ตอนที่ 542 ข่มขู่ (1)
สาวใช้ที่หน้าประตูได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงรีบถือโคมไฟออกมา “แม่นาง เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ” จื่อเยียนยื่นมือไปรับโคมไฟจากสาวใช้มา ก้าวเดินออกไปด้านนอกสองก้าว ตอนนั้นเองจึงเห็นร่างของคนด้านนอกได้ชัดเจน
ด้านในกล่องสีดำ หร่วนอวี้จือนอนขดตัวอยู่กับพื้น ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยเศษฝุ่นสีดำ เส้นผมพันพันยุ่งเหยิง เสื้อผ้าบนร่างกายนั้นขาดรุ่ยจนดูไม่ออกถึงสภาพและสีเดิมของมัน ขาทั้งสองข้างถูกทิ้งอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรง บนนั้นยังมีคราบสีดำของเลือดเกรอะกรัง มีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ
มองเห็นจื่อเยียน หร่วนอวี้จือตื่นเต้นดีใจขึ้นมา “หลัวอี ข้าเอง นี่ข้าเอง ข้าผิดไปแล้ว…หลัวอี ยกโทษให้ข้าด้วย”
มองชายที่นอนอยู่บนพื้น หัวใจของจื่อเยียนนั้นนิ่งดุจผิวน้ำ แม้แต่ความเจ็บปวดและโศกเศร้าที่เคยมีก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ยามนี้หร่วนอวี้จือก็เป็นเหมือนขอทานพิการข้างถนนที่นางเคยพบเจอ กระทั่ง…เมื่อเจอคนพิการข้างถนนนางยังรู้สึกสงสารอยู่บ้าง แต่เมื่อเจอกับหร่วนอวี้จือ…กลับไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย
เพราะหร่วนอวี้จือล่วงเกินเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วจึงถูกฝ่าบาทถอดตำแหน่งกลายเป็นชาวบ้านธรรมดา หลังจากนั้นถูกเหล่าอันธพาลรุมทำร้ายจนเสียขาทั้งสองข้างไป เรื่องเหล่านี้แน่นอนจื่อเยียนรู้ดี นางยังรู้มาจากเหล่าคุณชายที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อเอาอกเอาใจนาง แน่นอนจื่อเยียนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สุดท้ายจึงไม่ได้ถามไถ่ข่าวคราวของหร่วนอวี้จือ คิดเสียว่าชายผู้นี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตนอีกแล้ว ทว่าไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” จือเยียนเอ่ยถามเสียงเบา
หร่วนอวี้จือเอ่ยตอบ “ข้ามาหาเจ้า หลัวอี เมื่อก่อนนั้นเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรหลงมัวเมากับอำนาจจนลืมสิ่งดีๆ ที่เจ้าทำเพื่อข้า ข้าผิดไปแล้ว…เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่ เรามาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ ข้า ข้าจะดีกับเจ้าอย่างแน่นอน”
“เหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ” จื่อเยียนยิ้มเย็น ใบหน้างดงามปรากฏแววเย้ยหยัน “เหมือนเดิมอย่างไร อาศัยเงินที่ข้าขายเนื้อขายตัวมาเลี้ยงเจ้าน่ะหรือ เจ้าคิดจะทำดีกับข้าอย่างไร” จื่อเยียนยกมือขึ้นมา กำไลหยกขาวแกว่งไกวไปมาอยู่ในข้อมือของนาง “กำไลหยกขาวชิ้นนี้ราคาแปดร้อยตำลึง เจ้าซื้อให้ข้าได้หรือ ยังมีชุดที่ข้าใส่ ราคาห้าสิบตำลึง เจ้าซื้อไหวหรือ”
หร่วนอวี้จือหน้าแดงขึ้นมาทันใด แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นสีดำ และเพราะความมืดจึงทำให้ดูไม่ออก “เจ้า…หลัวอี ไยเจ้าจึงเปลี่ยนไปหน้าเลือดได้เพียงนี้”
จื่อเยียนมองชายที่นอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างน่าขัน “หน้าเลือดหรือ ข้าหน้าเลือดเป็นเพราะใครกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าเต็มใจหน้าเลือดแล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า หากเจ้าสูงส่ง เจ้าก็ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ สภาพนี้แล้วยังมาคิดให้ข้าอภัยให้อีกหรือ…หร่วนอวี้จือ เจ้าคิดว่าข้าจื่อเยียนจะเอาของสกปรกอันใดก็ได้อย่างนั้นหรือ”
หร่วนอวี้จือทั้งโกรธทั้งอาย ทว่าทำอะไรไม่ได้ หากเป็นไปได้เขาเองก็ไม่ได้อยากมาหาหลัวอี แต่ตอนนี้กลับน่าเวทนาเช่นนี้ เขาเคยเกือบกลายเป็นขอทานข้างถนนไปแล้ว ทว่าถูกจูชูอวี้เก็บกลับมา และตอนนี้เขาพึ่งรู้ว่า เมื่อเทียบกับวันนี้วันที่เกือบจะกลายเป็นขอทานนั้นเป็นวันที่ดีมากแล้ว ขาทั้งสองข้างของเขาหัก แม้แต่ลุกยืนขึ้นมายังทำไม่ได้ ทำได้เพียงคลานอยู่บนพื้น พื้นดินของจินหลิงในต้นฤดูใบไม้ผลิทั้งเย็นทั้งชื้น เด็กที่เดินผ่านไปมารังแกเขาหัวเราะเยาะใส่เขา คนขอทานด้วยกันทำร้ายเขา แย่งอาหารที่กว่าจะหามาได้ไป หลายต่อหลายครั้งที่เขาคิดว่าตนเองคงจะตายไปอย่างนี้ แต่ว่า…เขาก็ยังไม่ตาย…
“ข้า…ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ” หร่วนอวี้จือเอ่ยขึ้น
จื่อเยียนยิ้มหยัน “คุณชายหร่วนน่าขันแล้ว จื่อเยียนเป็นเพียงคณิกาในหอนางโลม จะมีคู่หมั้นมาจากที่ใดได้ บนโลกใบนี้จะมีใครแต่งนางโลมมาเป็นภรรยากันเล่า”
“ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนี้ยังกล้าทำกับข้าเยี่ยงนี้หรือ” หร่วนอวี้จือกัดฟัน “เมื่อก่อนเป็นข้าที่ไม่ดี ข้าไม่มีทางรังเกียจเจ้าอีก”
จื่อเยียนยิ้มหยัน เอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายหร่วน ต่อให้ข้าเหงาอยากเลี้ยงขอทาน ก็คงจะหาอันใดที่พอดูได้ไม่ใช่ของไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไล่เขาไป ปิดประตู” จื่อเยียนถอยหลังกลับ กำลังจะเดินกลับเข้าไป หร่วนอวี้จือร้อนรน กัดฟันเอ่ย “คนที่เจ้ามาส่งเมื่อครู่คือหนานกงมั่วสินะ หากคนรู้ว่าเป็นคนของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว เจ้าว่าจะเป็นอย่างไร”
จื่อเยียนหมุนตัวกลับมาทันใด ดวงตาเยือกเย็นจ้องเขม็งไปยังชายน่ารังเกียจที่นอนอยู่บนพื้น
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร” จื่อเยียนเอ่ยถาม
หร่วนอวี้จือค้นพบจุดอ่อนของนาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มจองหองขึ้นมา “หึ เวลาเช่นนี้คนที่เจ้าจะออกมาส่งด้วยตนเองได้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่หนานกงมั่วมิได้ปกปิดเสียงของนาง เมืองจินหลิงสตรีที่มีความกล้าเพียงนี้จะเป็นใครไปได้อีก หากไม่ต้องการให้คนรู้ ทางที่ดี…เจ้าเชื่อฟังเสียดีๆ มิเช่นนั้น…”
นิ่งเงียบไปนาน ใบหน้าของจื่อเยียนเผยรอยยิ้มร้ายกาจ พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “เจ้ากล่าวไม่ผิด ไปตามคนมา อุ้มเขาเข้าไปด้านใน” หลุบตาลงไปมองคนบนพื้น จื่อเยียนเอ่ยเสียงเบา “ข้าจะให้ตามที่เจ้าปรารถนา แต่ว่า…หากเจ้าปล่อยเรื่องนี้ออกไป…”
หร่วนอวี้จือหัวเราะ เอ่ย “แน่นอนว่าข้าไม่ทำ ตอนนี้ขายเจ้าเป็นผลดีต่อข้าหรือ”
“เจ้าเข้าใจก็ดี” จื่อเยียนเอ่ย
“เจ้าค่ะ แม่นาง” สาวใช้ย่อตัวน้อมรับคำสั่ง รีบเดินหายเข้าไปในประตู
ไม่นาน ด้านในพลันมีชายร่างใหญ่สองคนเดินออกมา ขมวดคิ้วยกหร่วนอวี้จือเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันเข้าประตู หร่วนอวี้จือพลันร้องเสียงดัง “ด้านนอกหนาวมากเลย ข้าต้องการอาบน้ำอุ่น ข้าต้องการของกิน”
ด้านหลัง จื่อเยียนปิดประตูลงช้าๆ ดวงตาคู่สวยมีความเยือกเย็นพาดผ่าน
วันต่อมา เมืองจินหลิงสูญเสียคนที่เคยทะเยอทะยานขึ้นมาสองครั้งและเกือบจะกลายเป็นขอทานอีกสองครั้ง เพิ่มคนน่าสงสารที่ใบหน้าถูกทำลาย ตาบอด สองขาสองแขนใช้การไม่ได้
แต่ว่า ไม่มีใครใส่ใจการหายตัวไปของคนเช่นนี้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสนใจคนที่โผล่มาใหม่นั่น
หนานกงมั่วกลับมายังคุกหลวงอีกครั้งในเที่ยงวันต่อมา เป็นดังที่หนานกงมั่วกล่าวเอาไว้ เซียวเชียนเยี่ยไม่อยากทำเรื่องราวให้ดูแย่ และไม่อาจปฏิเสธคำขอขององค์หญิงฉังผิง อย่างไรเสีย องค์หญิงฉังผิงไม่ได้เอ่ยร้องขอเพื่อบุตรชายแม้เพียงประโยคเดียว เพียงขอร้องให้ลูกสะใภ้ได้เข้าไปเยี่ยมบุตรชายในคุกหลวงเท่านั้น หากไม่ยอมรับปากเช่นนั้นคงใจแคบเกินไป เซียวเชียนเยี่ยไม่ต้องการให้หนานกงมั่วเข้าไปเยี่ยมเว่ยจวินมั่วเสียด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้วองค์หญิงฉังผิงหรือเซียวเชียนชื่อสองพี่น้องนั้นไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด มีเพียงหนานกงมั่วสตรีผู้นี้ที่ต้องป้องกันคอยระแวดระวัง หลังจากจัดการกับเว่ยจวินมั่วแล้ว ความวุ่นวายจากเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง เซียวเชียนเยี่ยก็เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว
เข้ามาในคุกหลวงครั้งนี้ ผู้คุมกลับไม่ได้เข้ามาต้อนรับอำนวยความสะดวกเช่นเดิมแล้ว เห็นชัดว่าได้รับคำสั่งจากเบื้องบน
ยืนอยู่ด้านหน้าห้องขัง หนานกงมั่วมองสำรวจผู้คุมที่สงบนิ่งตรงหน้า
ผู้คุมคนนั้นคือคนที่พาหนานกงมั่วเข้าไปพบหนานกงไหวเมื่อครั้งที่แล้ว เมื่อมองสบตากับดวงตาเรียบนิ่งของหนานกงมั่วเขาจึงรู้สึกกดดันขึ้นมา ยิ้มแห้ง เอ่ย “จวิ้นจู่โปรดอภัยด้วยขอรับ คุณชายเว่ยและคุณชายเซียวตอนนี้มีโทษหนัก…ดังนั้น…” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ยังหนักกว่าหนานกงไหวได้อีกหรือ”