ตอนที่ 555 ของมีค่าควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อเกร็งกำไร ไปจากเมืองหลวง (1)
“ทรัพย์สมบัติของฮั่นอ๋อง…ท่านคงไม่ได้ส่งให้เยี่ยนอ๋องใช่หรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
เว่ยจวินมั่วยิ้มบางๆ โน้มตัวลงไปประทับจูบแผ่วเบาลงบนขมับของนาง เอ่ย “วางใจ ข้าเก็บส่วนของเขาเอาไว้แล้ว”
“เอ่ยเช่นนี้…ความจริงท่านคือคนจนอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วกุมขมับ นึกไปถึงตอนแรกที่เขาควักเงินออกมากว่ากี่แสนตำลึง ตอนนี้พบว่า ที่แท้เงินนั่นก็ไม่ใช่ของเขาเองอย่างนั้นหรือ เว่ยจวินมั่วชะงัก เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “จะว่าเช่นนั้นก็ได้…อู๋สยา ต่อไปนี้เจ้าคงต้องเลี้ยงข้าแล้ว ดูเหมือนว่า คงจะเกาะภรรยากินจริงๆ เสียแล้ว”
หนานกงมั่วเงยหน้าเฝ้าสังเกตเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า เอ่ย “เห็นแก่ใบหน้าที่ไม่เลวนี้ ข้าจะฝืนทนเลี้ยงท่านก็แล้วกัน”
“ฝืนทนหรือ” เว่ยจวินมั่วกระซิบถาม
“เอ่อ…” หนานกงมั่วขยี้ดวงตา ชื่นชมดวงตาสีม่วงคู่นั้นของเขา “ดูเหมือน…จะไม่ได้ฝืนทนเท่าใดนัก…”
กลางดึก หนานกงมั่วสะดุ้งตื่นจากความฝัน เตียงด้านข้างเย็นเยียบ คนที่ควรจะอยู่ตรงนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว หนานกงมั่วเองไม่ได้ร้อนใจ ลุกขึ้นไปยังโต๊ะด้านนอก ยังไม่ทันได้นั่งลงหมิงฉินก็เดินเข้ามา “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ไยจึงยังไม่นอน” ไม่ว่าจะเป็นหนานกงมั่วหรือเว่ยจวินมั่วต่างก็ไม่ชอบให้มีสาวใช้มาเฝ้าอยู่หน้าประตูเหมือนคุณหนูคุณชายตระกูลขุนนางทั่วไป ที่สำคัญเพราะฝีมือของทั้งคู่ก็ไม่เลว ไม่ได้ทำเรื่องเช่นคนอื่นทั่วไปเขาทำกัน มีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกมิสู้ไม่มียังจะหลับสบายกว่า
หมิงฉินเอ่ย “หุยเสวี่ยรู้สึกไม่สบาย บ่าวจึงมาตุ๋นน้ำแกงให้ที่ครัวเจ้าค่ะ คุณหนู…ยามนี้หนาวมาก ดื่มน้ำแกงสักหน่อยไหมเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเพิ่งสังเกตเห็นว่าหมิงฉินกำลังถือสิ่งใดอยู่ แม้ไม่ต้องมีคนเฝ้าประตู แต่ต้องมีสาวใช้สองคนมาอยู่ที่ห้องข้างๆ เพื่อสะดวกเมื่อเจ้านายต้องการเรียกใช้ หากเป็นทั่วไปแล้ว หมิงฉินก็คงไม่กล้านำน้ำแกงที่จะให้หุยเสวี่ยมาให้หนานกงมั่ว แต่หมิงฉินรู้ว่าคุณหนูของตนนั้นไม่รังเกียจเรื่องเหล่านี้
“หุยเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
หมิงฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงเป็นเหมือนสตรีทั่วไปที่มีทุกเดือนเท่านั้น ในครัวยังมีอีก บ่าวไปยกมาให้นางใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ” ทั้งสองพูดคุยกันไปได้ชั่วครู่เห็นว่าด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด หมิงฉินเองเข้าใจทันทีว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้อยู่ด้านใน ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เรื่องของเจ้านายพวกนางที่เป็นบ่าวไม่ควรเข้าไปยุ่ง
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าคงต้องกลับไปอีกรอบ รีบพักผ่อนด้วย อย่าป่วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนูดื่มให้อร่อยนะเจ้าคะ” หมิงฉินวางน้ำแกงในมือลงบนโต๊ะ ย่อตัวเบาๆ แล้วเดินออกไป
นั่งดื่มนำแกงอยู่บนโต๊ะ ภายใต้ค่ำคืนอันเหน็บหนาว มีเพียงหัวใจที่รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา น้ำแกงหนึ่งถ้วยยังไม่ทันดื่มหมด เว่ยจวินมั่วก็กลับมาแล้ว มองเห็นหนานกงมั่วที่นั่งอยู่บนโต๊ะคิ้วคมจึงเลิกขึ้น “ไยจึงตื่นขึ้นมาเล่า” หนานกงมั่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ กลิ่นเลือดคละคลุ้งมาจากร่างกายเขา “ไปทำอันใดมาหรือ”
เว่ยจวินมั่วเดินมานั่งลงข้างกายนาง เอ่ย “ไม่มีอันใด ไปจัดการอันใดเล็กน้อย”
หนานกงมั่วสงสัย ครุ่นคิดชั่วครู่พลันเข้าใจ “ท่านไปหาเรื่ององครักษ์สายลับหรือ” คนทั่วไปคงไม่รู้แม้กระทั่งว่าองครักษ์สายลับอยู่ที่ไหน แต่เว่ยจวินมั่วที่ไม่รวมอยู่ในคำว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดนี้ เว่ยจวินมั่วส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ “เช้าฉินเย็นฉู่[1] องครักษ์สายลับเช่นนี้มีไปก็ไร้ประโยชน์”
หนานกงมั่วยกยิ้มมุมปาก “ท่านกังวลว่าเซียวเชียนเยี่ยจะส่งพวกเขามาหาเรื่องพวกเราหรือ” องครักษ์สายลับนั้นไม่เท่าไหร่ เดิมควรเป็นมีดลับในมือของอดีตฮ่องเต้ สุดท้ายกลับช่วยเซียวฉุนเอาชีวิตอดีตฮ่องเต้ ยามนี้เซียวฉุนตายไปแล้วยังกลับมาเข้ากับเซียวเชียนเยี่ยเป็นศัตรูกับพวกเขา วรยุทธ์ของคนเหล่านี้นั้นไม่เลว หากถูกเซียวเชียนเยี่ยส่งมาจัดการพวกเขาอีกครั้ง การเดินทางมุ่งหน้าทางเหนือของพวกเขาคงยากลำบาก
“ข้าเหลือคนรอดชีวิตไว้หนึ่งคน” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านอยากให้เซียวเชียนเยี่ยตกใจตายหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คิ้วคมของเว่ยจวินมั่วเลิกขึ้น ไม่เอ่ยสิ่งใด
ต้องไปจากจินหลิงแล้ว จวนเยี่ยนอ๋องยุ่งขึ้นมาทันใด คนทั่วทั้งจินหลิงกลับมึนงง ผู้สืบทอดผู้ปกครองเมืองและน้องชายของฮ่องเต้ถูกสังหาร ผู้ที่ต้องสงสัยถูกจับทันทีในเหตุการณ์ ทว่ากลับไม่ถึงสามวันพลันถูกปล่อยตัวออกมา ฮ่องเต้มีเพียงราชโองการหนึ่งฉบับบอกว่าเว่ยจวินมั่วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ โดยที่ไม่มีหลักฐานอื่นใดเลยสักชิ้น เช่นนี้เหลวไหลยิ่งกว่าการจับบุตรชายองค์หญิงฉังผิงและบุตรชายของเยี่ยนอ๋องในข้อหาสังหารคนตายเสียอีก แต่คนที่สามารถถามต่อฝ่าบาทนั้นมีไม่มาก และในการว่าราชการเช้านี้ขุนนางอาวุโสทั้งหลายไม่มีผู้ใดเปิดปากเอ่ยสิ่งใดเลย คนอื่นแน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดต้องเอ่ย รู้เพียงว่าโจวอ๋องและครอบครัวอันจวิ้นอ๋องเมื่อได้รับข่าวแล้วไม่มีใครโต้แย่งอันใดก็เพียงพอแล้ว หากรู้ว่าแม้อดีตรัชทายาทไม่อยู่แล้ว ทว่าเสด็จแม่ของอันจวิ้นอ๋องนั้นถูกแต่งตั้งเป็นไท่เฟยอยู่ในวัง พระชายาของอันจวิ้นอ๋องเองก็ถูกยกย่องมีคุณงามความดีเล่า
ฉินจื่อซวี่พาฉินซีมานั่งอยู่ในห้องโถงรับแขกจวนเยี่ยนอ๋อง ฉินซีมองสำรวจจวนเยี่ยนอ๋องด้วยความสนอกสนใจ ทว่าไม่ใช่ว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินจะไม่เคยเห็นโลกภายนอก แต่คุณหนูฉินสี่ตั้งแต่เด็กจนโตจวนตระกูลฉินคือโลกทั้งใบของนาง เป็นครั้งแรกที่ออกมาเยี่ยมยังจวนตระกูลอื่น ฉินจื่อซวี่มองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น นับตั้งแต่กินยาที่หนานกงมั่วจัดให้ อาการของฉินซีก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ยามนี้พึ่งเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ร่างกายแข็งแรงกว่าที่ผ่านมามากทีเดียว นึกถึงแต่ละปีที่ผ่านมา เมื่อถึงฤดูหนาวเป็นช่วงที่พวกเขากังวลที่สุด ไม่ได้ผ่านไปเหมือนปีนี้ ฉินจื่อซวี่เองอดมีความหวังขึ้นมาในใจไม่ได้ บางทีน้องสาวของเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่าเหมือนสตรีอื่นทั่วไปได้
ดังนั้นครั้งนี้มาเยี่ยมหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว ฉินจื่อซวี่จึงพาฉินซีที่ไม่เคยออกจากจวนมาด้วย และความรู้สึกแบบนี้ บางที…หลังจากครั้งนี้แล้วคงเนิ่นนานกว่าจะได้เจอทั้งสองคนอีก
“คุณชายฉิน” ไม่นาน พวกหนานกงมั่วทั้งสองคนก็เดินเข้ามา มองเห็นฉินซีที่นั่งอยู่ด้านข้างหนานกงมั่วจึงตื่นเต้นดีใจ “ซีเอ๋อร์หรือ”
ฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าสบายดีหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยตอบ “ข้าสบายดีแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเองก็ดูจะไม่เลวนะ”
ฉินซียิ้ม “ต้องขอบคุณยาของเจ้า มิเช่นนั้นเกรงว่าข้าคงออกจากเรือนมาไม่ได้”
เว่ยจวินมั่วจูงมือหนานกงมั่วมานั่งลง เหลือบมองฉินจื่อซวี่ เอ่ย “เวลานี้พวกเจ้ามาทำอันใด” ตอนนี้ในหัวของเซียวเชียนเยี่ย พวกเขาสองคนคงเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ที่ข้ามหัวเซียวฉุนและหนานกงไหวไปได้แล้ว ในเวลาเช่นนี้ใครสนิทสนมกับพวกเขานับว่าโชคร้าย ฉินจื่อซวี่เองไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่หรือ…พวกเจ้าจะไปจากวังหลวงแล้ว ด้วยความสัมพันธ์ของเราจะไม่มาก็กระไรอยู่”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้นเบาๆ “ข่าวคุณชายฉินช่างรวดเร็ว” ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ย “กล่าวเกินไปแล้ว เพียงคาดเดาได้ก็เท่านั้น ครั้งนี้จวิ้นจู่ทำให้ฝ่าบาทเสียหน้าไปมาก ไม่ไปจากจินหลิงก็คงไม่ได้”
[1] เช้าฉินเย็นฉู่ เป็นสำนวน หมายถึง โลเลไม่มั่นคง ใครว่าอะไรก็เอนเอียงไปตามนั้น