ตอนที่ 483 ป่วยก็ทานยา (2)
ที่จริงหากพูดว่าตีกันเพราะหนานกงเจียวคงเกินจริงไปสักหน่อย แม้หวงซุนทั้งสองจะเป็นเพียงผู้สืบทอดของผู้ปกครองเมือง แต่สาวงามรอบกายก็มีไม่น้อย คงไม่ถึงขั้นต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพียงเพราะหญิงงามอย่างหนานกงเจียว แต่ทุกคนอาจคิดว่าเพราะมีเรื่องราวกันเช่นนี้ จึงทำให้รู้สึกว่านางสวยขึ้นมาอีกสิบเท่าก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น หนานกงเจียวยังมีจวนฉู่กั๋วกงอยู่เบื้องหลัง หากเอ่ยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะแย่งชิงหญิงงาม ไม่สู้บอกว่าเป็นการรักษาหน้าตาเสียมากกว่า ในเวลานี้เมื่อเห็นหนานกงมั่ว ทุกคนต่างก็ยอมหยุดมือโดยปริยาย ความเป็นจริงหนานกงมั่วมิได้เป็นเพียงหญิงที่งามหมดจดเท่านั้น แต่นางยังเป็นบุตรีคนโตของหนานกงไหวอีกด้วย
หนานกงมั่วเหลือบมองไปที่หนานกงเจียว ก้มมองนางที่แม้มีน้ำตาคลอแต่ดวงตาก็แอบฉายแววภูมิใจอยู่ด้วยจนต้องแอบส่ายหน้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่อาจเทียบกับจูชูอวี้ได้เลย เพียงเทียบกับหนานกงซู หนานกงเจียวก็ต้องแพ้ราบคาบเป็นแน่
“เจ้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ใบหน้าหนานกงเจียวปรากฏรอยแดงขึ้น นางก้มหน้าบิดชายอาภรณ์ เอ่ยด้วยแผ่วเบา “คือ…คุณชายหกในไท่อ๋องเชิญข้ามาดื่มชาเจ้าค่ะ”
“เจ้าสนิทสนมกับคุณชายจวนไท่อ๋องเพียงนี้ ท่านพ่อรู้ข้าหรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถาม ตราบใดที่สมองของหนานกงไหวยังใช้การดีอยู่ เขาย่อมรู้ดีว่าการเข้าไปพัวพันกับผู้ปกครองเมืองในเวลานี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
สีหน้าของหนานกงเจียวชะงักเล็กน้อย น้ำเสียงของนางก็เบาลงเช่นกัน “ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ารู้” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหนานกงไหวไม่รู้
หนานกงมั่วคร้านจะเวทนานาง เอ่ยเพียงว่า “คุณชายในไท่อ๋องกับคุณชายในคังอ๋องมาตีกันเพื่อแย่งชิงเจ้า อีกทั้งยังทำลายหอเทียนอีอีก เรื่องนี้…เจ้าไปอธิบายให้ท่านพ่อข้าฟังเองเถิด”
“พี่หญิงใหญ่…” หนานกงเจียวตระหนกขึ้นมาทันใด สำหรับท่านลุงหนานกงไหวผู้นี้ เอ่ยตามตรงว่าหนานกงเจียวนั้นหวาดกลัว ดวงตาคลอน้ำตามองไปยังหนานกงมั่วอย่างน่าสงสาร ทว่าน่าเสียดายที่หนานกงมั่วมิใช่คนถนอมบุปผา หนานกงเจียวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเมื่อมองไปเห็นสายตาขุ่นเคืองไม่มากไม่น้อยของหนานกงมั่ว แต่ยังไม่ทันเอ่ยอันใด ชายหนุ่มในอาภรณ์สง่างามทั้งสองต่างหยุดสู้กันแล้วก้าวเข้ามา “คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ย “คุณชายทั้งสองช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน” ยังแยกไม่ออกว่าผู้ใดคือคุณชายในคังอ๋อง ผู้ใดคือคุณชายในไท่อ๋อง
ผู้ที่กำลังเอ่ยลูบจมูกของเขาราวกับละอาย หนานกงมั่วไม่ใส่ใจว่าพวกเขาจะละอายจริงหรือว่าเสแสร้ง เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายทั้งสอง แม้ร้านเล็กๆ นี้จะเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ของข้า แต่ท่านทั้งสองก็ไม่สามารถมาทำลายเช่นนี้ได้ ท่านคิดว่าจะจ่ายค่าเสียหายเสียตอนนี้หรือจะให้ข้าตามไปเก็บที่จวน” สีหน้าท่าทางของคุณชายทั้งสองแข็งทื่อ คราแรกก็ดูเป็นหญิงงาม เย็นชา บุคลิกโดดเด่น ไยเมื่อเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาถึงมีแต่เรื่องเงิน ช่างหยาบคายนัก
คุณชายอีกคนเลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ที่แท้หอเทียนอีก็เป็นกิจการของจวิ้นจู่นี่เอง พวกข้านี่เสียมารยาทจริงๆ ขอรับ”
หนานกงมั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยอันใด ชาวเมืองจินหลิงที่รู้ว่าหอเทียนอีเป็นกิจการของนางมีไม่น้อย แน่นอนว่านางคงไม่เชื่อว่าทั้งคู่ไม่รู้
คุณชายทั้งสองก็เข้าใจได้ทันที หนานกงมั่วตั้งใจให้พวกเขาจ่ายเงินชดใช้ เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะเบี้ยว ทว่าปัญหาอยู่ที่จะต้องจ่ายจำนวนมากน้อยเพียงใด หากเป็นพ่อค้าธรรมดาประสบเรื่องเช่นนี้ พวกเขายอมจ่ายเพียงสองสามตำลึงก็คงซาบซึ้งในบุญคุณแล้ว ทว่าเมื่อเป็นหนานกงมั่ว ค่าเสียหายครั้งนี้คงจะไม่น้อยเลย
“จวิ้นจู่คิดค่าเสียหายมาเถิด”
หนานกงมั่วไม่เกรงใจ เหลือบมองผู้จัดการร้านที่ยื่นหน้าออกมาจากโต๊ะเก็บเงิน เอ่ย “คิดมาเถิด”
แม้ว่าผู้จัดการร้านจะมิได้กล้าหาญนัก แต่ความสามารถในการคิดบัญชีนั้นดีมาก ลูกคิดบนโต๊ะส่งเสียงดัง ปากก็ไม่หยุดนับเลขเพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้นับเกิน “ห้องโถงโต๊ะพังไปสามตัว เก้าอี้นั่งเจ็ดตัว แจกันสองคู่ ชุดน้ำชาสี่ชุด จาน จอกเหล้า ขวดเหล้าอีกจำนวนหนึ่ง ทำภาพวาดเสียหายไปรูปหนึ่ง… โต๊ะเก้าอี้ในร้านทำจากไม้แดงคุณภาพดีราคารวมสามร้อยตำลึง แจกันแม้จะมิใช่ของโบราณแต่ก็เป็นเครื่องคลือบหลงฉวนชั้นหนึ่ง รวมเป็นร้อยยี่สิบตำลึง ภาพวาดนี้ก็เป็นฝีมือของปรมาจารย์แห่งยุคนี้ ตอนซื้อมาก็หนึ่งพันสองร้อยตำลึง แล้วก็…เนื่องจากคุณชายทั้งสองทำให้แขกที่ร้านตกใจกลัวจนหนีไปรวมสิบหกโต๊ะ รวมเป็นเงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบสองตำลึง รวมทั้งหมดแล้วก็เป็น… 2,752 ตำลึง ข้าน้อยจะช่วยปัดเศษออกให้ ก็จะเหลือ 2,750 ตำลึงขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของคุณชายทั้งสองก็ไม่สู้ดีนัก มิใช่แค่พวกเขาไม่มีปัญญาจ่ายเงินสองพันกว่าตำลึง แต่พวกเขาทั้งคู่เป็นเพียงลูกนางสนมในจวนเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเหมือนอย่างผู้สืบทอดหรือพวกเชื้อสายหลัก หากเอาเงินมากขนาดนั้นออกมาใช้ล่ะก็ ชีวิตในวันข้างหน้าคงลำบากแน่ สถานที่อย่างจินหลิงนั้นต้องใช้เงินเหมือนน้ำ หากจ่ายเงินชดใช้ไปเช่นนี้ หลังจากนี้จะเที่ยวเล่นได้อย่างไร หากไปขอผู้สืบทอดก็คงไม่ยอมแน่
แน่นอนว่าหนานกงมั่วไม่พลาดที่จะเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง เพียงเดินไปที่โต๊ะเก็บเงินและเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เอารายการสินค้ามาให้คุณชายทั้งสองดู แล้วก็รายการอาหารด้วย”
เจ้าของร้านแสดงออกว่านึกขึ้นได้ทันที รีบบอกให้เสี่ยวเอ้อร์นำรายการสิ่งของและอาหารออกมา
“ไม่ต้อง!” คุณชายคนหนึ่งโบกมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จ่ายตามที่จวิ้นจู่บอกเถิด” เขาหยิบตั๋วเงินหลายใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนลงบนโต๊ะ เอ่ยว่า “หนึ่งพันสี่ร้อยตำลึง ไม่ต้องทอน!” หลังเอ่ยจบก็มองหนานกงมั่วแล้วจึงเดินออกไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม คุณชายอีกคนเห็นว่าคู่ต่อสู้ของเขายอมจ่ายแล้ว แน่นอนว่าเขาจะยอมแพ้ไม่ได้ เขาหยิบตั๋วเงินออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะเช่นกัน มองด้วยความเจ็บใจอยู่บ้างแล้วจึงหันหลังเดินออกไปโดยไม่มองกลับมา ช่วงที่ยังอยู่เมืองจินหลิง เขาไม่คิดจะมาเหยียบร้านนี้อีก
หนานกงมั่วไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หันไปสั่งผู้จัดการร้านว่า “เรียบร้อยแล้ว รีบไปจัดร้านเถิด”
ผู้จัดการร้านมองตั๋วเงิน ยิ้มตาหยี แล้วรีบเอ่ย “จวิ้นจู่วางใจเถิด ยังมีโต๊ะเก้าอี้อยู่ในที่เก็บของหลังร้านขอรับ ข้าน้อยจะให้คนมาทำความสะอาดแล้วจัดใหม่ให้เรียบร้อย” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ช่วงนี้ระวังให้ดี หากมีคนสร้างปัญหาก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่โดยตรงเถิด คุณชายพวกนี้ก็ไม่เอาไหนเสียเลย” ผู้จัดการร้านพยักหน้าเงียบๆ คำพูดเหล่านี้ที่จวิ้นจู่ว่ามา ชาวบ้านธรรมดาเช่นพวกเขานั้นไม่กล้าเอ่ยหรอก
“พี่หญิงใหญ่ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร” เมื่อเห็นคุณชายทั้งสองคนที่เมื่อครู่ยังต่อสู้แย่งชิงตนเองอย่างดุเดือด ทว่าตอนนี้กลับเดินออกไปไม่แม้แต่จะมองหน้าตนด้วยซ้ำ หนานกงเจียวจึงไม่พอใจมาก หนานกงมั่วหันหน้ากลับมา เอ่ยด้วยความสงสัย “ข้าทำอย่างไรหรือ”
หนานกงเจียวพูดเสียงดัง “ท่านให้คุณชายในคังอ๋องกับคุณชายในไท่อ๋องชดใช้เงินได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ “เจ้าไม่ได้ป่วยใช่หรือไม่ พวกเขาทะเลาะทำลายข้าวของ ถ้าเขาไม่จ่ายแล้วใครจะจ่าย เจ้าหรือ”
หนานกงเจียวหดคอลง นางมีเงินมากเพียงนี้ที่ไหนกัน เกือบสามพันตำลึงเชียวนะ
“ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่ควร…” หนานกงเจียวเอ่ย “ท่าน…ท่านก็มิได้เดือดร้อนเรื่องเงินสักหน่อย” เมื่อนึกถึงสินสอดทองหมั้นของหนานกงมั่วเมื่อครั้งที่นางแต่งงาน หนานกงเจียวก็อดอิจฉาไม่ได้ ตามที่ได้ยินจากมารดาของนาง เมื่อครั้งหนานกงมั่วออกเรือน คนนอกไม่รู้ว่าภายในหีบก็มีไม่ต่ำกว่าแปดเก้าแสนตำลึงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสินสอดทองหมั้นอีกจำนวนมหาศาล ต่อไปหากนางได้เพียงหนึ่งในสิบของหนานกงมั่วก็พึงพอใจแล้ว