เกรงว่าคนผู้นี้เองก็มองว่าหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป จึงได้พยายามเปลี่ยนมาใช้คำที่ไพเราะขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ย “นี่คือภรรยาของข้า แซ่หนานกง”
“เอ๋” คนผู้นั้นชะงัก เมื่อได้สติกลับมาจึงเอ่ย “เว่ยฮูหยิน” เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นชินกับการแนะนำภรรยาด้วยท่าทีเคร่งขรึมของเว่ยจวินมั่ว
หนานกงมั่วยิ้มบาง พยักหน้า เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเบา “ผู้นี้คือผู้บังคับการกองร้อยเหยียน”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “ผู้บังคับการกองร้อยเหยียน รบกวนแล้ว”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน” ผู้บังคับกองร้อยเหยียนโบกมือพลางเอ่ย มองทั้งสองท่าทางลังเลอยู่ชั่วครู่ เห็นชัดว่ามีเรื่องจะคุยกับเว่ยจวินมั่ว อีกทั้งรู้สึกว่ามารบกวนพวกเขาสองสามีภรรยา หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามิได้มีอันใด มารบกวนพวกท่านแล้ว พวกท่านคุยกันเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย” เอ่ยจบจึงพยักหน้าให้เว่ยจวินมั่ว เดินนำติงเสียวเถี่ยออกไป
ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนมองสตรีในอาภรณ์สีฟ้าที่กำลังเดินออกไป จากนั้นหันกลับมามองเพื่อนร่วมงานใหม่ที่ใบหน้าเรียบนิ่งตรงหน้า เกิดความสงสัยมากมายขึ้นในหัว
ยามนี้เป็นปลายเดือนสามแล้ว แม้แต่ทางเหนือเองก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามตระการตา หญ้าเขียวขจี วิหกโบยบิน แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้ชื่นชมมากนัก หนานกงมั่วกลับพบสมุนไพรมากมายตามเนินเขาห่างออกไปไม่ไกล รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา พาติงเสียวเถี่ยเดินออกไปไกล ระหว่างทางถือโอกาสสอนให้เขารู้จักสมุนไพรไปด้วย ติงเสียวเถี่ยนั่นไม่โง่เขลาจริงๆ สมุนไพรหลายชนิดที่สอนเขาเพียงครั้งสองครั้งก็ไม่ต้องเอ่ยบอกอีก เขาสามารถแยกแยะมันออกได้ด้วยตัวเอง
บริเวณค่ายทหารนั้นไม่มีภูเขาสูงแต่อย่างใด มีเพียงเขาที่ทอดยาวลงไปทางใต้ ทว่าไม่สูงมาก และไม่มียอดเขาสูงชันแต่อย่างใด มีเพียงเนินเขาเล็กๆ เพียงเท่านั้น ติงเสียวเถี่ยเดินนำอยู่ด้านหน้าหนานกงมั่ว นำสมุนไพรที่เก็บได้ใส่ไว้ยังตะกร้าด้านหลัง พลางเอ่ยกับหนานกงมั่ว “ได้ยินพวกพี่ชายท่านลุงที่อายุมากสักหน่อยเหล่านั้นบอกว่าในเขามีของดีมากมาย ฤดูหนาวหากโชคดียังสามารถล่าหมูป่าได้ ได้ยินว่าพวกหัวหน้ากองธงเผิงเองยังเคยล่าหมาป่าได้ด้วยขอรับ”
หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ในนี้มีหมาป่าหรือ”
ติงเสียวเถี่ยพยักหน้า “อาจจะมีขอรับ…ที่บ้านของข้าน้อยเองยังมีหมาป่ามาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่มีใครกล้าล่า ได้ยินว่าทุ่งหญ้าด้านนอกนั่นยิ่งมีหมาป่ามาก อีกทั้งยังชอบโผล่มาเป็นฝูง แม้แต่พวกป่าเถื่อนเป่ยหยวนเองก็กลัว ดังนั้นจึงเข้ามาแย่งพื้นที่ของพวกเราอยู่บ่อยครั้ง ฮูหยิน พวกเราเข้าไปเอง จะ…”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ภูเขาที่นี่ไม่ใหญ่ ต่อให้มีสัตว์ร้ายก็ไม่โผล่มาง่ายๆ หรอก อีกอย่างเราก็ไม่ได้เข้าไปในป่า”
“ขอรับ ฮูหยิน”
นั่งอยู่บนเนินหญ้าเขียวชอุ่ม หนานกงมั่วเล่นดอกไม้ป่าที่เก็บมาในมือพลางมองออกไปไกล มองไกลออกไปยังสามารถมองเห็นเหล่าทหารกำลังทำงานอยู่ ด้านข้างห่างออกไปไม่ไกล ติงเสียวเถี่ยกำลังเก็บสมุนไพรใส่ตะกร้าบนหลังอย่างสนุกสนาน ระยะเวลาสั้นๆ เขาสามารถรู้จักสมุนไพรกว่าสามชนิดแล้ว ฮูหยินบอกว่ากลับไปแล้วจะสอนเขาว่าสมุนไพรเหล่านี้เอามาทำอันใด
สวบ สวบ… เสียงหนึ่งดังขึ้นมา หนานกงมั่วหันกลับไปมองอย่างระแวดระวัง เอ่ยเสียงเข้ม “ใคร” ติงเสียวเถี่ยโยนตะกร้าทิ้งแล้ววิ่งมาทางหนานกงมั่วอย่างว่องไว มุมหนึ่งไม่ไกล คนผู้หนึ่งคลานออกมา หนานกงมั่วชะงัก มองชายคุ้นตาตรงหน้า “ท่าน…”
ชายหนุ่มคนนั้นกลับดวงตาเป็นประกาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นาง เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่ ข้าเป็นเจ้าของร้านยาในเมือง”
หนานกงมั่วจำเขาได้ เจ้าของร้านอายุน้อยที่เป็นเจ้าของร้านยาเล็กๆ ที่นางไปซื้อยาเมื่อวาน หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มขมขื่น เอ่ย “หากว่างไม่มีอันใดทำ ข้าจะมาเก็บสมุนไพรในป่า ไม่คิดว่า…” หนานกงมั่วมองเห็นร่างกายเขาดูลำบาก ขาข้างหนึ่งงอผิดปกติ ใบหน้าที่เดิมซูบผอมยามนี้ซีดขาว เหงื่อซึมทั่วใบหน้า
“ท่านเป็นเจ้าของร้านยามิใช่หรือ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เอ่ย “เมืองเล็กๆ เช่นนี้ นอกจากซื้อยาจากชาวบ้านที่เข้ามาเก็บแล้ว ส่วนใหญ่ก็ออกมาเก็บด้วยตนเอง ไม่อาจหาเงินได้เหมือนร้านขายยาในเมืองโยวโจวหรอก และยังแพงอีกด้วย ร้านขายยาใหญ่ๆ เองก็ไม่ยอมมาเปิดร้านที่เมืองของเราหรอก” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ยาที่ร้านของท่านคุณภาพไม่ดีจริงๆ” ไม่เพียงชนิดยาที่ไม่ดีนัก วิธีการเก็บสมุนไพรก็ไม่เก่งนัก
ถูกลูกค้าฉีกหน้า เจ้าของร้านหนุ่มจึงเขินอายขึ้นมา
ติงเสียวเถี่ยมองเขาอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่มีอันตรายใดๆ จึงผ่อนคลายลง เอ่ยถาม “ท่านเป็นอันใดหรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตกลงมาจากเนินเขา ดูเหมือน…กระดูกจะหัก”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นทำเยี่ยงไรเล่า” ติงเสียวเถี่ยมองหนานกงมั่วโดยไม่รู้จะทำเช่นไร หนานกงมั่วเดินเข้าไปย่อตัวนั่งลง ยื่นมือออกไปบีบขาข้างซ้ายของเขาเบาๆ เอ่ย “กระดูกหักจริงๆ”
ชายหนุ่มทำได้เพียงฝืนยิ้มอย่างจนปัญญา
หนานกงมั่วครุ่นคิด หันกลับไปหาติงเสียวเถี่ย” เอ่ย “เจ้ากลับไปรายงานเว่ยจวินมั่ว ดูว่าเขามีวิธีเช่นไร”
ติงเสียวเถี่ยรีบส่ายหน้า “ได้อย่างไร ข้าไปแล้วใครจะปกป้องฮูหยินเล่า”
หนานกงมั่วปรายตามองเขา ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “เด็กน้อย ข้าแทบจะพิการอยู่แล้ว ต่อให้มุ่งร้ายก็ทำอันใดไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ อีกทั้ง…ข้าเป็นเจ้าของร้านขายยาในเมืองจริงๆ” ติงเสียวเถี่ยกลอกตา “ใครว่าท่านเล่า สัตว์ร้ายในป่าต่างหาก”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เจ้ารีบไปรีบมา มิเช่นนั้นเราก็ทิ้งเขาไว้ที่นี่ให้เขากลับเองเถิด”
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยังสงสารคนเจ็บ มองชายหนุ่มผู้นั้นแล้วหันไปเอ่ยกับหนานกงมั่ว “ข้าจะรีบไปรีบกลับ ฮูหยินต้องระวังตัวนะขอรับ”
“รีบไปเถิด” หนานกงมั่วก้มหน้าดูแผล พร้อมเอ่ยไปด้วย
ติงเสียวเถี่ยรีบวิ่งออกไป หนานกงมั่วหยิบกริชสั้นออกมา ทำให้ชายหนุ่มตกใจรีบกระถดตัวถอยหลัง “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” หนานกงมั่วปรายตามองเขา ตัดขากางเกงของเขาและฉีกมันออก เผยให้เห็นส่วนที่มีบาดแผล ไม่มากไม่น้อย บาดเจ็บหนักไม่เบาเลย ไม่เพียงมีเลือดไหลออกมาเท่านั้นยังแทบมองเห็นกระดูกแล้ว
หนานกงมั่วช่วยเขาทำความสะอาดแผลโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว ดึงตะกร้าที่ติงเสียวเถี่ยทิ้งเอาไว้ หยิบสมุนไพรออกมาโยนให้เขา เอ่ย “ท่านเป็นเจ้าของร้านยา รู้วิธีใช้ยาใช่หรือไม่”
มองกริชที่สะท้อนแสงวาววับไปมา ชายหนุ่มกลืนน้ำลายและกลืนคำว่าใช้ไม่เป็นกลับคืนไป รีบพยักหน้า หนานกงมั่วจึงหมุนตัวเดินออกไป
หมอชาวเหมิงกู่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้จะรักษาได้จริงหรือ ใบหน้าของชายหนุ่มยับยุ่ง มองยาในมือของตนเอง หันกลับไปมองแผลของตนเองแล้วได้แต่กัดฟัน ยัดยาเข้าไปในปากเคี้ยวแล้วจึงนำมาทาลงไป
ในตอนที่ชายหนุ่มกำลังสงสัยว่าหนานกงมั่วทิ้งเขาแล้วหรือไม่ เขาก็มองเห็นนางถือกิ่งไม้เดินเข้ามาแล้วย่อตัวลง มองดูยาที่ถูกใส่ไว้บนขาเรียบร้อย ขมวดคิ้วด้วยท่าทางรังเกียจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่ม คนผู้นั้นยังรู้จักใช้ผ้าสะอาด หนานกงมั่วพันแผลที่ดามด้วยไม้ไปสองสามรอบ สุดท้ายลังเลอยู่ชั่วครู่ ดึงเชือกที่ผูกผมตนเองมามัดกิ่งไม้เอาไว้ให้แน่นขึ้น
[1] เหมิงกู่ มองโกล