ” ทั้งสามเดินเข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ องค์หญิงฉังผิงมองไปยังจิ้นจั๋วเล็กน้อย “เจ้าอย่ามาโกหกข้า เรื่องแบบนี้จะเป็นโจรกระจอกได้เยี่ยงไร โจรกระจอกที่ไหนจะกล้าเข้ามาก่อเรื่องในจวนเยี่ยนอ๋อง อีกอย่าง ไยเรือนของเจ้าจึงไม่มีองครักษ์” หนานกงมั่วยิ้มบาง “องครักษ์ธรรมดาไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้พวกนั้นได้เพคะ คงจะสลบกันไปหมดแล้ว”
เรือนของนางใช่ว่าจะไม่มีองครักษ์ เพียงแต่มีไม่เยอะก็เท่านั้น หลิ่วก็ถูกนางส่งไปทำธุระกับลิ่นฉังเฟิงแล้ว อย่างไรเรื่องบางเรื่องนางก็ไม่อาจไปจัดการได้ด้วยตนเอง เพียงแต่หนานกงมั่วไม่คิดว่าเซียวเชียนเยี่ยจะทำเรื่องโง่ๆ อย่างส่งคนมาลอบสังหารนาง ดูเหมือนเขาคงกลัวจริงๆ ว่าเรื่องที่เซียวฉุนทำให้อดีตฮ่องเต้และองค์รัชทายาทต้องตายนั้นจะหลุดลอดออกไป ดีเหลือเกิน ฆาตรกรที่ฆ่าคนไม่ได้ร้อนใจเลยสักนิด เซียวเชียนเยี่ยที่เดิมไม่เกี่ยวข้องอันใดกลับร้อนใจจนแทบบ้า หรือว่าเขาไม่เคยคิด การกระทำเช่นนี้นั้นกินปูนร้อนท้องชัดๆ หากต่อไปเรื่องหลุดลอดออกไป และเรื่องที่เขาส่งคนมาลอบสังหารนางผู้ที่รู้เรื่องเพื่อปิดปาก ใครจะเชื่อเล่าว่าเขาบริสุทธิ์
องค์หญิงฉังผิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “เป็น…เชียนเยี่ยหรือ”
แม้ว่านางไม่เรียกว่าฉลาดนัก แต่ตอนนี้ในเมืองจินหลิงคนที่ต้องการฆ่าหนานกงมั่วนั้นมีไม่มาก เซียวฉุนฉลาดและเจ้าเล่ห์ หากไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จเขาจะไม่ทำ เช่นนั้นก็เหลือเพียงเซียวเชียนเยี่ยผู้เดียวแล้ว
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกเพคะ พระองค์วางใจเป็นพอ วันนี้ทำไม่สำเร็จพวกเขาคงไม่มาอีกแล้ว”
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบา “ลำบากเจ้าแล้ว ผู้นี้…คือ” องค์หญิงฉังผิงกวาดตามองจิ้นจั๋ว เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ หนานกงมั่วให้เขาอยู่ที่นี่ด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นคนของตนเอง องค์หญิงฉังผิงกลับไม่รู้ว่าหนานกงมั่วให้เขาอยู่ที่นี่ หนึ่งคือเพราะเขาพึ่งมาช่วยตนเองจริงๆ สองคือเขารู้ฐานะที่แท้จริงของคนลอบสังหาร ส่วนคนของตนเองยังห่างไกลอยู่มาก
หนานกงมั่วเอ่ย “ผู้นี้คือ…หัวหน้าจิ้นแห่งเขาฝูวั่ง เป็นคนที่จวินมั่วเชิญมาช่วยเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงชะงัก มองจิ้นจั๋วแล้วพยักหน้าน้อยๆ หนานกงมั่วเองรู้ดีว่าองค์หญิงฉังผิงไม่รู้จักคนในยุทธภพนักจึงไม่ได้อธิบายอันใดมาก จิ้นจั๋วเลิกคิ้วคมขึ้น ประสานมือ เอ่ย “ถวายพระพรองค์หญิง” องค์หญิงฉังผิงยิ้มบางๆ “หัวหน้าจิ้น…ไม่ต้องมากพิธี คืนนี้ต้องขอบคุณท่านแล้ว” จิ้นจั๋วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ได้รับคำขอร้อง ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
องค์หญิงเองก็รู้ว่าพวกเขามีเรื่องคุยกันจึงลุกขึ้นมา เอ่ย “ในเมื่อไม่มีอันใดแล้ว ข้าคงกลับไปก่อน เจ้าเองก็รีบพักผ่อน หัวหน้าจิ้นผู้นี้ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านจัดการห้องรับแขกให้” หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ย “หม่อมฉันไปส่งเสด็จแม่เพคะ” องค์หญิงฉังผิงส่ายศีรษะ เอ่ย “เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถิด เดี๋ยวข้ากลับไปเองก็ได้”
หนานกงมั่วส่งองค์หญิงฉังผิงออกไป จากนั้นหันกลับมามองจิ้นจั๋วที่ราวกับกำลังคิดอันใดอยู่ หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “หัวหน้าจิ้นมีเรื่องใดอยากเอ่ยหรือไม่” จิ้นจั๋วยิ้ม เอ่ย “องค์หญิงฉังผิงช่างจิตใจดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนองค์หญิงเชื้อพระวงศ์เลยแม้แต่น้อย จวิ้นจู่มีแม่สามีที่ดีแล้ว” หนานกงมั่วนึกถึงฐานะของจิ้นจั๋วคิดว่าคงไม่เป็นที่ยอมรับของตระกูลจู ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ตระกูลจูอาศัยจิ้นจั๋วไม่น้อย หนานกงมั่วไม่เชื่อว่าตระกูลจูจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างจูชูอวี้และจิ้นจั๋ว เพียงแต่ดูถูกฐานะของจิ้นจั๋วจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเท่านั้น
จิ้นจั๋วไม่พอใจ “จวิ้นจู่หมายถึงอันใด” หนานกงมั่วรีบโบกมือ เอ่ย “ไม่มี หัวหน้าจิ้นและซั่นจยาเซี่ยนจู่ต้องเป็นคู่รักและได้ลงเอยกันอย่างแน่นอน คืนนี้ยังต้องขอบคุณหัวหน้าจิ้นที่ยื่นมือเข้ามาช่วย”
จิ้นจั๋วส่งเสียงหยัน เพียงนึกถึงจูชูอวี้สีหน้าพลันทะมึนขึ้น เขารับปากเว่ยจวินมั่วมาปกป้องหนานกงมั่วแน่นอนว่าเป็นเพราะจูชูอวี้ แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จิ้นจั๋วเริ่มสงสัยว่าตนเองกับจูชูอวี้นั้นเหมาะสมหรือไม่ หลังจากที่จูชูอวี้เอ่ยวาจาตัดขาดจากเขา เขาจำเป็นต้องเข้าไปพัวพันกับนางไม่จบไม่สิ้นจริงๆ หรือ และจูชูอวี้…ควรค่าให้ตนเองทุ่มเทขนาดนี้แล้วหรือ
เงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงมั่วที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ไม่ไกลอีกครั้ง ท่าทางสุขุมสงบนิ่งนั่นไม่เหมือนพึ่งผ่านการลอบสังหารเมื่อครู่มาเลยด้วยซ้ำ จิ้นจั๋วพลันรู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจ ขณะเดียวกันพลันเข้าใจว่าไยกงอวี้เฉินจึงอยากเป็นศัตรูของเว่ยจวินมั่ว เพียงเพราะเว่ยจวินมั่วแต่งภรรยาผู้นี้ ก็สามารถทำให้บุรุษส่วนใหญ่ริษยาไม่น้อยแล้ว อีกทั้ง ภรรยาผู้นี้เขาไม่ได้ขอมาด้วยตนเอง แต่เป็นฝ่าบาทที่ประทานมาให้ โชคดีเกินไปแล้ว
เพียงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของจิ้นจั๋ว หนานกงมั่วก็พอเดาได้แล้วว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ เรื่องของความรู้สึก ใครก็บอกไม่ได้ แม้จิ้นจั๋วจะมิใช่คนดีอะไรมาก เพียงแต่ได้รู้จักไม่กี่ครั้ง หนานกงมั่วยังรู้สึกชื่นชมในความตรงไปตรงมาของเขา บุรุษเช่นนี้ไม่ว่าหญิงใดตกหลุมรักแล้วคงมีความสุขมาก แต่น่าเสียดายสตรีที่จิ้นจั๋วรักกลับเป็นสตรีที่ไม่ต้องการความรักที่สุด
“หัวหน้าจิ้นมาครั้งนี้ ได้พบกับซั่นจยาเซี่ยนจู่แล้วหรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ใบหน้าของจิ้นจั๋วทะมึนขึ้นมาเล็กน้อย จ้องหนานกงมั่วเขม็ง “เจ้าอยากพูดอันใด” หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม เอ่ย “หัวหน้าจิ้นเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงอยากบอกว่า…หากซั่นจยาเซี่ยนจู่รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ บางทีอาจเข้าใจผิดได้ เกรงว่าจะทำให้ความรักของทั้งคู่…ไม่ดีหรือไม่” จิ้นจั๋วกลอกตา เอ่ย “เจ้ารู้ว่าพวกเราทะเลาะกันแล้วมิใช่หรือ ความรัก…ระหว่างเราเคยมีความรักจริงๆ หรือ” จิ้นจั๋วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
หนานกงมั่วถอนหายใจ “แต่ว่า หัวหน้าจิ้นดูเหมือนจะยังไม่หมดรัก แม้ข้ากับท่านจะยังไม่รู้จักกันดี ไม่ควรคุยเรื่องเจาะลึก แต่ยังต้องเอ่ยสักประโยค เพื่ออนาคตจะได้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง” นางไม่ได้อยากเป็นที่ปรึกษาความรักให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นสบายหรือศัตรู
จิ้นจั๋วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ครั้งนี้ข้ามาเมืองหลวงเพื่อทำเพื่อนางเป็นสิ่งสุดท้าย หลังจากนี้…ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป” เงื่อนไขคือคุ้มกันหนานกงมั่ว แลกกับการที่เว่ยจวินมั่วต้องปล่อยจูชูอวี้ไปหนึ่งครั้ง แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่จิ้นจั๋วคิดว่าต้องมีสักวันที่จูชูอวี้ต้องจบสิ้นในมือของสองคนนี้
หนานกงมั่วมองจิ้นจั๋วอย่างเข้าใจไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก จิ้นจั๋วเอ่ยเช่นนี้เกรงว่าในใจคงไม่คิดอยู่รอว่าจะมีโอกาสย้อนกลับคืนมาหรือไม่ เพียงแต่หนานกงมั่วยิ่งเข้าใจ จูชูอวี้คงนับวันยิ่งทำให้เขาผิดหวัง เดิมทีพวกเขาไม่ใช่คนที่จะเดินร่วมในเส้นทางเดียวกันอยู่แล้ว
เห็นชัดว่าจิ้นจั๋วไม่ชอบให้ใครมาคุยเรื่องความรักของเขา พ่นลมหายใจออกมา เอ่ย “เจ้าไม่คิดจะไปจากจินหลิงจริงหรือ แม้แต่ฮ่องเต้ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ยังอยากสังหารเจ้า เจ้ายังจะอยู่ที่จินหลิงต่อไปได้อีกหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วมองเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ยิ่งมีฐานะไม่ธรรมดา อยากทำอันใดก็ยิ่งต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ เชื่อข้า หลังจากวันนี้ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยอยากสังหารข้าเพียงใดก็คงต้องไตร่ตรองมากกว่านี้” เป็นฮ่องเต้แล้วใช่ว่าอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้ กลับกันฮ่องเต้ที่ยังไม่มั่นคงในอำนาจยิ่งต้องระวังในทุกการเคลื่อนไหว หากคิดจะฆ่าใคร ก็ต้องมีใจที่กล้าหาญ เห็นได้ชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น