ตอนที่ 541 จุดจบของหร่วนอวี้จือ (2)
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่าเซียวเชียนจย่งฆ่าผู้สืบทอดโจวอ๋องและอันจวิ้นอ๋องแล้วโยนความผิดให้จวินมั่วหรือ”
“นี่…จะไม่ลำบากสมองของคุณชายเซียวสามไปหน่อยหรือ” ลิ่นฉังเฟิงเองก็รู้ว่านั่นเป็นไปได้ยาก “อีกทั้ง บางทีเขายังไม่มีความกล้าเพียงนั้นด้วยซ้ำ”
“หากจวินมั่วไม่ได้ฆ่า เช่นนั้นไยกระบี่ของคนร้ายจึงไปอยู่ในมือของเขา ไยเข้าจึงไม่บอกเล่าว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ นอกจากนี้ ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าตอนนั้นนอกจากทั้งสี่คนนี้แล้วไม่มีใครอื่น” หนานกงมั่วร่ายยาวถามเขา
“เรื่องนี้…” ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว “โหลวซินเย่ว์ถูกเฉิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปแล้ว ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่มีวิธีจะรู้ได้ว่าตอนนั้นด้านในนั้นยังมีคนอื่นอีกหรือไม่ รวมถึง…ผู้ติดตามเซียวเชียนจย่งที่บอกว่าเซียวเชียนจย่งต่อยกับผู้สืบทอดโจวอ๋อง”
ฝังมองทั้งสองคน ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ข้าน้อยคิดว่า…โอกาสที่คุณชายเซียวสามกับผู้สืบทอดโจวอ๋องและอันจวิ้นอ๋องจะต่อยตีกันนั้นมีไม่สูงนัก”
ทั้งสองมองไปยังฝังโดยพร้อมเพรียง ฝังเอ่ยจริงจัง “คุณชายเซียวสามอายุเพิ่งจะสิบสี่ ผู้สืบทอดโจวอ๋องและอันจวิ้นอ๋องนั้นอายุเกินยี่สิบแล้ว ต่อให้วาจาไม่ลงรอย คุณชายเซียวสามอารมณ์ร้อน ทั้งสองคนนี้ก็คงไม่ต่อยตีกับเขา ถึงขั้นต้องให้คนกลับไปตามเรียก อีกทั้ง แม้ว่าแม่นางโหลวจะออกมาหลังจากที่คุณชายมาถึงแล้ว แต่ว่าระหว่างซินเย่ว์หยวนกับจวนเยี่ยนอ๋องอย่างเร็วใช้เวลาสองเค่อ หรือว่าพวกเขาต่อยตีกันก่อนกว่าสองเค่อโดยไม่มีใครรับรู้และในสองเค่อนี้แม่นางโหลวอยู่ด้านในด้วยดูพวกเขาทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ”
ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วยิ้มบางๆ “เอ่ยมีเหตุผลนี่ ดูเหมือนว่าคนสนิทของเซียวเชียนจย่งจะมีปัญหาจริงๆ แม่นางมั่ว คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เจ้ามีคิดความเห็นเช่นไร”
หนานกงมั่วคิดไตร่ตรอง พร้อมเอ่ย “อย่างไรก็เป็นเชื้อพระวงศ์เพียงไม่กี่คนนั่น หากเว่ยจวินมั่วและเซียวเชียนจย่งอีกทั้งยังมีผู้สืบทอดโจวอ๋องเกิดเรื่อง แล้วใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่สุด”
ลิ่นฉังเฟิงชะงัก จู่ๆ ก็ชี้ไปที่วังหลวง เอ่ย “คนผู้นั้น เขาบ้าไปแล้วหรือ”
หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “เขาไม่ได้บ้า แต่เดิมทีเขาก็ไม่ควรลงมือในเวลาเช่นนี้ ส่งคนไปสืบ…เมื่อวานตอนเที่ยงพวกเราออกจากวังหลวงจนถึงตอนเย็นเขาทำสิ่งใดและพบใครมาบ้าง”
ลิ่นฉังเฟิงสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้า เอ่ย “รู้แล้ว จะไปสืบทันที”
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยลาและออกไปทันใด หนานกงมั่วนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือไตร่ตรองอยู่เงียบๆ ฝังยืนอยู่ด้านข้าง มองหนานกงมั่วด้วยความเป็นห่วง เนิ่นนาน ก่อนนางจะยืดตัวนั่งตัวตรงเอ่ยเสียงเข้ม “ฝัง ให้คนลอบจับตามองคนจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง สิบตระกูลใหญ่ในจินหลิง รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของจวนเอ้อกั๋วกง อีกทั้ง…โจวเซียงและหันหมิ่นตาเฒ่าสองคนนั่น นอกจากนี้ กิจการของวังจื่อเซียวที่เปิดเผยปรับให้เป็นอย่างลับๆ ทั้งหมด ทรัพย์สินของข้าและของเสด็จแม่เองก็จัดการเช่นกัน”
“จวิ้นจู่” ฝังมองหนานกงมั่วด้วยความสงสัย “หนักเพียงนี้เลยหรือขอรับ”
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ เอ่ย “เซียวเชียนเยี่ยจู่ๆ ก็สร้างความลำบากขึ้นมา แน่นอนว่าเขาต้องมีเหตุผลที่สร้างมันขึ้นมา พวกเราจงเตรียมพร้อมสลายตัวจากจินหลิงตลอดเวลา เจ้าเองไม่ต้องกังวล ข้ารับรองว่าจวินมั่วจะไม่เป็นอันใด”
ฝังยิ้ม เอ่ย “ข้าน้อยไม่เคยเป็นกังวลกับคุณชายเลยขอรับ หากคุณชายอยากออกมา เพียงคุกหลวงจะขังเขาได้อย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “ไปจัดการเถิด”
“ขอรับ จวิ้นจู่”
กลางดึก หอชุนเฟิงยังคงครึกครื้น เพราะการปิดตัวของซินเย่ว์หยวน หอชุนเฟิงจึงครึกครื้นกว่าปกติกว่าสามส่วน จื่อเยียนนั่งเอนหลังอยู่บนชั้นสองอย่างเกียจคร้าน มองดูการร่ายรำด้านล่างด้วยท่าทีอ่อนล้าเล็กน้อย
“แม่นางจื่อเยียน คุณชายมั่วมาเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งรีบเดินเข้ามา เอ่ยรายงานเสียงเบา
จื่อเยียนรีบลุกขึ้น รอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเป็นครั้งแรกในคืนนี้ ส่งสัญญาณให้สาวใช้ออกไป จื่อเยียนรีบเดินไปยังห้องสุดทางเดินบนชั้นสองที่เงียบสงบ มองเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งนั่งดื่มชาอยู่ด้านใน
“มั่ว…คุณชาย ท่านมาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ” จื่อเยียนรีบปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา หน้าตาราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดไม่ใช่หนานกงมั่วแล้วจะเป็นใครได้ หนานกงมั่วย่นคิ้ว “ข่าวที่หลิ่วบอก เจ้าได้เรื่องอย่างไรบ้าง”
จื่อเยียนพยักหน้า “ได้เรื่องมาบ้างเจ้าค่ะ เดิมคิดว่าดึกสักนิดจะให้คนไปส่งข่าว ไม่คิดว่าท่านจะมาด้วยตนเอง ไยจึง…ฝั่งคุณชายเว่ยจัดการได้ยากหรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วส่ายหน้า ยิ้มบาง “ลองบอกข่าวที่พอจะใช้ได้มาเถิด” จื่อเยียนถอนหายใจ “โหลวซินเย่ว์คล้ายกับจะถูกเฉินจวิ้นอ๋องวางตัวให้อยู่ในกิจการอื่นด้านนอกเมือง มีคุณชายที่สนิทสนมกับเฉินจวิ้นอ๋องหลุดปากออกมาเจ้าค่ะ นอกจากนั้น…” จื่อเยียนย่นคิ้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ “ยามนี้ทั่วทั้งจินหลิงกำลังปล่อยข่าวว่าคุณชายเว่ยเป็นหัวหน้าสำนักมือสังหารวังจื่อเซียว ท่านก็รู้ วังจื่อเซียวสังหารขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาไม่น้อย ดังนั้น…”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น เอ่ย “คนที่วังจื่อเซียวสังหารใครรู้บ้างว่าคนพวกนั้นเป็นคนที่พวกเขาอยากฆ่า เจ้าช่วยข้าปล่อยข่าวออกไป บอกว่า…วังจื่อเซียวมีสมุดบันทึกรายงานอยู่หนึ่งเล่ม”
จื่อเยียนชะงัก “หากเป็นเช่นนี้ จะไม่ทำให้ทุกคนร่วมแรงกันโจมตีหรือเจ้าคะ” คนที่จ้างมือสังหารนอกจากคนที่ไม่มีความสามารถแล้ว ส่วนใหญ่ก็คือคนเหล่านั้นที่ยอมเปิดเผยตัวตน หากมีสมุดบันทึกรายงานที่มีรายชื่อนั้นจริง คงไม่เป็นผลดีต่อวังจื่อเซียว หนานกงมั่วยิ้มเย็น “หากพวกเขาไม่กลัวรายชื่อนั้นจะถูกเปิดเผย ก็ให้พวกเขาก่อเรื่องไปเสีย”
จื่อเยียนพยักหน้า เอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะให้คนของเราระมัดระวัง แต่ทำเช่นนี้ ต่อไปเกรงว่า…” เกรงว่าคงไม่มีคนกล้ามาทำการค้ากับวังจื่อเซียวมากแล้ว หนานกงมั่วส่ายหน้า “ต่อไปวังจื่อเซียวไม่จำเป็นต้องทำกิจการมือสังหารแล้ว จวินมั่ว…อย่างไรก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ” อีกทั้งไม่เคยเป็นคนในยุทธภพด้วยซ้ำ การไม่ทำกิจการมือสังหารนับว่ามิได้มีการสูญเสียใดๆ สำหรับเขา หากก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าจะสูญเสียรายได้ แต่รายได้ตลอดครึ่งปีมานี้ของพวกเขา ไม่ว่าเว่ยจวินมั่วอยากทำอันใดในระยะนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะขาดเงิน
สั่งการกับจื่อเยียนไปอีกหนึ่งเรื่อง หนานกงมั่วจึงลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างเตรียมตัวกลับไป จื่อเยียนเองก็ลุกขึ้นตาม เดินออกไปส่งหนานกงมั่วด้วยตัวเอง แน่นอนว่าหนานกงมั่วไม่ได้กลับประตูหน้าของหอชุนเฟิง แต่ออกประตูหลังที่คนนอกไม่สามารถเข้าออกได้ จื่อเยียนไปส่งถึงประตูด้วยตนเอง หนานกงมั่วหันกลับมา เอ่ย “เจ้ากลับไปเถิด”
“คุณชายมั่ว ระวังตัวด้วย” จื่อเยียนเอ่ย
หนานกงมั่วพยักหน้า เดินเชื่องช้าออกไปในตรอกแคบ จื่อเยียนยืนอยู่หน้าประตู มองร่างของหนานกงมั่วที่หายไปกลับตรอกมืด กำลังจะหันตัวเข้าไปด้านในเตรียมปิดประตู
“หลัวอี” เสียงคุ้นเคยและยินดีอย่างน่าประหลาดดังขึ้นด้านหลัง จื่อเยียนชะงัก เมื่อหันกลับมามองเห็นก้อนสีดำอยู่ไม่ไกลจึงตื่นตกใจ ก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวังกำลังจะปิดประตู
“หลัวอี ข้าเอง” คนคนนั้นร้อนรน รีบเอ่ยเรียก
จื่อเยียนชะงัก ทันใดนั้นจึงเอ่ยเสียงเข้มเมื่อมีสติ “หร่วนอวี้จือ”