ตอนที่ 478 ผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋อง (3)
เมื่อมองดูคนทั้งสาม คุณชายทั้งสามในเยี่ยนอ๋องล้วนแต่เป็นบุตรของพระชายาเยี่ยนอ๋อง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน แต่ลักษณะนิสัยกระทั่งหน้าตาของพวกเขากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เซียวเชียนชื่อหน้าตาคล้ายฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว ฉะนั้นใบหน้าของเขาจึงค่อนข้างธรรมดา อีกทั้งยังอายุน้อย ไร้ซึ่งสง่าราศีของฮ่องเต้ จึงดูไม่โดดเด่นนัก เซียวเชียนเหว่ยที่ยังอายุสิบเจ็ดปีกลับดูคล้ายเยี่ยนอ๋องมากกว่า เพียงแต่โครงหน้าดูละเอียดอ่อนกว่าเยี่ยนอ๋อง แต่ผู้ที่ดูโดดเด่นที่สุดในสามพี่น้องกลับเป็นเซียวเชียนจย่งที่เพิ่งอายุสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาหน้าเหมือนใคร มีคิ้วหนา ตาดุเยี่ยงเสือ บุคลิกองอาจผึ่งผาย ว่ากันว่าเซียวเชียนชื่อสุขภาพไม่ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่ฝึกศิลปะการต่อสู้ ในทางกลับกัน เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งสองพี่น้องกลับเหมือนบิดา เติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเชียนเหว่ยจะสนิทกับเซียวเชียนจย่งมากกว่า
เชื้อสายราชวงศ์เซียวส่วนใหญ่มีบุคลิกท่าทางธรรมดา แต่ในบรรดาพี่น้องของเยี่ยนอ๋อง รวมถึงเชื้อสายหลักของพวกเขานั้นกลับดูเหนือกว่า โดยเฉพาะองค์หญิงฉังผิงและเว่ยจวินมั่วที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้น
เจ้าของเรือนและแขกต่างนั่งอยู่พร้อมหน้า หนานกงมั่วนั่งลงด้านข้างองค์หญิงฉังผิง องค์หญิงฉังผิงยิ้ม เอ่ยว่า “คุณหนูฉินสี่สุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มตอบ “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจพลางเอ่ย “นางเองก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารเช่นกัน” องค์หญิงฉังผิงมีบุตรชายเพียงคนเดียวคือเว่ยจวินมั่ว แม้เว่ยจวินมั่วจะกตัญญูรู้คุณแต่เขาก็เป็นบุตรชาย ไม่ได้เอาอกเอาใจดังเช่นบุตรี และนั่นเป็นสาเหตุที่องค์หญิงฉังผิงปฏิบัติต่อสะใภ้อย่างหนานกงมั่วด้วยความสนิทสนม สำหรับตระกูลของหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดก็ชื่นชอบด้วยเช่นกัน หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากคุณหนูฉินสี่ทราบว่าเสด็จแม่ห่วงใยคงจะดีใจมาก น้องชายทั้งสามเดินทางมาไกล ลำบากไม่น้อยเลย เข้าวังไปไหว้เคารพพระศพฮ่องเต้แล้วหรือ”
เซียวเชียนชื่อเอ่ย “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชี้แนะ พวกเราไปมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยต่อ “ยามนี้จวินมั่วไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หากมีเรื่องอันใด น้องชายทั้งสามก็ให้คนมาบอกข้าได้”
เซียวเชียนจย่งที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจเบาๆ พึมพำเสียงแผ่ว “ท่านเป็นสตรี จะรู้เรื่องอันใด”
“บังอาจ!” เซียวเชียนชื่อตำหนิเสียงเข้ม “เหตุใดจึงหยาบคายเช่นนี้ เจ้าลืมคำสั่งของเสด็จพ่อแล้วหรือ”
ใบหน้าของเซียวเชียนจย่งพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง มองเซียวเชียนชื่ออย่างโกรธเคืองก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเอ่ยผิดไปแล้ว พี่สะใภ้อภัยให้ข้าด้วย”
หนานกงมั่วไม่ต้องการเอาเรื่องกับเด็กอายุสิบสี่ พยักหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “น้องชายกล่าวหนักเกินไปแล้ว” เพียงแต่มองดูสายตาของสามพี่น้องแล้วก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น ว่ากันว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม หนานกงมั่วได้เจอพระชายาเยี่ยนอ๋องหลายครั้งก็รู้สึกประทับใจเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อสายหลักของเยี่ยนอ๋องนั้นจะไม่ลงรอยกันเท่าใด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ แม้แต่พี่น้องร่วมบิดามารดา เกิดและเติบโตมาด้วยกัน ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทุกคน นับประสาอันใดกับเหล่าเชื้อพระวงศ์
เซียวเชียนชื่อฝืนยิ้ม ประสานมือคำนับหนานกงมั่ว ขอให้นางให้อภัย หนานกงมั่วยิ้มบางๆ แสดงให้เห็นว่าตนไม่ถือสา หากนางเอาแต่คิดเล็กคิดน้อยกับเซียวเชียนจย่ง นั่นเห็นได้ชัดว่านางใจแคบนัก
องค์หญิงฉังผิงไม่ค่อยพอใจนัก นางโปรดสะใภ้อย่างหนานกงมั่วมาก เรียกว่ารักเหมือนแม่รักลูกสาวจะเหมาะกว่าแม่สามีรักลูกสะใภ้ แม้ว่าเป็นหลานชายแท้ๆ ก็ยอมให้เซียวเชียนจย่งมาเสียมารยาทเช่นนี้มิได้ นางมองเซียวเชียนจย่งแล้วเอ่ย “จย่งเอ๋อร์ ข้าไม่ชอบออกไปข้างนอก ทั้งจวนนี้มั่วเอ๋อร์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด หากมีเรื่องอันใดให้ถามนางเถิด หากเจ้าทำตัวหยาบคายต่อมั่วเอ๋อร์อีกหน อย่ากล่าวโทษหากข้าจะส่งจดหมายไปรายงานพ่อเจ้าแล้วกัน” เซียวเชียนจย่งรู้ดีว่าบิดาของตนให้ความสำคัญกับเสด็จอามากเพียงใด ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าองค์หญิงฉังผิง ทำได้เพียงยอมรับผิด “เสด็จอา หลานสำนึกผิดแล้ว หลานผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “เช่นนี้สิถึงจะเป็นเด็กดี” เรื่องนิสัยของเซียวเชียนจย่งนางเองก็เคยได้ยินจากพี่ชายสามมาบ้างแล้ว จึงมิได้แปลกใจนัก
พวกเซียวเชียนชื่อสามพี่น้องเดินทางมาไกล รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย หลังจากพูดคุยกันครู่ใหญ่ องค์หญิงฉังผิงก็ให้พวกเขาไปพักผ่อน เหลือเพียงหนานกงมั่วอยู่พูดคุยด้วยเท่านั้น “จย่งเอ๋อร์อารมณ์รุนแรงไปสักหน่อย หากเขาทำอันใดผิดไป เจ้าก็ลงโทษเขาหรือบอกมารดาก็ได้ อย่าได้โทษตัวเอง”
หนานกงมั่วยิ้มแล้วจึงเอ่ย “เสด็จแม่ ไยจึงต้องร้ายแรงเช่นนั้น หม่อมฉันต้องเอาเรื่องเอาราวกับเด็กไม่รู้ประสาอย่างนั้นหรือเพคะ” องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบ “เจ้าอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี สำหรับเจ้าแล้วอาจไม่เป็นไร เจ้าคงไม่เคยเจอมาก่อนว่าโลกล้วนดูหมิ่นสตรี แต่ข้าเห็นว่า…ท่าทีที่จย่งเอ๋อร์มีต่อชื่อเอ๋อร์ไม่ถูกนัก ล้วนเป็นพี่น้องร่วมมารดา เอาใจออกห่างกันจะดีได้เยี่ยงไร” หนานกงมั่วเอ่ยปลอบใจ “พี่น้องย่อมต้องมีทั้งความใกล้ชิดและเหินห่าง คุณชายสามในวัยเพียงเท่านี้ยังเด็กและหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยลงรอยกับซื่อจื่อไปบ้าง ไม่สนิทกันก็ไม่เป็นไร หม่อมฉันคิดว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นคนฉลาด คงไม่มีอันใดหรอกเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้าแล้วเอ่ย “หวังเช่นนั้น เดิมทีตั้งใจจะย้ายออกภายในสองวัน แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขามาถึงก่อนเวลา เสด็จพี่สามจึงต้องการให้เราอยู่ในจวนต่อจะได้มีคนดูแล รอจนกว่าพวกเขากลับไปโยวโจวก่อนค่อยย้ายออกก็ยังไม่สาย มั่วเอ๋อร์เจ้าคิดเห็นเช่นไร” หนานกงมั่วยิ้มแล้วจึงเอ่ย “แน่นอนว่าเช่นเดียวกับเสด็จแม่เพคะ” พวกเขาอาศัยอยู่ในเรือนแขก หรือต่อให้จะอาศัยอยู่ในเรือนหลักในจวนเยี่ยนอ๋องก็ไม่เป็นอันใด องค์หญิงฉังผิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี ไม่เอ่ยเรื่องนี้แล้ว วันนี้ไปจวนตระกูลฉินราบรื่นดีหรือไม่” องค์หญิงฉังผิงรู้ดีว่าหนานกงมั่วจะไม่ไปที่เรือนตระกูลฉินอย่างไร้เหตุผลในเวลานี้ ตอนนี้สถานการณ์ยังละเอียดอ่อน แม้แต่เรือนตระกูลเซี่ย หลังจากกลับมาจากหลิงโจวหนานกงมั่วก็เคยไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“ทุกอย่างราบรื่นดีเพคะ จวินมั่วคงจะกลับถึงเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน เสด็จแม่อย่าห่วงไปเลย” เมื่อนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน ริมฝีปากของหนานกงมั่วก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ
องค์หญิงฉังผิงกล่าวด้วยความโล่งใจ “มีเจ้าอยู่ ข้าจะไม่สบายใจได้อย่างไร เพียงแต่จวินเอ๋อร์ไม่อยู่จึงลำบากเจ้าแล้ว” มีลูกสะใภ้ผู้นี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว องค์หญิงฉังผิงรู้สึกขอบคุณการกระทำของจวนฉู่กั๋วกงไม่น้อย ยิ่งนึกถึงหนานกงซูที่เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนยามนี้ หากได้นางมาเป็นสะใภ้จริงๆ คงเหมือนพบเจอภัยพิบัติ
“เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ เสด็จแม่เอ่ยเช่นนี้เหมือนเห็นหม่อมฉันเป็นคนนอก” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ภายในเรือนส่วนหลังของจวนเยี่ยนอ๋อง พ่อบ้านกำลังพาคุณชายทั้งสามไปยังเรือนพักของแต่ละคน เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างแปลก พ่อบ้านจึงไม่กล้าเอ่ยอันใดมากนัก ทำได้เพียงเดินนำทางไปเงียบๆ
“เจ้าสาม หยุดเดี๋ยวนี้!” เซียวเชียนชื่ออดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นเซียวเชียนจย่งเดินตัวปลิวอยู่ด้านหน้าเขาจึงเอ่ยเสียงเข้ม เซียวเชียนจย่งหันกลับมามองเซียวเชียนชื่ออย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงเอ่ย “มีอันใดอีกเล่า”
เซียวเชียนชื่อขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ท่าทางไร้มารยาทต่อพี่สะใภ้เมื่อครู่ จำไว้ว่าอย่าได้กระทำเช่นนั้นอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวเชียนจย่งก็โกรธและโพล่งออกมาอย่างทนไม่ไหว “จบได้หรือยัง ข้ามิได้ขอโทษเสด็จอาไปแล้วหรือ” คิ้วของเซียวเชียนชื่อยิ่งขมวดมากขึ้นอีก “นี่เจ้าเป็นอันใดไป ก่อนจากมา เสด็จพ่อสั่งให้ข้าคอยดูเจ้า ข้าพูดเพียงสองประโยคเท่านั้น” เซียวเชียนชื่อรู้ดีว่าน้องชายผู้นี้ไม่ชอบเขาเท่าใดนัก คราแรกเขาก็ไม่อยากตำหนิ ทว่าเขารู้จักเซียวเชียนจย่งดีกว่าองค์หญิงฉังผิง แม้ว่าเซียวเชียนจย่งจะเอ่ยขอโทษต่อหน้าองค์หญิงฉังผิงแล้ว แต่แท้จริงเขากลับไม่ได้ใส่ใจ เกรงว่าหากเจอกันก็คงจะหยาบคายต่อหนานกงมั่วอีก
เซียวเชียนจย่งกลอกตาแล้วจึงเอ่ย “อย่าเอาเสด็จพ่อมาขู่ข้า ข้าพูดเพียงประโยคเดียวแต่ท่านกลับไม่ยอมปล่อยไป คิดจะใช้ตำแหน่งผู้สืบทอดมากดดันข้าหรือ”