ตอนที่ 480 สั่งสอนหวงซุนกลางถนน (2)
ลิ่นฉังเฟิงมองไปยังเหอเหวินลี่แล้วถอนหายใจ “ช่างเถิด รู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าช่วยอันใดมิได้ ข้าจะไปหาแม่นางมั่วสักหน่อย”
เหอเหวินลี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ใจเย็นกว่าเจ้า สองวันที่ผ่านมา นางไม่ได้เอ่ยอันใดสักนิด ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น อ้อ ทั้งยังช่วยเว่ยซื่อจื่อดึงผู้สนับสนุนมาอีกหนึ่งด้วย เรื่องในหลิงโจว ตระกูลฉินก็เข้ามาร่วมด้วยแล้ว ได้ยินมาว่าผู้สำเร็จราชการแทนและฮ่องเต้พระองค์ใหม่พิโรธไม่น้อย” สิบตระกูลขุนนางในจินหลิง ตระกูลเซี่ยและตระกูลฉินลงมือต่อเนื่องกัน ทางด้านหลิงโจว ไม่ว่าจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนหรือฮ่องเต้พระองค์ใหม่เองไม่ได้เปรียบเรื่องหลิงโจวอีกแล้ว ที่จริงซิงเฉิงจวิ้นจู่แทบจะไม่ดึงดูดความสนใจผู้อื่นเลย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับความเอิกเกริกของตระกูลจูแล้วนางก็ดูระวังกว่ามาก แต่เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่เดิมตระกูลเซี่ยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่คราวนี้พวกเขากลับไม่ลังเลที่จะอยู่ข้างนาง ยามนี้แม้แต่ตระกูลฉินที่เข้ามาแทนที่ตระกูลเซี่ยก็ถูกนางโน้มน้าวได้ เอ่ยได้เพียงว่าหากเทียบกับซิงเฉิงจวิ้นจู่แล้ว ซั่นจยาเซี่ยนจู่ผู้นั้นยังอ่อนด้อยอยู่ขั้นหนึ่ง
“สังคมทุกวันนี้…ล้วนแต่มีสตรียอดฝีมือ แล้วบุรุษจะมีชีวิตอยู่อย่างไรเล่า” เหอเหวินลี่ถอนหายใจ
ลิ่นฉังเฟิงเหลือบมองเขา “หากเจ้ามีเวลากังวลเรื่องนี้ สู้คิดว่าตอนที่เว่ยจวินมั่วกลับมาเจ้าจะอธิบายเช่นไรดีกว่า”
เหอเหวินลี่ครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงเอ่ยถาม “ข้าจะคุกเข่ากอดขาอ้อนวอนต่อเว่ยซื่อจื่อ เจ้าว่าจะได้ผลหรือไม่”
คุณชายฉังเฟิงอ้าปากค้าง “แล้วศักดิ์ศรีข้าราชการของเจ้าล่ะ”
“ถูกเจ้ากินไปหมดแล้ว” เหอเหวินลี่เอ่ยสีหน้านิ่งๆ คนที่รับราชการ ศักดิ์ศรีของปัญญาชนนี้ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น
“…” คุณชายฉังเฟิงคลำจมูกตนเอง “ล้มเลิกความคิดเสียเถิด เว่ยจวินมั่วคงเตะเจ้ากระเด็นในครั้งเดียวเป็นแน่”
ภายในห้องบนชั้นสองของหอเทียนอี หนานกงมั่วนั่งดื่มชาอยู่เงียบๆ เรื่องที่ควรจัดการนางก็จัดการเรียบร้อย เรื่องราวในหลิงโจวนับจากนี้อยู่เหนือการควบคุมของนางแล้ว นอกจากนี้ระยะนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในเมืองจินหลิง ฉะนั้นนางก็ควรเชื่อในความสามารถของจวินมั่วด้วย จิ้นจั๋วนั่งอยู่ด้านข้าง โคลงถ้วยน้ำชาในมือเล่นไปพลางมองหนานกงมั่วอย่างครุ่นคิดไปพลาง การติดตามหนานกงมั่วในหลายวันมานี้ เห็นหนานกงมั่วพบผู้คนและทำสิ่งต่างๆ มากมายโดยไม่ปิดบังเขา ทว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหนานกงมั่วกำลังทำสิ่งใดอยู่ อย่างเช่นเรื่องตระกูลฉิน เขาคิดว่าหนานกงมั่วเพียงแค่ห่วงใยเว่ยจวินมั่ว ต้องการหาแรงสนับสนุนให้เว่ยจวินมั่ว แต่หากมองกลับไป เห็นท่าทางลนลานของเซียวฉุน เซียวเชียนเยี่ย และจูชูอวี้แล้วก็รับรู้ได้ว่าเรื่องราวมิได้เรียบง่ายเช่นนั้น
หนานกงมั่วเหลือบมองจิ้นจั๋วด้วยรอยยิ้ม มิได้สนใจนัก ปล่อยให้เขามองตนเองตามสบาย
หลังจากนั้นไม่นาน จิ้นจั๋วก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดตระกูลจูจึงโกรธเช่นนั้น”
หนานกงมั่วลูบคางพลางเอนตัวบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าหัวหน้าจิ้นจะไม่ถามคำถามนี้เสียแล้ว” จิ้นจั๋วพ่นลมหายใจเบาๆ “คิดแล้วไม่เข้าใจจึงได้ถาม หากเจ้าไม่อยากตอบก็ช่างเถิด” หนานกงมั่วยิ้มร่าพลางเอ่ย “ที่จริงแล้วก็ไม่มีอันใดหรอก เดิมตระกูลจูกักตุนอาหารและสมุนไพรไว้จำนวนมากและต้องการใช้โอกาสนี้แสวงหากำไร แต่ตอนนี้กลับมีการเก็บภาษีสมุนไพร ทั้งยังมีตระกูลฉินช่วยจัดเก็บด้วย ท่านคิดว่าจะเป็นเช่นไรเล่า” จิ้นจั๋วคิดอยู่ชั่วครู่ “หากขายอาหารและสมุนไพรไม่ออก ก็ต้องขายราคาถูกๆ หรือเก็บไว้ให้เน่าเสียเปล่าๆ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ถูกต้อง แม้ว่าตระกูลจูจะขายราคาถูกในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงได้ แต่หากไม่มีตระกูลฉินและราชสำนักล่ะก็ ไม่ว่ายารักษาและอาหารของพวกเขาจะแพงแสนแพงเพียงใด พวกเขาก็ยังมีชื่อเสียงที่ดี ในฐานะที่เดิมเป็นเพียงตระกูลอ่อนแอที่สุดในบรรดาสิบตระกูลขุนนาง ท่านคิดว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับตระกูลจูหากพวกเขาต้องมีชื่อเสียงฉาวโฉ่อีกครั้งเล่า คนที่อิจฉาตาร้อนกิจการของตระกูลจูมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว” จิ้นจั๋วยังคงนิ่งเงียบ หนานกงมั่วกล่าวต่อ “อย่างน้อยๆ…กิจการในแถบเจียงหนานจะต้องเสียหายหนักแน่”
จิ้นจั๋วขมวดคิ้ว “หากตระกูลจูถูกบังคับให้ออกจากเจียงหนานเล่า สุดท้ายใครจะได้ประโยชน์”
หนานกงมั่วยิ้มแล้วจึงเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเป็นตระกูลฉิน ท่านคงไม่คิดหรอกว่าตระกูลฉินจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยงานใหญ่เช่นนี้เปล่าๆ” แน่นอนว่าพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ได้ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแล้ว พวกเขาอาจแย่งชิงอันใดมาไม่ได้มาก นอกจากนี้เรื่องพวกนี้อย่างเร็วที่สุดก็ต้องรออีกสองสามเดือน คิดมากไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์
“พวกเจ้านี่ช่าง…”
“ข้ารู้ว่าหัวหน้าจิ้นอยากบอกว่าชนชั้นสูงอย่างพวกเราเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่มันเป็นเพียงการเอาชีวิตรอด แท้จริงก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับการเข่นฆ่าในยุทธภพของหัวหน้าจิ้นเท่านั้น” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วนางชอบวิธีลงมือตรงไปตรงมาเช่นในยุทธภพมากกว่า น่าเสียดายที่ทำเช่นนั้นไม่ได้
จิ้นจั๋วไม่เต็มใจจะหารือกับหนานกงมั่วเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เขาเหลือบมองไปยังถนนนอกหน้าต่างด้านข้าง ซึ่งมีผู้คนสัญจรไปมาแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาไป “อย่างที่เจ้าว่าเซียวเชียนเยี่ยมิได้จัดการอันใดกับเชื้อพระวงศ์เหล่านั้น”
หนานกงมั่วยิ้มหยัน เอ่ย “เซียวเชียนเยี่ยชอบอวดฉลาดเสมอ เขาคิดว่าคนเหล่านี้จะสำนึกบุญคุณหรือ หากหนึ่งในบรรดาหวงซุนทำผิดแล้วได้รับโทษสถานหนักดั่งเชือดไก่ให้ลิงดูก็จะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดมาก แต่ตอนนี้คนเหล่านี้เห็นว่าเขาอ่อนแอก็จะยิ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา” ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยลงโทษหวงซุนผู้สืบทอดคนใดคนหนึ่งอย่างหนักแล้วเยี่ยงไร ผู้ปกครองเมืองเหล่านั้นยังจะสามารถออกหน้าแทนได้หรือ ไม่ต้องเอ่ยว่าคนเหล่านี้ไร้ซึ่งเหตุผล ไม่รอให้ผู้ปกครองเมืองเดินทางมาถึงจินหลิงด้วยตนเอง เซียวเชียนเยี่ยก็คงขึ้นครองราชย์ไปแล้ว
จิ้นจั๋วเหลือบมองนางแล้วจึงเอ่ย “เจ้าเองก็อย่ามัวแต่ยินดียินร้ายกับผู้อื่น สองสามคนนั้นในจวนเจ้าก็ใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย”
แน่นอนว่าว่าหนานกงมั่วเข้าใจดี “โชคดีที่ผู้สืบทอดของเยี่ยนอ๋องค่อนข้างใจเย็น” เพียงแต่มิรู้ว่าจะคุมน้องชายทั้งสองของเขาได้หรือไม่
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ก็ได้ยินเสียงความโกลาหลมาจากชั้นล่าง หนานกงมั่วขมวดคิ้ว ยังไม่เอ่ยสิ่งใด จิ้นจั๋วเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นเดินไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่บริการอยู่ด้านนอก
“คารวะจวิ้นจู่” เมื่อเห็นหนานกงมั่ว เสี่ยวเอ้อร์ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง หนานกงมั่วพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ด้านนอกนั่นเป็นซื่อจื่อตระกูลใด”
สายตาของเสี่ยวเอ้อร์ปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย ตอบอย่างรวดเร็วว่า “ตอบจวิ้นจู่ องค์ชายรองในคังอ๋องฝ่าบาทและองค์ชายหกในไท่อ๋องฝ่าบาทต่อสู้กันอยู่ที่ชั้นล่างขอรับ”
“ด้วยเรื่องอันใด” หนานกงมั่วเลิกคิ้วถาม
สีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ดูแปลกไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยตอบ “ได้ยินว่า…เป็นเพราะคุณหนูของจวนผู้แทนฝ่ายขวาหนานกง”
“ผู้แทนฝ่ายขวาหนานกงหรือ” หนานกงมั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติได้ว่าหญิงที่เสี่ยวเอ้อร์กล่าวถึงคือหนานกงเจียว บุตรีจากเรือนท่านลุงของนาง “เจ้าบอกว่าเป็นน้องสาวข้าก็จบแล้วไม่ใช่หรือ” นานมากแล้ว นางเกือบลืมว่าตนยังมีท่านลุงอีกคน ที่จริงหนานกงไหวไม่นับว่าเป็นคนดูแลเอาใจใส่ครอบครัวเท่าใดนัก หรืออาจเป็นเพราะตระกูลหนานกงไร้ซึ่งบุคคลที่โดดเด่น แม้แต่ครอบครัวของหนานกงเฉินซึ่งนับว่าดีที่สุดแล้วก็ยังรู้สึกว่าแทบไม่มีตัวตนเสียด้วยซ้ำ
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
เสี่ยวเอ้อร์ต้องเอ่ยอย่างจำใจ “ได้ยินมาว่าองค์ชายหกในไท่อ๋องนัดคุณหนูหนานกงมาดื่มชา ไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายในคังอ๋องไปดื่มชากับคุณหนูหนานกงที่มากับพวกเขาได้ แต่หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มสู้กันขอรับ”
หนานกงมั่วกุมขมับ “ข้าจำมิได้แล้วว่าหนานกงเจียวหน้าตางดงามเพียงใด”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม้ตำแหน่งราชการของนายท่านหนานกงจะไม่โดดเด่นนัก แต่ฉู่กั๋วกงเป็นผู้มีอำนาจที่รู้จักกันดีในเมืองจินหลิง การมีบุตรีเช่นจวิ้นจู่และเห็นว่าคุณหนูรองกำลังจะได้เป็นพระสนมเอกในวังหลวง แม้ว่าคุณหนูหนานกงจะเป็นเพียงญาติ แต่ยามนี้จวนฉู่กั๋วกงก็ไม่มีหญิงที่ยังมิได้ออกเรือน…” หนานกงมั่วเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หนานกงไหวเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักร ไม่ว่าผู้ใดได้ขึ้นครองบัลลังก์ สถานะของเขาก็ยังคงมีความสำคัญมาก ยิ่งไปกว่านั้นโอรสของชินอ๋องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงบุตรที่เกิดจากนางสนมทั้งสิ้น หากพวกเขามาสู่ขอหนานกงเจียวไปเป็นชายารอง ต่อให้สานสัมพันธ์กับหนานกงไหวไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ไม่นับว่าเสียหายอันใด