หนานกงมั่วเองเดิมไม่ใช่คนที่จะยอมรับความยากลำบากได้โดยไม่ต่อต้านหรือขัดขืน แม้นางไม่ชอบถูกหาเรื่อง ทว่านางคิดว่าตนเองมีวรยุทธ์ไม่ควรไปเอาเรื่องกับคนธรรมดาเหล่านั้น ทว่านี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะยอมให้ใครมาหาเรื่องนางถึงที่ได้ นับตั้งแต่วันนั้น หนานกงมั่วแตกต่างจากเดิมที่ไม่เคยออกไปไหน นางเดินไปเดินมาทั่วทุกที่ในค่ายทหาร โดยเฉพาะฝั่งสำนักแพทย์เป็นสถานที่ที่นางไปบ่อยที่สุด
สำนักแพทย์ของค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกค่อนมาทางใต้ นับว่าเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ เป็นเพียงเรือนซื่อเหอหย่วนธรรมดาเพียงเท่านั้น ชั้นหลายชั้นในเรือนเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด ทั่วทั้งเรือนถูกจัดเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง หมอทั้งสี่คนอยู่คนละห้อง ลูกศิษย์อยู่รวมกันห้าหกคนต่อห้อง ห้องอื่นๆ ที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิดและตำราต่างๆ
สำนักแพทย์มีหมออาวุโสเป็นหัวหน้า หมออีกสองคนนั้นพึ่งผ่านอายุสามสิบมาไม่นาน คนหนึ่งแซ่เหลียง คนหนึ่งแซ่หลี่ เพียงแต่ท่านหมอเวินนั้นอายุเลยหกสิบมาแล้ว หากเป็นพลทหารทั่วไปคงได้ปลดเกษียณไปแล้ว แต่อาชีพหมอ ยิ่งเป็นการแพทย์แผนโบราณของจีนยิ่งแก่ก็ยิ่งหอม ดังนั้นตอนนี้ท่านหมอเวินจึงยังอยู่ในกองทัพ แต่ว่าคงอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน เดิมทีอายุเท่าเขาในตอนนี้ไม่อาจติดตามกองทัพได้แล้ว ดังนั้นต่อไปสำนักแพทย์แห่งนี้คงต้องยกให้ท่านหมอซือเป็นหัวหน้า
หนานกงมั่วเข้าใจทันใดว่าไยท่านหมอซือผู้นี้จึงร้อนรนเข้ามาหาเรื่องนาง เพราะคิดว่าอำนาจของตนเองกำลังถูกถ้าทายอย่างนั้นหรือ
เพราะความไม่พอใจก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่หนานกงมั่วไปยังสำนักการแพทย์ท่านหมอซือจึงอารมณ์ไม่ดี จนท่านหมอหนุ่มสองคนทำตัวไม่ถูก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลูกศิษย์เหล่านั้น รีบหลบไปไกลเพื่อหลีกเลี่ยงจะทำให้ท่านหมอซือโกรธ ทว่าอย่างไรตอนนี้สำนักแพทย์แห่งนี้คนตัดสินใจก็ยังไม่ใช่เขา ดังนั้นต่อให้เขาไม่พอใจ หนานกงมั่วก็ยังไปที่สำนักแพทย์ได้ตามใจชอบ
แม้ท่านหมอเวินจะอายุมาก ทว่าการอยู่ในกองทัพมากว่าครึ่งชีวิตทำให้เขามีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อย แต่กลับมิได้รักษาหน้าดังเช่นท่านหมอซือ เขาใจดีกับหนานกงมั่ว เมื่อใดที่หนานกงมั่วมีปัญหาขอคำชี้แนะ เขาก็จะแนะนำด้วยความเต็มใจ ไปๆ มาๆ ท่านหมอเวินจึงค้นพบว่าความรู้ด้านการแพทย์ของเด็กสาวผู้นี้นั้นโดดเด่น เมื่อมีทหารมาขอความช่วยเหลือด้านการแพทย์ หนานกงมั่วมักจะปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ไม่นานทั่วทั้งกองทัพจึงเริ่มร่ำรือถึงวิชาการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาของเว่ยฮูหยิน ยิ่งทำให้ท่านหมอซือไม่พอใจขึ้นไปอีก
วันนี้หนานกงมั่วกำลังนั่งพูดคุยกับท่านหมอเวินเกี่ยวกับยาห้ามเลือดที่ตนเองเพิ่งศึกษา เอ่ยตามจริงว่านี่ไม่ใช่ยาห้ามเลือดที่ดีที่สุดที่หนานกงมั่วคิดค้นขึ้นมาได้ ที่สำนักของนางมียาที่มีประสิทธิภาพดีกว่านี้เป็นสิบเท่า แต่ข้อดีที่สุดของยานี้ก็คือใช้วัตถุดิบยาที่หาได้ทั่วไปแล้วยังราคาถูก อย่างไรเสียยาคุณภาพสูงก็ไม่อาจนำมาให้ทหารทั่วไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ร่ำรวยก็ไม่อาจจะรับไหว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังเป็นเยี่ยนอ๋องที่มิได้มีกำลังทรัพย์มากมายด้วยแล้ว
ท่านหมอเวินชื่นชมยาของหนานกงมั่วไม่หยุด ผลออกฤทธิ์ของยานี้ดีกว่ายาที่พวกเขากำลังใช้อยู่ในกองทัพมากทีเดียว อีกทั้งวิธีการปรุงยายังสะดวก อีกทั้งไม่ต้องตำและทาทันทีเหมือนยาตัวอื่นๆ ท่านหมอเหลียงและท่านหมอหลี่เห็นพวกเขาพูดคุยกันคึกคัก อดไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย หลายวันมานี้พวกเขาคอยฟังท่านหมอเวินและหนานกงมั่วพูดคุยกัน แน่นอนรู้ว่าเว่ยฮูหยินผู้นี้มีความรู้อย่างแท้จริง ส่วนท่านหมอซือนั้นสะบัดแขนเสื้อและเดินหนีออกไปด้วยใบหน้าเรียบตึง
“เว่ยฮูหยิน ยาห้ามเลือดนี้สามารถใช้ในปริมาณเยอะได้หรือไม่” ท่านหมอเวินเอ่ยถาม
หนานกงมั่วยิ้มบาง “แน่นอนว่าได้เจ้าค่ะ รายการยาอยู่ตรงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่ราคาถูกและหายได้ง่าย หากพวกเราเตรียมเอาไว้ในจำนวนที่เพียงพอ เมื่อเจอกับสงครามก็ไม่ต้องวุ่นวาย”
ท่านหมอเวินพยักหน้า อ่านรายการยาพบว่าล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรหาง่ายทั้งนั้น “ยาเหล่านี้ ยามนี้ในกองทัพยังมีไม่มาก เพียงแต่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงยังเหลืออีกหลายเดือนที่คาดว่าจะไม่มีสงคราม ยังพอมีเวลา เพียงแต่ฮูหยิน รายการยานี้…” ท่านหมอเวินลังเลชั่วครู่ บนโลกใบนี้เมื่อมียาดียิ่งต้องซ่อนเก็บให้มิดไม่ให้คนอื่นได้เห็น มันไม่ยุติธรรมหากจะให้เว่ยฮูหยินยกสูตรยานี้ให้เปล่าๆ หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “เพียงทำออกมาเล่นๆ ฆ่าเวลา กองทัพสามารถนำมาใช้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
“ฮูหยินช่างมีคุณธรรม” ท่านหมอเวินเอ่ยชื่นชม “แต่ข้าทำเช่นนี้มิได้ ขอฮูหยินตามข้าไปพบผู้บังคับการกองพันด้วยเถิด ข้าจะนำเรื่องนี้กล่าวรายงาน ให้ผู้บังคับการกองพันได้ตัดสินเป็นอย่างไร” คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น เอ่ย “คงต้องรบกวนท่านหมอเวินแล้ว ข้าคงไม่ต้องไปหรอกกระมัง”
ท่านหมอเวินเข้าใจว่านางคิดว่าตนเองเป็นสตรีจึงไม่สะดวก ไม่ได้เอ่ยเกลี้ยกล่อมอันใดอีก พยักหน้า เอ่ย “ข้าจะรายงานความดีความชอบและคุณธรรมของฮูหยินต่อผู้บังคับการกองพันอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วยิ้มบาง ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจนัก
ขณะกำลังพูดคุย ด้านนอกพลันมีเสียงกลองดังขึ้น หนานกงมั่วตกตะลึง ท่านหมอทั้งสามกลับรีบลุกขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น”
ท่านหมอเวินเอ่ย “เกิดสงครามแล้ว กองทัพต้องเคลื่อนตัวทันที”
ท่านหมอทั้งสองลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปด้านนอก “ท่านหมอเวิน พวกเราคงต้องไปก่อนแล้ว”
ท่านหมอเวินพยักหน้า เขาอายุมากแล้วไม่อาจติดตามกองทัพออกไปได้ ดังนั้นจึงอยู่ที่ค่ายตลอดเวลา หนานกงมั่วเอ่ยถาม “มิใช่บอกว่ายามนี้ไม่ใช่ยามศึกสงครามหรือ”
ท่านหมอเวินส่ายศีรษะ ถอนหายใจ “ใครจะรู้ได้ ปีที่แล้วด้านนอกนั่นเกิดภัยพิบัติ คนเป่ยหยวนพวกนั้น บางครั้งก็พากันบุกเข้ามาเพื่อปล้นชิง หากไม่เกินขอบเขต ทหารที่ชายแดนก็จัดการได้ แต่หลายปีแล้วที่คลายกำลังทหารม้าเฝ้าประจำการที่ชายแดนในช่วงเวลานี้”
ยามนี้แม้ไม่ใช่ยามศึกสงครามทว่ายังมีทหารม้าประจำการอยู่ที่นั่น เพียงแต่ไม่ได้มากเหมือนยามฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวก็เท่านั้น เพียงรับมือกับเผ่าเล็กๆ น้อยๆ นั้นยังเพียงพอ ดังเช่นวันนี้ที่ไม่ใช่กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็คงไม่ง่ายแล้ว หนานกงมั่วพยักหน้า กวาดตาไปมองติงเสียวเถี่ยที่อยู่ในเรือน เอ่ย “เจ้าอยู่ที่นี่กับท่านหมอเวิน” เอ่ยจบจึงสาวเท้าเดินออกไป ติงเสียวเถี่ยมองท่านหมอเวิน จากนั้นหันไปมองหนานกงมั่วที่เดินออกประตูใหญ่ไป กัดฟันและวิ่งตามออกไป
“เจ้าตามมาทำไม” ทหารในค่ายวิ่งกันชุลมุน ทหารหลายนายวิ่งตรงไปรวมตัวยังเขตของตนเองอย่างรวดเร็ว
ติงเสียวเถี่ยเอ่ย “ข้าเองก็เป็นคนของผู้บังคับการกองร้อยเว่ยเช่นกัน แน่นอนว่าต้องติดตามออกศึกด้วย ฮูหยิน ท่านก็อยากไปหรือขอรับ”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “เด็กโง่ สนามรบนั่นอาจตายได้นะ”
ติงเสียวเถี่ยกัดฟัน เอ่ย “ข้ารู้ แต่ข้าก็จะไป ฮูหยินเคยอยู่ในสนามรบหรือ ท่านกลัวหรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วเอ่ย “เคยไปหนึ่งครั้ง ยังดี”
“ฮูหยินเยี่ยมไปเลย ข้าก็ไม่กลัวขอรับ” ติงเสียวเถี่ยเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ “หากข้ามีชีวิตรอดกลับมา ฮูหยินช่วยสอนข้าลอยไปลอยมาได้หรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วกลอกตา “เจ้าคิดว่าหลายวันมานี้ข้าให้เจ้าทำอันใดกัน”
“อู๋สยา” กลับมาถึงเขตกองทัพ มองเห็นเว่ยจวินมั่วและกลุ่มคนเตรียมพร้อมออกเดินทาง เว่ยจวินมั่วเองไม่ถามมาก เพียงกวาดสายตาไปมองติงเสียวเถี่ยเล็กน้อย เอ่ย “กลับคืนสู่กองทัพ” ติงเสียวเถี่ยรีบส่งเสียงตอบรับ วิ่งกลับเข้าร่วมกองทัพในทันใด
[1] ซื่อเหอหย่วน หมายถึง บ้านเก่าสไตล์ปักกิ่งโบราณ เป็นบ้านชั้นเดียวสี่หลังหันหน้าเชื่อมเข้าหากัน มีลานสวนตรงกลางบ้าน