ตอนที่ 519 ต่อสู้ (1)
หนานกงไหวประสานมือคำนับไทเฮา เอ่ยว่า “วันนี้เสียมารยาทต่อไทเฮา เพราะกระหม่อมไม่มีทางเลือก หากกระหม่อมทำอันใดผิด ไทเฮาโปรดให้อภัยด้วย กระหม่อม…ไม่มีทางเลือกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาไม่สนใจ นางเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “บนโลกใบนี้ มีสักกี่คนที่สามารถทำอะไรตามใจตัวเอง”
หนานกงไหวเงียบ จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วหันหลังเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงประโยคที่ว่า “ไทเฮาไม่สนพระทัยพระองค์เอง แล้วยังไม่สนพระทัยเด็กในครรภ์ของฮองเฮากับพระสนมจูด้วยหรือ บางที…นี่อาจเป็นสายเลือดเดียวของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
ออกมาจากตำหนักใหญ่ ลมหนาวพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า หนานกงไหวนึกกลัว ข่าวที่ได้รับรู้เมื่อครู่ทำให้เขาไม่สบายใจ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอก
“สหายหนานกง เจ้าจะไปไหน” เซียวฉุนพาคนเดินเข้ามา เห็นหนานกงไหวเดินอย่างเร่งรีบ จึงเลิกคิ้วถามยิ้มๆ
หนานกงไหวขมวดคิ้ว “มีเรื่องด่วน ข้าต้องออกไปนอกวังหลวงครู่หนึ่ง”
เซียวฉุนส่ายหน้าแล้วเอ่ย “เกรงว่าคงไม่ได้” เห็นหนานกงไหวจะโมโห เซียวฉุนก็ยิ้มแล้วปลอบใจเขา “สหายหนานกง ไม่ใช่ข้าไม่ให้เจ้าออกไป แต่เกรงว่าเจ้าจะออกไปไม่ได้แล้ว วังหลวงนั้นถูกปิดล้อมด้วยคนของเซียวเชียนเยี่ย” สีหน้าของหนานกงไหวเปลี่ยนไป เบิกตากว้างมองเซียวฉุนแล้วจึงเอ่ย “ลากข้าลงโคลน มันมีประโยชน์อันใดต่อเจ้า”
เซียวฉุนยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ประโยชน์หรือ ไม่มี แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก ใครบอกให้เราสนิทสนมกันเช่นนี้เล่า”
สีหน้าของหนานกงไหวทะมึน ยิ้มหยันแต่ไม่เอ่ยอันใด
เซียวฉุนเอ่ย “มีเรื่องด่วนอันใดถึงต้องรีบออกไปเช่นนี้ สหายหนานกงคงไม่ได้จะหนีเอาตัวรอดใช่หรือไม่ เรื่องเช่นนี้…ไม่ควรมีครั้งที่สอง”
หนานกงไหวกัดฟันแล้วจึงเอ่ย “ข้าจะไปจัดการเรื่องส่วนตัว”
“ดูเหมือนจะร้ายแรงใช่หรือไม่ ไม่ต้องการให้ข้าช่วยด้วยหรือ”
หนานกงไหวยเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ช่วยส่งจดหมายฉบับหนึ่งออกไปให้ข้า”
“เรื่องเล็กน้อย” เซียวฉุนยิ้ม
หนานกงไหวมองรอยยิ้มของเซียวฉุนด้วยสายตาเย็นชา ในสายตาเต็มไปด้วยแววมุ่งร้าย
มีเงาดำพุ่งออกมาจากส่วนลึกของวังหลัง หลบหลีกองครักษ์ที่หนาแน่น มุ่งหน้าออกไปทางข้างนอกวังหลวงอย่างรวดเร็ว เมื่อเขากำลังจะพ้นไปจากกำแพงสุดท้ายของวังหลวง กลับมีลมพุ่งเข้าใส่ท้ายทอย ชายชุดดำขยับหลบไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง คิดจะออกไป ทว่าข้างหลังไม่ไกลกลับมีลมหนาวพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
แย่แล้ว
สิ่งสุดท้ายที่มองเห็นคือเงาวูบไหวของร่างสองร่า จากนั้นเขาก็หายลับไปในความมืดมิดทันที
หนานกงมั่วเหาะลงบนพื้นอย่างสง่างาม ก้มหน้าลงค้นจดหมายจากชายชุดดำแล้วเลิกคิ้ว เป็นลายมือของหนานกงไหว เวลาเช่นนี้ยังมีอารมณ์เขียนจดหมายส่งไปนอกวังหลวง ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นางเปิดซองจดหมายออกทันที ดึงกระดาษแผ่นบางข้างในออกมา บนกระดาษมีเพียงประโยคที่ว่าฆ่าหนานกงชวี่
สีหน้าของหนานกงมั่วเปลี่ยนไป ยื่นจดหมายให้เว่ยจวินมั่วที่อยู่ข้างหลัง เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่าหนานกงชวี่จะเป็นคนนำสิ่งของสำคัญของหนานกงไหวไป” เสือร้ายไม่กินลูกตัวเอง หากไม่ใช่สิ่งของที่สำคัญต่อชีวิต หนานกงไหวไม่มีทางตัดสินใจฆ่าเขาเช่นนี้
“หนานกงไหวยังมีกองกำลังซ่อนอยู่นอกวังหลวง แต่…ไม่รู้ว่าเขาจะนำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ใคร” เรื่องนี้พวกเขาสองคนไม่ตกใจ คนที่มีอำนาจล้วนแต่มีกำลังคนและอำนาจที่ซ่องสุมเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น หนานกงมั่วส่ายหน้าแล้วจึงเอ่ย “สายเกินไปแล้ว จดหมายฉบับนี้ไม่ได้ส่งออกไป ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางทำอันใดพี่ใหญ่ได้” เพราะหนานกงชวี่ยังเป็นลูกชายคนโตของหนานกงไหว ถึงแม้จะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่นอกจากคำสั่งที่ออกมาจากปากของหนานกงไหวแล้ว คนของหนานกงไหวย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้องหนานกงชวี่
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เก็บจดหมายเอาไว้แล้วจึงเอ่ย “จะเข้าไปในวังหลวงก่อนหรือไม่”
“เข้าไปในวังหลวงก่อนเถิด”
ห้องทรงอักษร
ในความเงียบงัน เซียวเชียนเยี่ยยืนขึ้นกะทันหันแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ลงมือเถิด!”
หยวนชุนที่อยู่ด้านล่างเผยอมุมปาก ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่เอ่ยอันใด ประสานมือถวายบังคมแล้วเดินออกไปเงียบๆ คืนนี้คือวาระสุดท้ายของเซียวฉุน มาถึงขั้นนี้แล้ว คิดว่าเซียวฉุนก็คงไม่ไร้เดียงสา คิดว่าเซียวเชียนเยี่ยจะปล่อยเขาไป เช่นนั้น…เกรงว่าคนในวังหลวงเองก็คงจะไม่ถูกปล่อยออกมาง่ายๆ
เดินออกมาจากห้องทรงอักษร เอ้อกั๋วกงที่ผ่านสงครามมามากมายหันกลับไปมองห้องทรงอักษรที่อยู่ข้างหลังด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเพราะยามกลางคืนเหน็บหนาวเกินไปหรือเพราะสาเหตุอื่น ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของพวกเขา…สมกับที่เป็นหลานชายของอดีตฮ่องเต้จริงๆ ไม่รู้ว่าเรียนรู้กลยุทธ์จากอดีตฮ่องเต้มามากเพียงใด แต่จิตใจที่โหดร้ายของอดีตฮ่องเต้นั้น…กลับได้เรียนรู้มาเต็มรูปแบบ
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเข้ามาในวังหลวงแล้ว เห็นว่าวังหลวงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย กำลังคนและม้าของทั้งสองฝ่ายต่างฆ่าฟันกันอย่างไร้ความปรานี ทั้งวังหลวงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
นั่งอยู่บนมุมชายคา มองดูสวนอวี้ฮวาที่สว่างไสว หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น “ท่านคิดว่าใครจะชนะ”
เว่ยจวินมั่วนั่งอยู่ด้านหลัง ปล่อยให้นางเอนตัวพิง เอ่ยเสียงเรียบเฉย “เซียวฉุนจะชนะชั่วคราว แต่เซียวเชียนเยี่ยจะชนะในที่สุด”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คิดไม่ถึงว่าเซียวฉุนจะไม่สนใจอันใดเลยเช่นนี้” ทว่าเว่ยจวินมั่วยังคงนิ่ง “เดิมทีเซียวฉุนก็เป็นคนบ้าอยู่แล้ว” ตั้งแต่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจากตระกูลยากจน จนกระทั่งมาเป็นจวิ้นอ๋อง เซียวฉุนไม่เคยต้องลำบาก ตอนที่เขาคลอดออกมาอดีตฮ่องเต้ก็มีอำนาจแล้ว พอเขาเติบโตขึ้นมาอีกหน่อยอดีตฮ่องเต้ก็แข็งแกร่ง หรืออาจเป็นเพราะเขาคิดว่าสถานะก่อนและหลังของตัวเองแตกต่างกันเกินไป ยังไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้ และไม่เคยผ่านอันใดมา เซียวฉุนจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความพอดี ในทางตรงกันข้าม เขากลับไม่พอใจที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นจวิ้นอ๋อง ความไม่พอใจนั้นถูกสั่งสมมานานกว่ายี่สิบปี จนมาถึงจุดที่เก็บไว้ไม่อยู่ในตอนนี้ เพราะเซียวฉุนรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางได้ขึ้นตำแหน่งสูงสุด ดังนั้นแทนที่จะเป็นขุนนางให้กับหวงจื่อหวงซุนของพี่ชายตัวเอง ไม่สู้ทำให้เรื่องราวสะเทือนเลื่อนลั่นยังจะดีกว่า
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้ารู้สึกว่า…เซียวฉุนยังมีแผนอื่นอีก”
“เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเรา” เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาแค่ต้องแน่ใจว่าเซียวเชียนเยี่ยจะไม่ตายก็พอแล้ว สำหรับเรื่องที่เซียวฉุนต้องการทำอันใดนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
หนานกงมั่วเอียงหัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วยิ้มออกมา “ก็จริง” ยิ่งเซียวฉุนก่อเรื่องใหญ่โตเพียงใดก็ยิ่งเป็นผลดีสำหรับพวกเขา แต่ว่า…เซียวเชียนเยี่ยต้องมีชีวิตอยู่
“คนของเซียวเชียนเยี่ยทนไม่ไหวแล้ว” เงยหน้ามองประตูวังที่อยู่ไม่ไกล หนานกงมั่วหรี่ตาลงแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้นแล้วจึงเอ่ย “ข้าจะไปดู”
หนานกงมั่วเองก็ลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าไปดูที่วังหลัง”
“ระวังตัวด้วย”
ออกมาจากอุทยานอวี้ฮวา ร่างของหนานกงมั่วก็เหาะทะยานไปมาตามตำหนักต่างๆ จนทั่ว วูบไหวราวกับฟ้าแลบในยามกลางคืน จากนั้นจึงมาถึงสถานที่ที่กักขังบรรดาหญิงสาวในวังหลัง ถึงแม้หน้าประตูจะมีองครักษ์เฝ้าอยู่ แต่ก็หยุดมือสังหารที่เชี่ยวชาญยาพิษไม่ได้ หนานกงมั่วขึ้นไปบนหลังคาอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็กระโดดลงมากลางห้องโถง